ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 310 สิ้นสุดพิธีไว้ทุกข์(กลาง)
เสียงตกใจของหงซิ่วทำเอาทุกคนรีบย่อตัวลง ฉินอี๋เหนียงตกใจจนแข้งขาอ่อนแรงคุกเข่าลงบนพื้น
“ท่านโหว…” นางพูดด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว ปากสั่น แต่เสียงราวกับติดอยู่ในลำคอ พูดไม่ออกสักคำ
สวีลิ่งอี๋ก้าวขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ท่านโหว” สืออีเหนียงต้อนรับเขาไปนั่งที่เตียงเตาข้างหน้าต่าง แต่สายตากลับเหลือบมองไปที่เยี่ยนหรงที่อยู่ข้างหลังหู่พั่ว
“ส่งอวี้เกอไปที่เล่ออาน ข้าเป็นคนตัดสินใจ”
เสียงที่เย็นชาของสวีลิ่งอี๋ดังขึ้นมาในห้อง
“แต่การเลี้ยงดูลูกๆ เป็นความรับผิดชอบของฮูหยิน” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน หรือว่าเจ้าไม่รู้กฎเกณฑ์นี้? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองมีหน้ามีตามากกว่าคนอื่น? จึงไม่เห็นกฎเกณฑ์พวกนี้อยู่ในสายตา?”
สวีลิ่งอี๋พูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเหน็บแหนม
คนต้องการศักดิ์ศรี ต้นไม้ต้องการเปลือกไม้ ฉินอี๋เหนียงเป็นมารดาแท้ๆ ของสวีซื่ออวี้ ถึงแม้ว่าต่อหน้าสวีลิ่งอี๋นางจะเคยเป็นสาวใช้มาก่อน แต่ต่อหน้าป้าซ่งและคนอื่นๆ นางก็เป็นถึงนายหญิง
สืออีเหนียงขยิบตาให้หู่พั่ว นางพาสาวใช้และป้ารับใช้ออกไปอย่างเงียบๆ
แต่เงยหน้าขึ้นกลับเห็นเฉียวเหลียนฝังและเหวินอี๋เหนียงยืนอยู่ในห้องโถง
ใบหน้าของเฉียวเหลียนฝังเต็มไปด้วยความแปลกใจ
เหวินอี๋เหนียงยิ้มแย้ม แต่สายตากลับเป็นประกาย
“ฮูหยิน” นางเห็นสืออีเหนียงเดินออกมา ก็ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงทันที จากนั้นก็เดินเข้าไปประคองสืออีเหนียงเบาๆ ราวกับว่าสืออีเหนียงเป็นคนที่นางเคารพจากใจจริง และในความเคารพยังมีความสนิทสนม
สืออีเหนียงเดินไปข้างหน้าอย่างนิ่งสงบ สะบัดแขนออกจากเหวินอี๋เหนียง
เหวินอี๋เหนียงตกใจ จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“หากเจ้าว่างนัก ก็เย็บปักถักร้อยอยู่ที่เรือน ไม่ต้องเอาแต่เดินไปทั่วทั้งวัน…”
เมื่อวันที่หนึ่งเดือนสี่ จวนสกุลสวีเปลี่ยนม่านเป็นม่านสีฟ้า
ถึงแม้ว่าจะมีผ้าม่านกั้นอยู่ แต่เสียงของสวีลิ่งอี๋ก็ชัดเจน
“ฮูหยินเป็นคนดูแลจวน ดูแลทั้งนอกทั้งใน ยังรู้ที่จะหาเวลาตัดเสื้อผ้าให้ไท่ฮูหยิน ส่วนเจ้าเล่า เจ้าเคยทำอะไรให้ไท่ฮูหยินหรือไม่ รองเท้าสักคู่หรือถุงเท้าสักคู่?” พูดจบเขาก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็พูดว่า “…มีฮูหยินเป็นแบบอย่างเช่นนี้ เจ้าทำตามนางไม่ได้เช่นนั้นหรือ”
ตำหนิเข้าให้แล้ว!
สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วพูดกับอี๋เหนียงสองคนว่า “วันนี้ค่อนข้างร้อน เราไปนั่งศาลาริมน้ำข้างหน้ากันดีกว่า”
เฉียวเหลียนฝังยังคงตกใจ ไม่พูดไม่จา แต่เหวินอี๋เหนียงกลับคล้อยตาม “ดีเจ้าค่ะ ดีเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าสองวันมานี้ดอกบัวตรงทะเลสาบปี้อีใกล้จะออกดอกแล้ว รอถึงยามที่ดอกบัวเบ่งบานเต็มที่แล้ว ฮูหยินไม่สู้จัดงานเลี้ยงดอกบัวดีหรือไม่เจ้าคะ เราจะได้ถือโอกาสดื่มกินกับท่าน…” นางพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปประคองสืออีเหนียง จากนั้นก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ยกมือที่ยื่นออกไปจัดทรงผมที่ไม่ยุ่งเหยิงเลยแม้แต่น้อย
พวกนางเปิดม่านออกไป
ก็เห็นสวีซื่ออวี้ที่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง
วันนี้มากันครบเลย…
สืออีเหนียงครุ่นคิด ก็เห็นสวีซื่ออวี้ที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง
ดวงตาที่เดิมทีเป็นประกายของเขา ตอนนี้กลับหม่นหมองลงราวกับขี้เถ้า
จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาในลานที่เงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ได้ยินอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงขมวดคิ้วแล้วมองออกไป แต่กลับเห็นใบหน้าที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ใบหน้าที่นิ่งสงบราวกับผืนน้ำ และใบหน้าที่เห็นอกเห็นใจ นางดูไม่ออกว่าใครเป็นคนหัวเราะออกมา
นางมองไปที่สวีซื่ออวี้อีกครั้ง
เขาหน้าแดง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด ในดวงตาเต็มไปด้วยความกังวลและไม่สบายใจ มีความอ่อนแอและความสับสนของเด็กผู้ชายอายุสิบสองปี
สืออีเหนียงเรียกเขาเข้ามา
“ท่านโหวกำลังตำหนิฉินอี๋เหนียง!” นางพูดเสียงดังกว่าปกติ ทำให้ฟังดูชัดเจนในลานที่เงียบสงัด “เจ้าต้องรู้ว่า ท่านโหวคือราชครูของรัชายาท ท่านทูตชายแดน ขุนนางระดับสามอยากเจอยังต้องถือเทียบเชิญไปฟังรายงานที่ฝ่ายรายงาน หากเขารำคาญใครจริงๆ แค่เลิกคิ้วขึ้นก็สามารถไล่คนคนนั้นออกไปได้ ไม่จำเป็นต้องอารมณ์เสียอยู่ที่นั่น” พูดจบก็กวาดตามองคนในลาน
สวีซื่ออวี้สายตาเป็นประกาย เขาตะโกนเรียกท่านแม่ด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้ง
“คุณชายน้อยสองก็ไปศาลาริมน้ำกับเราเถิด” สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา “แม้แต่ข้าก็ยังต้องออกมาข้างนอก… ประเดี๋ยวท่านโหวหายโกรธแล้ว ออกมาเห็นคนเต็มลาน เดี๋ยวเขาจะอารมณ์เสียอีก”
บรรดาสาวใช้และท่านป้าพากันก้มหน้าลง
สวีซื่ออวี้มองไปที่สืออีเหนียงด้วยความซาบซึ้ง เขาตอบรับ “ขอรับ” เบาๆ จากนั้นก็ไปที่ศาลาริมน้ำกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเดินเล่นกับเขาข้างทะเลสาบปี้อี
“ท่านโหวให้เจ้าไปเล่ออาน เจ้าคิดเช่นไร”
นี่เป็นครั้งแรกที่สวีซื่ออวี้พูดคุยกับผู้ใหญ่ด้วยวิธีนี้ เขาดูอึดอัด
“ข้าฟังท่านพ่อขอรับ!”
ไม่มีความไม่จริงใจ ไม่ได้ฝืนพูดออกมา…แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมต้องยืนฟังอยู่ที่หน้าต่างเล่า
สืออีเหนียงหยุดเดินแล้วมองไปที่สวีซื่ออวี้ นางเลิกคิ้วเบาๆ
สวีซื่ออวี้เบะปาก เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านป้าสองก็พูดเช่นนี้ขอรับ”
ท่านป้าสอง?
สืออีเหนียงตกใจ
สวีซื่ออวี้ก้มหน้าลง “ท่านป้าสองและท่านแม่พูดเหมือนกัน นางบอกว่า ลูกผู้ชายที่ดีต้องมีอาชีพการงาน ต้องกล้าหาญ ท่านอาจารย์เหล่านั้น ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่ผ่านการสอบ เขียนบทความ สอบขุนนางระดับเคอจวี่ ตัวเองยังไม่เข้าใจ จะสอนศิษย์ได้เช่นไรขอรับ แต่ใต้เท้าเจียงของหอตำราจิ่นสีไม่เหมือนพวกเขา เขาเป็นจอหงวน แล้วยังมีตำแหน่ง ความรู้ ศีลธรรมและประสบการณ์ที่ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบได้ ท่านพ่อส่งข้าไปอยู่ที่นั่น เขาใช้ความพยายามไม่น้อย ท่านพ่อคาดหวังในตัวข้ามากขอรับ” พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม ในสายตามีความกระตือรือร้นของชายหนุ่มที่อยากจะมีอนาคตที่ดี “แล้วยังบอกว่า ความอกตัญญูมีสามประการ รู้ว่าพ่อแม่ทำผิดแต่กลับไม่ยอมตักเตือนคือความอกตัญญูที่หนึ่ง แต่หากเจ้าหนักแน่น เจ้าก็สามารถทำได้ ไม่แต่งงาน ไม่มีลูก ไม่มีคนสืบสกุลคือความอกตัญญูที่สอง แต่เจ้าก็ยังสามารถสืบทอดต่อได้ แต่หากครอบครัวยากจน พ่อแม่แก่เฒ่า แต่เจ้าไม่ยอมไปเป็นขุนนางนำเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่ นี่คือความอกตัญญูที่สามที่ทำได้ยากที่สุด ข้าจะตั้งใจเรียน สอบเอาคุณงามความดี เป็นหน้าเป็นตาให้กับสกุลสวี”
สอบเอาคุณงามความดี…ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่มีนิยายฟั่นจิ้นจงจู่ที่บ้าคลั่ง
เวลานี้ ไม่มีกำลังใจไหนดีไปกว่าคำพูดของฮูหยินสองแล้ว!
สืออีเหนียงพยักหน้า นางยิ้มแล้วให้กำลังใจเขา “เช่นนั้นอวี้เกอต้องตั้งใจ”
สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพยักหน้า
เหวินอี๋เหนียงที่พิงราวศาลาริมทะเลสาบปี้อีแล้วมองมาจากระยะไกล ถึงแม้ว่าใบนางของนางกำลังยิ้ม แต่สายตาของนางกลับไม่มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย
คำตำหนิที่สวีลิ่งอี๋ตำหนิฉินอี๋เหนียงยังคงดังก้องอยู่ในหัวของนาง
หรือว่า ท่านโหวต้องการเช่นนี้!
นางนึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็ก
นับลูกคิดได้ที่หนึ่ง นายท่านใหญ่อุ้มนางขึ้นบนหัวด้วยความดีใจ จากนั้นก็พูดอย่างอ้อมค้อมว่าน่าเสียดายที่เป็นเด็กผู้หญิง สวมชุดบ่าวรับใช้ไปเก็บฝ้ายกับพี่ชาย แค่จับก็รู้ว่ามันทอมาจากอะไร พี่ชายมอบหยกหยางจืออวี้ให้นางเป็นของขวัญ จากนั้นก็พูดกับผู้ดูแลเบาๆ ราวกับไม่มีภาระว่าโชคดีที่เป็นเด็กผู้หญิง… ต่อมาสกุลให้นางแต่งเข้ามาในสกุลสวี นางไม่พูดอะไรสักคำ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่า นายท่านใหญ่และพี่ชายคงจะไม่ดูถูกที่ตัวเองเป็นเด็กผู้หญิงแล้วใช่หรือไม่!
แต่ใครจะคิดว่า หากสกุลเหวินเป็นตู้ปลา เช่นนั้นสกุลสวีก็คือฝั่ง และนาง ก็ราวกับปลาที่ถูกโยนออกมาจากตู้ปลา โยนขึ้นมาบนฝั่ง ไม่เพียงแค่หายใจลำบาก แล้วยังน่าอนาถ… ถูกคนอื่นดูถูกเหมือนเดิม!
ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้น มองเห็นใบหน้าที่เบื่อหน่ายของเฉียวเหลียนฝัง
“พี่หญิง” ลมที่พัดมาจากผืนน้ำยังหนาวเย็น นางจับเสื้อกั๊กยาว “เราจะยืนรออยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ”
เหวินอี๋เหนียงนึกถึงรอยยิ้มที่มีความดูถูกก่อนหน้านี้ของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เช่นนั้น เจ้าไปดู? ดูว่าท่านโหวตำหนินานขนาดนี้ เกรงว่าคงจะคอแห้งหมดแล้ว”
พูดจบ นางก็เห็นเฉียวเหลียนฝังสายตาเป็นประกาย
เหวินอี๋เหนียงก็อดหัวเราะไม่ได้
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินและพี่หญิงล้วนแต่รออยู่ข้างนอก… ข้ารออยู่ข้างนอกกับพี่หญิงดีกว่าเจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงพยักหน้า สายตาของนางมีความผิดหวัง
มีสาวใช้เข้ามารายงาน ไม่เห็นสืออีเหนียงนางจึงถามด้วยความสงสัย “อี๋เหนียงทั้งสอง ฮูหยินล่ะเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังชี้ไปที่ทะเลสาบ
แต่เหวินอี๋เหนียงกลับควักเงินออกมาให้สาวใช้คนนั้น “ท่านโหวเรียกฮูหยินมีเรื่องอะไรหรือ”
สาวใช้คนนั้นไม่ยอมรับเงินมา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เหวินอี๋เหนียงยิ้ม “ให้เจ้าเอาไปซื้อขนมทาน หากพูดไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องพูด” จากนั้นก็พูดว่า “ฮูหยินกำลังพูดกับคุณชายน้อยสอง”
สาวใช้คนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “ประเดี๋ยวท่านก็รู้เจ้าค่ะ ท่านโหวบอกให้ฮูหยินไปหา บอกว่าตังแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ฉินอี๋เหนียงไปคอยรับใช้ฮูหยิน เรียนรู้กฎเกณฑ์แล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ”
*****
“ทำไมเจ้าถึงไม่บอกนางว่านี่คือความต้องการของข้า” สวีลิ่งอี๋เอนตัวลงบนเตียงแล้วมองไปที่สืออีเหนียงที่กำลังย้ายตะเกียง
แสงไฟสาดส่องบนใบหน้าของนาง ทำให้นางดูงดงามบริสุทธิ์
“ข้ากับท่านโหวเป็นสามีภรรยากัน” สืออีเหนียงวางตะเกียงลงแล้วนั่งลงบนเตียง “ไม่ต้องพูดถึงตอนที่ท่านโหวเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังแล้วข้าเห็นด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เห็นด้วย แต่มีคนมาสงสัยในการตัดสินใจของท่านโหวเช่นนี้ ข้าจะโยนเรื่องนี้ไปให้ท่านได้เช่นไรกันเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
สืออีเหนียงถอดรองเท้าขึ้นมาบนเตียง เอนตัวพิงหัวเตียงแล้วคุยกับเขา
“แต่ว่าต่อไปท่านโหวอย่าโมโหเช่นนี้อีกเลยเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่มีคนหัวเราะเยาะ ตัวเองพูดอะไรกับสวีซื่ออวี้ที่ทะเลสาบ แล้วเขาตอบตัวเองเช่นไรให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…อวี้เกอไม่เด็กแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะต้องแต่งงานแล้ว ท่านตำหนิท่านแม่ของเขาอย่างไม่สนใจอะไรเช่นนี้ ไม่ต้องบอกว่าอวี้เกอจะไม่มีหน้ามีตาต่อหน้าคนรับใช้ แม้แต่ภรรยาของเขาในอนาคต ก็เกรงว่าจะต้องลำบากไปด้วย”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา
“ท่านโหวรีบนอนเถิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วปล่อยม่านเตียงลง “ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้จะขึ้นเสาที่ลาน เราจะได้ย้ายกลับไปเมื่อไรหรือ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วกอดนาง “เดือนหกก็คงจะย้ายกลับไปได้แล้ว”
สืออีเหนียงดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาตำแหน่งที่สบายตัวได้
“ท่านโหว เราสั่งโคมไฟเล็กๆ สักดวงดีหรือไม่ นำไปวางไว้ที่มุมกำแพง เช่นนี้สามารถส่องแสงสว่างแล้วยังไม่ส่องตา ข้านอนไม่ค่อยหลับเจ้าค่ะ”
“ได้สิ” สวีลิ่งอี๋พูด “พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกกรมพระราชวัง”
สืออีเหนียงพูดถึงเรื่องฉินอี๋เหนียงกับเขา “…ข้าคิดว่า ท่านพูดกับนางเองเถิด ไม่จำเป็นต้องให้ข้าตั้งกฏหรอก”