ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 307 อธิบาย(ต้น)
“…วันที่แปดเดือนสี่คือพิธีพุทธศาสนา วัดต่างๆ จะแจกจ่ายยาหอม ผู้คนพลุกพล่านคึกคัก” ฮูหยินสองยกถ้วยชาขึ้นมาช้าๆ แล้วพูดว่า “แต่ว่าทุกปีที่ไปจุดธูปที่วัดเย่าหวัง ก็เพราะว่าคุณชายสองป่วยตายกะทันหัน ท่านแม่ไม่สบายใจ อยากจะขอร้องเย่าอ๋องปกป้องคุ้มครองให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ที่ข้ามาก็เพราะอยากจะมาปรึกษาท่านโหวและน้องสะใภ้ หากปีนี้ท่านแม่อยากไปจุดธูปที่วัดเย่าหวัง ลูกๆ หลานๆ อย่างพวกเราก็คงจะคัดค้านไม่ได้ แต่หากจะไปวัดอื่น ก็ขอให้ท่านโหวและน้องสะใภ้ช่วยเกลี้ยกล่อม”
สืออีเหนียงมองไปที่ฮูหยินสองด้วยความตกใจ
นางกำลังบอกพวกเขาว่า นางไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานครั้งนี้เช่นนั้นหรือ
แต่เมื่อก่อนนางกระตือรือร้นกับเรื่องนี้มากไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนไป
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าปกติ เขาพยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจความหมายของพี่สะใภ้สองขอรับ”
ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าให้สืออีเหนียง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวลา
สืออีเหนียงส่งฮูหยินสองออกไป
เจี๋ยเซียงก็รีบเดินตามไปทันที
“ฮูหยิน” นางพูดเบาๆ “ท่านโหวว่าเช่นไรเจ้าคะ”
ฮูหยินสองไม่ได้พูดอะไร นางเดินตัวตรงอยู่บนทางเดิน สาวใช้และป้ารับใช้ที่เห็นต่างก็พากันหลีกทางให้และย่อเข่าคำนับนางด้วยความเคารพ
แต่จู่ๆ นางก็หยุดเดินอยู่ตรงทางโค้งบนทางเดิน
“พี่สะใภ้ใหญ่ทำเรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ หากยังจะให้โหรวเน่อแต่งเข้ามา เกรงว่าคงจะไม่ได้รับความพอใจจากไท่ฮูหยิน ท่านโหวและฮูหยินสี่” ฮูหยินสองมองดูต้นทับทิมที่มีใบเต็มก้านตรงหน้าราวบันไดแล้วพูดเบาๆ ว่า “แทนที่จะทำเช่นนี้ ไม่สู้ยอมแพ้เสียดีกว่า มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดี”
เจี๋ยเซียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ “หากตอนนั้นคุณนายใหญ่ไปที่วัดฉือหยวนก็คงจะดีนะเจ้าคะ ท่านและคุณหนูสองจะได้ไม่ลำบากใจ”
“หากนางใจเย็นเช่นนั้นได้ ท่านแม่ของข้าก็คงจะไม่โมโหนางขนาดนั้น” ใบหน้าของฮูหยินสองไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย “เดิมทีข้ายังอยากจะจัดการเรื่องของนาง แต่ใครจะรู้ว่าพอนางได้ยินว่าข้าจะกลับสกุลเดิมก็ส่งบ่าวรับใช้มา อ้างชื่อของนายท่านใหญ่สกุลเกาเรียกพี่ใหญ่กลับไปทันที ข้าไม่อยากทำให้พี่ใหญ่ลำบากใจ จึงบอกว่าที่จวนให้ข้าช่วยทำพิธีของหยวนเหนียง เช่นนี้ถึงได้เกลี้ยกล่อมให้พี่ใหญ่กลับไปสกุลเกา…” พูดจบนางก็หัวเราะเยาะตัวเอง “ตอนนี้ข้ากลัวว่าไท่ฮูหยินและท่านโหวจะเห็นแก่ข้าแล้วตกลงกับการแต่งงานครั้งนี้ ตอนนี้พูดชัดเจนแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่อยากจะก่อเรื่องก็ให้นางก่อไปเถิด” พูดจบนางก็เดินไปที่เรือนเสาหวา
สืออีเหนียงลังเลที่จะพูด
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
สืออีเหนียงกลอกตาใส่เขา “ท่านโหวรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถาม!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
ผ่านไปไม่นานก็พูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “พี่สะใภ้สองเป็นคนรักษาคำพูด นายหญิงเซี่ยงพูดกลับกลอกไปมา เกรงว่าพี่สะใภ้สองจะไม่ยอมพูด แล้วยังเป็นพี่สะใภ้ของตัวเอง กลัวว่าเราจะเข้าใจผิด ดังนั้นนางจึงแสดงท่าทีให้พวกเราเห็นอย่างอ้อมค้อม” จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อครู่เจ้ากังวลว่าจะอธิบายให้ท่านแม่ฟังเช่นไรไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าเจ้าไม่สู้เล่าเจตนาของพี่สะใภ้สองให้ท่านแม่ฟัง ไม่มีพี่สะใภ้สอง ท่านแม่ก็คงจะสบายใจขึ้นไม่น้อย”
สืออีเหนียงพยักหน้า ถือโอกาสตอนที่รับใช้ไท่ฮูหยินพักผ่อนยามบ่ายเล่าเรื่องนี้และท่าทีของสวีลิ่งอี๋ให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผิดหวัง “ตั้งแต่เจ้ากลับไป อี๋เจินก็พูดเช่นนี้กับข้า ตอนนั้นข้ายังลังเล คิดไม่ถึงว่านางจะไปหาพวกเจ้า ดูเหมือนว่านางคงจะตัดสินใจแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ปีนี้ก็ให้คุณชายห้าไปวัดเย่าหวังแทนข้าเถิด ไปพูดกับสกุลเซี่ยงให้ชัดเจน”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วกลับไปรายงานสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋ส่งคนไปเรียกสวีลิ่งควน บอกให้เขาไปจุดธูปที่วัดเย่าหวังแทนไท่ฮูหยินในวันที่แปด เขาได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ นึกว่าไท่ฮูหยินไม่สบายจึงรีบไปเยี่ยมไท่ฮูหยินที่เรือน เห็นว่าไท่ฮูหยินสบายดีจึงกลับไปที่ตรอกหงเติงด้วยความโล่งใจ ทางด้านนายหญิงเซี่ยง เมื่อรู้ว่าวันที่แปดไท่ฮูหยินจะไม่ไปงานที่วัดแล้ว นางก็มาเยี่ยมที่จวนอีกครั้ง
“ทุกปียามนี้ท่านจะไปจุดธูปที่วัดเย่าหวังตลอด คงจะไม่ใช่เพราะว่าข้าเสียมารยาทที่วัดฉือหยวน ทำให้ท่านโกรธข้าแล้วไม่ไปงานที่วัดใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางหญิงเซี่ยงพูดอย่างตรงไปตรงมา
ไท่ฮูหยินไม่ได้บอกว่าใช่ นางพูดอย่างคลุมเครือ “เพราะว่าข้าอายุเยอะแล้ว นั่งรถม้าลำบาก ดังนั้นจึงไม่ไป”
ใครจะรู้ว่านายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้กลับสีหน้ามืดมนลง นางพูดเบาๆ “ไท่ฮูหยินไม่ต้องปลอบใจข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าทุกคนล้วนแต่โทษที่ข้าบุ่มบ่าม แม้แต่คุณหนูของข้าก็ทำตัวห่างเหินกับข้าเพราะเรื่องนี้” พูดจบนางก็ตาแดง “แต่ข้ารู้สึกน้อยใจเจ้าค่ะ” พูดจบก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วร้องไห้
สืออีเหนียงรีบไล่สาวใช้ในห้องออกไปจากนั้นก็รินชาให้นาง
นายหญิงเซี่ยงเอ่ยขอบคุณสืออีเหนียงเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างสะอึกสะอื้น “เดิมทีข้าคิดว่าข้ามาขอโทษท่าน นัดเจออีกครั้งหนึ่งเรื่องนี้ก็จะผ่านไป แต่ใครจะรู้ว่าท่านโกรธข้าจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ทำได้แค่เล่าเรื่องน่าอับอายเรื่องนั้นให้ท่านฟัง” พูดจบนางก็เงยหน้าขึ้นมองไท่ฮูหยิน “แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงไม่ไปวัดฉือหยวน” ไม่รอให้ไท่ฮูหยินได้พูดอะไร นางก็พูดว่า “นายท่านและคุณหนูของข้าตกลงเรื่องแต่งงานทันที พวกเขาไม่ถามข้าเลยแม้แต่น้อย”
สืออีเหนียงมองไปที่นายหญิงเซี่ยงด้วยความตกใจ
ทำไมทุกคนล้วนแต่เป็นเช่นนี้
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
นายหญิงเซี่ยงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา “ข้าคือสะใภ้ของสกุลเซี่ยง โหรวเน่อคือบุตรสาวสุดที่รักที่ข้าตั้งท้องมากว่าสิบเดือน เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโตด้วยความลำบาก แต่นายท่านกลับไม่ถามข้าเลยแม้แต่น้อยก็ตัดสินใจเช่นนี้ ท่านคิดว่าข้าจะไม่โมโหได้เช่นไรเจ้าคะ” นางพูดด้วยท่าทีโมโห “แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง เมื่อก่อนข้าทนได้แต่ครั้งนี้ไม่ว่าเช่นไรข้าก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ข้าจึงพาลูกกลับไปสกุลเดิมด้วยความโมโห”
ไท่ฮูหยินนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ก็พบว่าสอดคล้องกัน จึงพูดปลอบใจนายหญิงเซี่ยง “เรื่องนี้เป็นความผิดของใต้เท้าเซี่ยง”
“ใช่เจ้าค่ะ” นายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็ราวกับหาสหายรู้ใจเจอ นางมองไปที่ไท่ฮูหยินด้วยความซาบซึ้งแล้วพูดว่า “หลังจากพี่สะใภ้สกุลเดิมข้ารู้แล้ว นางทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห แล้วยังล้มป่วย ในใจของข้าก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ข้าทะเลาะกับนายท่าน แม้แต่นายท่านไปรับตำแหน่งข้าก็ไม่ได้ไปส่งเขา…ไม่เช่นนั้น ครั้งก่อนที่ท่านถามเรื่องนายท่านไปรับตำแหน่ง ข้าทำไมถึงตอบท่านไม่ได้ล่ะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงและไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
แม้กระทั่งใต้เท้าเซี่ยงไปรับตำแหน่งก็ไม่ไปส่ง…เช่นนี้มันเกินไป!
นายหญิงเซี่ยงมีสีหน้ารู้สึกผิด “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำเกินไป แต่ว่าตอนนั้นข้าโมโหจึงไม่คิดไตร่ตรองให้ดี ต่อมาพี่สะใภ้ของข้าตำหนิข้า ข้าถึงได้มีสติ รีบมาขอโทษขอขมาไท่ฮูหยินและฮูหยินเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็พูดเสียงเบาลงเรื่อยๆ “เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย ครั้งก่อนที่ข้ามาข้าจึงไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง แต่ใครจะรู้ว่าปีนี้ท่านกลับไม่ไปจุดธูปที่วัดเย่าหวัง…” พูดจบใบหน้าของนางก็แดงก่ำ “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้า ไท่ฮูหยินโปรดเห็นแก่หน้าของคุณหนูสกุลข้า ยกโทษให้ข้าครั้งนี้ พรุ่งนี้ให้ข้าได้ทำอาหารให้ท่าน เชิญท่านไปทานที่จวนข้าเถิด”
พูดขนาดนี้แล้ว แล้วนางยังเป็นพี่สะใภ้ของฮูหยินสอง ไท่ฮูหยินจึงเหลือบมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลังเล
สืออีเหนียงเห็นว่าไท่ฮูหยินยกโทษให้นายหญิงเซี่ยงแล้ว จึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ พยักหน้าให้ไท่ฮูหยินเบาๆ บอกว่าแล้วแต่ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินสบายใจขึ้นไม่น้อย
ถึงอย่างไรก็เป็นสกุลญาติ ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยกัน
นางยิ้มแล้วพูดว่า “นายหญิงเซี่ยงเกรงใจกันเกินไปแล้ว แต่ว่าช่วงนี้ที่จวนมีเรื่องมากมาย ข้าคิดว่าวันอื่นจะดีกว่า” นางไม่ได้ตอบตกลงทันที
คำพูดเช่นนี้นายหญิงเซี่ยงคุ้นเคยเป็นอย่างดี นางพูดด้วยความจริงใจ “เช่นนั้นท่านกำหนดวันเถิดเจ้าค่ะ ปีนี้ทั้งปีข้าคงอยู่ที่เยี่ยนจิง”
นางทำท่าทีถ่อมตน ไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงไม่กล้าปฏิเสธ อีกสามวันจะไปเป็นแขกที่จวนสกุลเซี่ยง
นายหญิงเซี่ยงจึงขอร้องไท่ฮูหยินเบาๆ “ถึงตอนนั้นท่านก็เกลี้ยกล่อมคุณหนูของข้ากลับมาด้วยเถิด จนถึงตอนนี้คุณหนูก็ยังโกรธเคืองข้าอยู่ ครั้งก่อนเจอหน้าข้าก็พูดจาเย็นชา ข้าจึงไม่กล้าไปเจอกับนางอีก”
สายตาของไท่ฮูหยินมีความแปลกใจ “ขอแค่เจ้าไม่รังเกียจที่พวกเราคนเยอะเกินไปก็พอ”
นายหญิงเซี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็ดีอกดีใจ พูดซ้ำๆ ว่า “ไม่รังเกียจเจ้าค่ะ ไม่รังเกียจเจ้าค่ะ”
เรื่องราวก็ตกลงตามนี้
ฮูหยินสองรู้ก็ตกใจ “เชิญไปทานข้าวที่จวนหรือเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ข้าเห็นว่านางจริงใจเป็นอย่างมากจึงตอบตกลงแทนเจ้าไปแล้ว” พูดด้วยน้ำเสียงเกลี้ยกล่อม
ฮูหยินสองเงียบไปครู่หนึ่ง
และเมื่อสืออีเหนียงเล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง สวีลิ่งอี๋ก็ทำสีหน้าลำบากใจ
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่ได้โง่ที่จะพูดถึงเรื่องเก่า นางแค่ถามเขาว่าเรื่องนี้จะทำเช่นไร
สวีลิ่งอี๋พึมพำ “ถึงแม้ว่าจะมีแผนการเช่นไรก็ไม่ใช่ตอนนี้” เขาพูดด้วยท่าทีที่เรียบเฉย “คิดเสียว่าไปหาญาติพี่น้องก็แล้วกัน”
สืออีเหนียงพยักหน้าจากนั้นก็ไปรายงานไท่ฮูหยิน
“ก็ดีเหมือนกัน” ไท่ฮูหยินพูด “ไปเป็นแขกตอนนี้ดีที่สุด สามารถไปดูคุณหนูสองของสกุลเซี่ยง แล้วก็เพราะว่าเรื่องพี่หญิงของเจ้า ตามหลักแล้วไม่ควรพูดเรื่องนี้” พูดจบ ไท่ฮูหยินก็ถอนหายใจ “ครั้งนี้นายหญิงเซี่ยงช่างจริงใจเสียจริง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินไม่ถามอะไรต่อ จากนั้นก็ถามถึงพิธีฉลองครบเดือนของบุตรชายอู่เหนียง “…ตั้งชื่อแล้วหรือยัง”
“ตั้งแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “บอกว่าขาดธาตุทอง จึงเรียกว่าซินเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “สกุลของพวกเขาช่างร่ำรวยเสียจริง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม จากนั้นก็พูดถึงเรื่องบุตรของอู่เหนียงกับไท่ฮูหยิน
ในเวลาเดียวกัน นายหญิงเกากำลังซักถามนายหญิงเซี่ยง “เป็นเช่นไร เชิญได้หรือไม่”
นายหญิงเซี่ยงพยักหน้า “ต้องยอมก้มหัวให้เจ้าค่ะ”
นายหญิงเกาได้ยินเช่นนี้ก็เบิกตาใส่นาง “หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่รู้ความ จะมีวันนี้ได้อย่างไร”
นายหญิงเซี่ยงยังคงปากแข็ง “หรือว่าโหรวเน่อของเรานอกจากคนสกุลสวีแล้วก็แต่งงานกับใครไม่ได้แล้วหรือ”
“ได้สิ” นายหญิงเกาพูด “แต่ว่าเจ้าพาลูกผิดนัดวิ่งกลับไปที่สกุลเดิมก่อน จากนั้นตอนที่คุณหนูสกุลเจ้ามาเยี่ยมที่จวน เจ้าก็ไม่รายงานปล่อยให้นางยืนรออยู่ข้างนอก ตอนที่นางกลับไปสกุลเดิมเจ้าก็อ้างชื่อท่านพ่อเรียกท่านเขยกลับมา ตอนที่ท่านเขยไปรับตำแหน่งก็ให้แค่อี้จยาไปส่งเขา…เมื่อท่านเขยรู้ว่าสกุลหย่งผิงโหวปฏิเสธงานแต่ง เกรงว่าบัญชีเหล่านี้คงจะต้องมาคิดกับเจ้า! อย่างน้อยเขาก็คงจะชักสีหน้าใส่เจ้า อย่างมากก็คงจะทิ้งเจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงแล้วไม่สนใจเจ้าอีก เจ้าคิดว่า การที่เจ้าเชิญไท่ฮูหยินสกุลสวีและหย่งผิงโหวฮูหยินมาทานข้าวที่จวน จะทำให้เจ้าและท่านเขยกลับมาคืนดีกันเช่นนั้นหรือ หรือว่าต่อไปนี้เจ้าอยากอยู่กับลูกตามลำพังที่เยี่ยนจิง?”
นายหญิงเซี่ยงพูดไม่ออก!