ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 304 มาพบ(ต้น)
มีคนมองมาทางนี้
หู่พั่วรีบดึงสาวใช้น้อยผู้นั้น “อย่าร้อง อย่าร้อง ถ้าคนอื่นจะมาเห็นเข้าเรื่องจะบานปลาย เกรงว่าเจ้าจะทนรับโทษไม่ไหว”
สาวใช้น้อยได้ยินแล้วก็รีบหยุดร้องไห้ พูดสะอึกสะอื้นว่า “บ่าว บ่าวไม่เห็น…”
“เช่นนั้นก็หยุดร้องไห้ได้แล้ว” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าพาข้าไปที่เรือนคุณหนูสามของเจ้า พอข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น ป้ารับใช้ของพวกเจ้าก็จะไม่ตีเจ้า”
สาวใช้น้อยพยักหน้าทั้งน้ำตา รีบพานางไปที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออกอย่างลนลาน
ยังดีที่ห้องชำระถูกสร้างไว้ที่ห้องพักผ่อนข้างหลังเรือนหลัก สกุลกานทำประตูไว้ตรงมุมระหว่างห้องพักผ่อนและเรือนเล็กตะวันออกจึงสามารถเดินผ่านไปได้
ตลอดทางแม้จะมีคนมองพวกนางด้วยความแปลกใจ แต่ล้วนเป็นสาวใช้และป้ารับใช้ สืออีเหนียงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีใครกล้าเข้าไปถาม แต่สาวใช้น้อยผู้นั้นกลับมีสีหน้าหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น แล้วยังมีคนเดินตามมาอีก
สืออีเหนียงอดหันไปมองไม่ได้
เป็นสตรีอายุราวๆ ประมาณห้าสิบปี รูปร่างปานกลาง สวมเสื้อกั๊กผ้าแพรหังโจวปักลวดลายสวยงาม ผมถูกมวยขึ้นแล้วคาดด้วยหวีสีเงิน ปักปิ่นปักผมสีทองแดงบุด้วยเม็ดหยกสีเขียว ใส่ต่างหูสีเขียวมรกต ใบหน้าอวบอิ่มราวกับพระจันทร์เต็มดวง คิ้วของนางเรียวยาว แววตาเผยให้เห็นถึงความใจดีและมีเมตตา
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
แขกที่กานฮูหยินต้อนรับไปที่เรือนหลักต่างก็เป็นแขกผู้มีเกียรติ สตรีนางนี้อย่าว่าแต่แปลกหน้าเลย การแต่งตัวก็ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก หากบอกว่าเป็นป้าผู้ดูแล แต่สีหน้าของนางนั้นดูสงบนิ่งและท่าทางดูใจกว้าง ไม่เหมือนกับบ่าวรับใช้ หรือว่าจะเป็นแขกที่เดินมาผิดเรือน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้สตรีนางนั้น
สตรีผู้นั้นเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็เดินมาหาด้วยความลังเลเล็กน้อย “ฮูหยินท่านนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเรือนหลักของคุณนายใหญ่สกุลกานไปทางไหน”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
สตรีนางนี้เกรงว่าจะเป็นญาติของคุณนายใหญ่สกุลกาน
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจ” จากนั้นก็ถามสาวใช้น้อยผู้นั้นอย่างอารมณ์ดีว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรือนหลักของคุณนายใหญ่สกุลกานไปทางไหน”
สาวใช้น้อยรีบพยักหน้าแล้วพูดว่า “จากประตูหลังของเรือนที่คุณหนูสามพักอยู่ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพูดกับสตรีผู้นั้นว่า “พวกเรากำลังจะไปที่เรือนของคุณหนูสาม…เป็นทางผ่านพอดี” ถามนางอย่างอ้อมค้อมว่าจะไปด้วยกันหรือไม่
สตรีนางนั้นได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เช่นนั้นก็คงต้องรบกวนฮูหยินท่านนี้แล้ว”
“นายหญิงไม่ต้องเกรงใจ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางเดินไปพร้อมกับสตรีนางนั้นไปที่เรือนของเฉาเอ๋อร์
สตรีผู้นั้นชี้ไปที่คราบน้ำบนตัวนาง “ท่าน…” สาวใช้น้อยที่เดินนำอยู่ด้านหน้าตกใจจนตัวสั่น
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ทันระวังจึงทำน้ำชาหกบนเสื้อผ้า” ไม่พูดอะไรนอกจากนี้
สาวใช้น้อยหันกลับมามองด้วยความซาบซึ้งใจ
สตรีนางนั้นเพียงแต่ยิ้มไม่ได้ถามอะไรอีก พวกนางเดินเข้าไปในเรือนของเฉาเอ๋อร์
สาวใช้คนสนิทของเฉาเอ๋อร์กำลังยืนอยู่ตรงบันไดของห้องหลักกำชับสาวใช้น้อยอยู่ นางรู้จักสืออีเหนียง จึงรีบทิ้งสาวใช้น้อยแล้วเดินเข้ามาคำนับ “สวีฮูหยิน!” จากนั้นก็สังเกตเห็นคราบน้ำบนตัวนางจึงพูดด้วยความตกใจ “นี่…”
สืออีเหนียงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้สาวใช้ฟัง ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณหนูสามของเจ้าอยู่ในเรือนหรือไม่”
“อยู่ อยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบพูดต่อว่า “เชิญท่านเข้ามานั่งข้างในก่อนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดอย่างเกรงใจว่า “เจ้าเข้าไปรายงานก่อนเถิด”
สาวใช้ไม่กล้าตัดสินใจเองจึงรีบเข้าเรือนไปรายงานคุณหนูของตัวเอง
สืออีเหนียงพูดกับสาวใช้น้อยผู้นั้นว่า “เจ้าพาฮูหยินท่านนี้ไปหาคุณนายใหญ่ของเจ้าเถิด หากมีคนถามเจ้าก็บอกว่าข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าช่วยนำทางนายหญิงท่านนี้ ที่เหลือก็ไม่ต้องพูดอะไร เข้าใจหรือไม่”
สาวใช้น้อยได้ยินแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะคำนับสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ฮูหยิน บ่าวจะไม่มีวันลืมบุญคุณของท่านไปตลอดชีวิต”
สืออีเหนียงรู้สึกปวดหัว
หนึ่งคือไม่ชิน สองคือการที่สาวใช้น้อยพูดเช่นนี้ สตรีนางนั้นจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน นางจึงอดที่จะอธิบายไม่ได้ มิเช่นนั้นหากสตรีนางนั้นพลั้งปากพูดออกไป ความหวังดีของนางก็คงสูญเปล่า
สืออีเหนียงส่งสัญญาณให้หู่พั่วดึงสาวใช้น้อยขึ้นมา “รีบลุกขึ้นเถิด ระวังทำกระโปรงเลอะเทอะ เดี๋ยวคนมาเห็นจะตำหนิเอาได้”
สาวใช้น้อยยืนขึ้นทั้งน้ำตา
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดกับนายหญิงผู้นั้นว่า “วันนี้เป็นวันดีของคุณหนูเจ็ด พวกเราในฐานะที่เป็นแขก ควรจะปล่อยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไป”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าพลางอมยิ้ม “ฮูหยินพูดถูกแล้ว” ทันทีที่นางพูดจบ บรรดาสาวใช้พร้อมกับเฉาเอ๋อร์ก็เปิดผ้าม่านแล้วเดินออกมา
เมื่อเห็นว่าที่ลานมีคนยืนอยู่ครึ่งลาน นางก็มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นคราบน้ำบนเสื้อผ้าของสืออีเหนียงก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไร!” สืออีเหนียงเห็นสีหน้าของสาวใช้น้อยเปลี่ยนไปจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่ทันระวังทำน้ำชาหกใส่เสื้อผ้า อยากให้เจ้าช่วยหาเสื้อผ้ามาให้ข้าเปลี่ยนสักหน่อย”
ดวงตาของเฉาเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสับสน “ผ้าสีม่วงแดงมีลายปักเลื่อมไม่ขาดสาย…นี่คงเป็นผ้าแพรหังโจวที่เจียงหนานทอขึ้นส่งเป็นบรรณาการเมื่อปีที่แล้วใช่หรือไม่ ท่านแม่ของข้าได้สีแดงมะเขือเทศมาผืนหนึ่ง แล้วนำไปแลกสีแดงเข้มกับโจวฮูหยินมาทำเสื้อกั๊กยาวให้หลานถิง เตรียมให้นางใส่ตอนหมั้นหมาย เกรงว่าจะไม่มีผ้าเนื้อดีเช่นนี้!”
สาวใช้น้อยเริ่มสั่นคลอนเล็กน้อย สืออีเหนียงกลัวว่าหากนางพูดต่อไปสาวใช้น้อยจะล้มลงไปกองกับพื้น จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เวลานี้จะมาสนใจเรื่องเนื้อผ้าดีหรือไม่ดีได้อย่างไร ข้าขอยืมเสื้อผ้าคุณหนูสามมาแก้ขัดให้ข้าก่อนก็พอแล้ว”
เฉาเอ๋อร์เห็นนางสภาพดูไม่ค่อยดีจึงรีบพูดขึ้นว่า “ฮูหยินรีบตามข้ามา!”
สืออีเหนียงพยักหน้าให้สตรีนางนั้น ยิ้มแล้วกำชับสาวใช้น้อย “รีบพาฮูหยินท่านนี้ไปหาคุณนายใหญ่ของเจ้า ดูจากเวลา ใกล้จะเริ่มงานแล้ว!”
สาวใช้น้อยพยักหน้าทั้งน้ำตา
สตรีนางนั้นยิ้มให้สืออีเหนียงอย่างเป็นมิตร จากนั้นก็เดินตามสาวใช้น้อยผ่านประตูด้านข้างไปยังเรือนของคุณนายใหญ่สกุลกาน
เฉาเอ๋อร์ถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านผู้นี้เป็นใคร”
สกุลกานมีญาติมากมายซับซ้อน มีการเชื่อมสัมพันธ์ด้านการแต่งงานไม่น้อย เฉาเอ๋อร์เป็นคุณหนูในจวน การรู้จักไม่ครบทุกคนนั้นถือเป็นเรื่องปกติ สืออีเหนียงตอบว่า “เห็นบอกว่าเป็นแขกของพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าเดินหลงทางมา”
เฉาเอ๋อพยักหน้า พาสืออีเหนียงเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดใหม่สีชมพูกลีบบัวของนาง จากนั้นก็พาสืออีเหนียงไปที่เรือนหลัก
ทุกคนเห็นนางเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างกะทันหันก็พากันหยอกล้อว่า “หรือว่าเจ้าเอาหีบเสื้อผ้ามาด้วย”
“ชาหกเลอะเสื้อผ้าเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วอธิบายว่า “ดังนั้นข้าจึงยืมเสื้อผ้าของคุณหนูสามมาใส่”
โจวฮูหยินหัวเราะ แล้วตะโกนว่า “เฉาเอ๋อร์ นี่เป็นโอกาสของเจ้า! นางมีเสื้อผ้าชั้นดีมากมาย ให้นางหาชุดใหม่มาคืนให้เจ้าสิ”
เฉาเอ๋อร์เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่รู้จักการหยอกล้อเช่นนี้ และไม่รู้จักหยอกล้อผู้คน จึงได้เพียงแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงตอบตกลงเต็มปากเต็มคำว่าวันพรุ่งนี้จะมอบผ้าแพรหังโจวปักลายเลื่อมให้เฉาเอ๋อร์ผืนหนึ่ง
“ช่างละเอียดอ่อนเสียจริง” กานฮูหยินจูงมือนางพลางถอนหายใจเบาๆ “ตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่าสกุลเหลียงมีหน้ามีตาและมีความรู้กว้างขวาง ไม่อาจทำให้หลานถิงเสียหน้าได้ จึงไม่มีเวลามาสนใจเฉาเอ๋อร์”
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มให้กานฮูหยิน
บางทีนางเพียงแค่ไม่อยากให้กานฮูหยินต้องลำบากใจ!
ตอนที่หลานถิงขึ้นเกี้ยว คุณนายใหญ่สกุลกานก็คอยปรนนิบัติกานฮูหยินที่กำลังส่งบุตรเขยคนใหม่อยู่ห้องโถงด้านหน้า บรรดาพี่สะใภ้ของหลานถิงต่างก็มองหน้ากันไปมา แต่ละคนท่าทางหวาดกลัวไม่กล้าเดินเข้าไป ก็เป็นคุณนายใหญ่สกุลกานที่รีบมาให้อั่งเปาตอนอยู่บนเกี้ยว พี่สะใภ้แต่ละคนก็ควักอั่งเปาออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
คุณนายสามสกุลหวงส่งสายตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงทำเป็นมองไม่เห็น
แต่งบุตรสาวออกไปก็มีข้อเสียตรงที่ว่าเมื่อเกี้ยวถูกยกไปแล้วที่จวนก็จะเงียบเงา มีคนทยอยกันขอตัวกลับ สืออีเหนียงเองก็กล่าวลากับกานฮูหยินเช่นกัน
กานฮูหยินรั้งนางไว้ “ยากนักที่เจ้าจะได้อยู่คนเดียวตอนอยู่นอกจวน โจวฮูหยินและคนอื่นๆ ก็ไม่ใช่คนนอก เจ้าสามารถหัดเล่นไพ่กับพวกนางเพื่อความสนุกสนานได้ เรื่องในเรือนก็เหมือนกับหญ้า พอถอนแล้วก็ยาว พอยาวก็ต้องถอน จะอยู่ต่ออีกสักหน่อยก็ไม่ถือว่าเสียเวลา!” น้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างมากเห็นได้ชัดว่านางต้องการให้สืออีเหนียงอยู่จากใจจริง
สืออีเหนียงไม่ปิดบัง พูดเสียงเบาว่า “ข้ามีสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติข้ามาตั้งแต่เด็กพึ่งแต่งงานไปเมื่อวันที่ยี่สิบเดือนที่แล้ว บอกว่าจะกลับมาวันนี้ เกรงว่าตอนนี้จะรอข้าอยู่ที่เรือน”
กานฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นสาวใช้ที่ปรนนิบัติเจ้ามาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าความสัมพันธ์ย่อมไม่ธรรมดา เจ้ากลับไปเถิด ข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว” จากนั้นก็ลุกขึ้นไปส่งนางด้วยตัวเอง
โจวฮูหยินก็รั้งสืออีเหนียงไว้เช่นเดียวกัน “ทำไมเจ้าถึงรีบร้อนนัก ทานข้าวเย็นแล้วค่อยกลับดีหรือไม่”
กานฮูหยินช่วยสืออีเหนียงปกปิด ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จวนมีผู้อาวุโสและเด็กๆ จะนั่งอยู่ที่นี่นานได้อย่างไร เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเจ้าหรือ อยากทำอะไรก็ทำ”
โจวฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็คัดค้าน ยิ้มแล้วพูดว่า “มีใครบ้างที่ไม่แอบทำตัวว่างในเวลายุ่งๆ”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยังให้นางอยู่เล่นเป็นเพื่อนเจ้าอีก” ปกป้องสืออีเหนียงอย่างเต็มที่ ทำเอาโจวฮูหยินประหลาดใจ
กานฮูหยินก็แค่พูดไปเรื่อย แต่เมื่อพูดออกไปแล้วถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองเป็นเจ้าภาพพูดเช่นนี้เหมือนกับกำลังไล่แขก จึงหัวเราะแล้วพูดปิดฉากว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้ารีบตั้งวงกันเถิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะเป็นการเสียเวลา”
โจวฮูหยินถามสืออีเหนียงก็เพราะจะแสดงให้เห็นว่านางอยากรั้งสืออีเหนียงไว้ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมสืออีเหนียงรีบกลับจวนนั้น ในเมื่อสืออีเหนียงไม่พูดนางก็ไม่อาจถามได้ จึงทำเป็นคล้อยตามคำพูดของกานฮูหยิน ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าแล้ว เดินทางระมัดระวังด้วย” พาสืออีเหนียงไปส่งที่หน้าประตูเรือน จากนั้นก็หันกลับไปดึงคุณนายสามสกุลหวงเข้าห้องไปเล่นไพ่
กานฮูหยินไปส่งสืออีเหนียงที่ประตูฉุยฮวา พอสืออีเหนียงขึ้นรถม้าแล้วนางถึงได้หันหลังกลับ
สืออีเหนียงเร่งรถม้าจนในที่สุดก็กลับมาถึงจวนหย่งผิงโหวในยามพลบค่ำ
ปินจวี๋รอนางอยู่ที่ลานนานแล้ว
นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงปักลายพุดตานสีเหลือง มวยผมขึ้น ทาขี้ผึ้งเปิดผมหน้าม้าขึ้นเผยให้เห็นหน้าผากขาวสะอาด คิ้วเรียวเล็กราวกับใบหลิว ทาปากสีแดงอมชมพู ดูสีหน้าสงบนิ่ง มีความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นมา ราวกับหญิงสาวโตเต็มวัย
“ฮูหยิน!” ปินจวี๋น้ำตาคลอ นางย่อเข่าคำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม
“ปินจวี๋!” สืออีเหนียงวิ่งเข้าไป คว้ามือนางไว้แล้วมองซ้ายขวา
ความสุขที่ได้พบกันอีกครั้งได้กลายเป็นความประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไร”
สืออีเหนียงซักถาม “ไหนบอกข้ามาหน่อย พวกเขารังแกเจ้าหรือไม่ ให้เจ้าตัดฝืน แบกน้ำ จุดไฟ ทำอาหารทุกวันหรือไม่!”
“เปล่า เปล่าเจ้าค่ะ” ปินจวี๋ยิ้มพลางยื่นมือออกไป “หากไม่เชื่อท่านก็ตรวจดูได้เจ้าค่ะ”
แต่น้ำตากลับคลอออกมา
สืออีเหนียงสำรวจมือของนางอย่างละเอียด เห็นมือขาวเนียนละเอียดอย่างเช่นเคยจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นับว่าใส่ใจดีมาก!”
ปินจวี๋น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
ป้าซ่งที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไอ๊หยา เกิดอะไรขึ้น วันนี้เป็นวันดีที่เจ้าได้กลับมา ฮูหยินรอแล้วรออีก ต้องมีความสุขถึงจะถูก ทำไมร้องไห้เสียแล้ว”