ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 301 ภรรยาเอกคนที่สอง(ต้น)
เมื่อนายหญิงเซี่ยงได้ฟังเช่นนี้ก็ดีดตัวขึ้นมา “นางจะไปช่วยอะไรได้ แค่ไม่สร้างเรื่องวุ่นวายก็นับว่าดีแล้ว หย่งผิงโหวฮูหยินในตอนนี้คือน้องสาวของหลัวหยวนเหนียง คุณหนูของพวกเรากับหลัวหยวนเหนียงขึ้นชื่อว่าไม่ถูกกัน หลัวหยวนเหนียงก็ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ แล้วน้องสาวของนางจะดีสักแค่ไหนกันเชียว”
นายหญิงเกาได้ฟังแล้วก็ก้มหน้าครุ่นคิด
นายหญิงเซี่ยงทั้งรักทั้งกลัวพี่สะใภ้คนนี้ เมื่อเห็นดังนั้นก็ดึงแขนเสื้อพี่สะใภ้เบาๆ “พี่สะใภ้ใหญ่…”
นายหญิงเกาเงยหน้ามองสายตาขี้ขลาดของนายหญิงเซี่ยงแล้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มีบางเรื่องที่ข้าต้องคิดทบทวนอีกครั้ง” ขณะที่กำลังปลอบใจนาง จู่ๆ ก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง “ท่านเขยถามว่าหากนายหญิงยังมีเรื่องจะกำชับกับคุณหนู เช่นนั้นเขาขอไปพบนายท่านที่ห้องหนังสือก่อนเจ้าค่ะ”
นายหญิงเซี่ยงได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
นายหญิงเกาดึงมือนายหญิงเซี่ยงไว้ จากนั้นก็กำชับสาวใช้น้อยว่า “เจ้าไปบอกกับน้องเขยวันนี้คุณหนูไม่กลับไปแล้ว ให้เขากลับไปก่อน”
“พี่สะใภ้ใหญ่!” นายหญิงเซี่ยงได้ฟังนายหญิงเกาพูดเช่นนี้ก็มีท่าทีตกตะลึง
นายหญิงเกาไม่สนใจนายหญิงเซี่ยง พูดต่อว่า “ส่วนบรรดาคุณชายน้อยและคุณหนูก็ให้อยู่ที่นี่ด้วยเลย นายท่านใหญ่ไม่ได้เจอหลานชายหลานสาวมาหลายปีแล้ว อาศัยโอกาสที่อยู่ที่เยี่ยนจิงอยู่คุยกับนายท่านใหญ่ ให้นายท่านใหญ่มีความสุข!”
นายหญิงเซี่ยงมองพี่สะใภ้ของตัวเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่นางยังบอกว่าตัวเองไม่ควรพาลูกๆ กลับสกุลเดิม เหตุใดจู่ๆ ถึงให้ตัวเองกับลูกๆ อยู่ต่อ
สาวใช้น้อยคนนั้นย่อมเชื่อฟังนายหญิงอยู่แล้ว แต่ก็กลัวคุณหนูจะไม่สบอารมณ์ จึงรีบย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไปทันที
นายหญิงเกาพูดกับนายหญิงเซี่ยงอย่างช้าๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าเจ้าทำไม่ถูก เจ้าไม่ควรพาลูกๆ กลับมาสกุลเดิมเวลาเกิดเรื่อง แล้วทำให้เรื่องในเรือนเอะอะโวยวายไปถึงด้านนอก ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ ตอนนี้ที่ข้าให้เจ้าอยู่ต่อ เพราะว่าเรื่องนี้น้องเขยทำไม่ถูก แม้ว่าเขาจะตั้งใจให้โหรวเน่อแต่งกับสวีซื่ออวี้ แต่ก็ควรจะปรึกษากับเจ้าก่อนแล้วค่อยให้คำตอบคุณหนูสกุลเซี่ยง ไม่ควรไปตอบตกลงกับคุณหนูสกุลเซี่ยงโดยตรงเช่นนี้”
นายหญิงเซี่ยงไม่รู้สึกว่าสองเรื่องนี้แตกต่างกันตรงไหน นางพูดเสียงดังขึ้นมา “…มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ!”
นายหญิงเกาได้ฟังเช่นนั้นก็ระเบิดออกมา “โชคดีที่ท่านพ่อให้เจ้าแต่งเข้าสกุลเซี่ยง หากแต่งเข้าสกุลอื่นเกรงว่าคงจะโดนกินไม่เหลือแม้แต่กระดูก” เมื่อเห็นนายหญิงเซี่ยงหน้างอ ก็ทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขัน พูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว พักอยู่ที่นี่ให้สบายใจเถิด หากมีเรื่ออันใดข้าจะจัดการเอง”
นายหญิงเซี่ยงเคารพพี่สะใภ้ใหญ่ของตัวเองมากที่สุด เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มออกมาทันที “เจ้าค่ะพี่สะใภ้ใหญ่ เช่นนั้นข้าจะพักที่นี่สักสองสามวัน จะได้ไม่ต้องไปเจอหน้าเขาแล้วอารมณ์เสีย”
นายหญิงเกาหัวเราะอย่างจนปัญญา “เจ้านี่จริงๆ เลย เมื่อไรจะโตสักที!”
นายหญิงเซี่ยงคล้องแขนนายหญิงเกาแล้วพูดเสียงหวานว่า “ก็ข้ายังมีพี่สะใภ้อยู่ไม่ใช่หรือ”
ในตอนเย็น นายท่านเกาตำหนิภรรยา “เหตุใดเจ้าถึงให้น้องสาวอยู่ต่อ ถ้าคนอื่นรู้เข้าจะแย่เอาได้!”
“มันไม่ดีตรงไหน” นายหญิงเกาปรนนิบัติสามีเปลี่ยนเสื้อผ้า “ก็บอกว่าข้าป่วยไม่ใช่หรือ ข้าเองก็เลี้ยงคุณหนูมาตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ข้าป่วย นางจึงพาลูกๆ กลับสกุลเดิมเพื่อมาเยี่ยมข้า มีอะไรผิดตรงไหน”
“เช่นนั้นทางสกุลสวี…” นายท่านเกาพูดพึมพำ “หากไม่ใช่บุตรที่เกิดจากสาวใช้ ก็นับว่าเหมาะสมกัน”
“ไม่เป็นไร!” นายหญิงเกาพูดอย่างไม่เห็นด้วย “ไท่ฮูหยินสกุลสวีเป็นคนอย่างไร ก็ต้องการเพียงแค่ทางลงเท่านั้นแหละ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่นั้น ข้าว่ายังต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ! อย่างน้อยก็ต้องให้คุณหนูสกุลเซี่ยงผู้นั้นเข้าใจอย่างชัดเจนว่าใครคือนายหญิงของสกุลเซี่ยงที่แท้จริง!”
นายท่านเกาได้ยินถึงความซับซ้อนของสตรีเหล่านี้ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที เขากำชับมาหนึ่งประโยค “ถึงแม้ว่าการหมั้นหมายจะไม่สำเร็จ แต่เจ้าก็ห้ามไปล่วงเกินสกุลสวีเด็ดขาด!”
“ข้าทำอะไรนายท่านยังไม่วางใจอีกหรือ” นายหญิงเกาพูดต่อว่า “ข้ารู้ขอบเขตดี” จากนั้นก็เรียกสาวใช้น้อยไปตักน้ำล้างหน้าให้นายท่านเกา
นายท่านเกาไม่ปริปากพูดอะไร สองสามีภรรยานอนหลับพักผ่อนโดยไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
สืออีเหนียงยังไม่เข้านอน นาง ป้าซ่ง หู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ อยู่ที่เรือนของหยวนเหนียง ส่วนป้าเถาเดินกุมมืออยู่ด้านหลังสุด
หลายวันมานี้นางดูแลเรือนของหยวนเหนียง สืออีเหนียงให้นางไปฟังคำสั่งที่เรือนตัวเองทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบเอ็ด
“พรุ่งนี้จะสวดพระสูตรสักการะที่นี่ แม้ว่าผู้ที่มาที่นี่จะเป็นนักบวช แต่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก็ต้องหลีกเลี่ยง” นางกำชับป้าซ่ง “เมื่อถึงเวลานั้นแขกที่มาถึงจะมีเจ้าคอยนำบรรดาป้ารับใช้ทำหน้าที่ดูแลแขก หู่พั่วรับผิดชอบสาวใช้น้อยที่รินน้ำชาและจัดวางขนมเหล่านั้น ลี่ว์อวิ๋นพาหงซิ่ว เยี่ยนหรง และคนอื่นๆ คอยอยู่ข้างๆ ข้า ปรนนิบัติบรรดาฮูหยินเหล่านั้น ส่วนข้าวของเครื่องใช้ในห้องและของตกแต่ง…” สืออีเหนียงมองไปที่ป้าเถา “ให้ป้าเถาเป็นคนรับผิดชอบ”
คนที่ถูกเรียกชื่อไม่ได้มีอาการตกใจ พวกนางย่อเข่าตอบรับคำพร้อมเพรียงกัน “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นว่าจัดแจงทุกอย่างไว้เกือบเรียบร้อยแล้วจึงพาป้าซ่งและคนอื่นๆ กลับเรือนตัวเอง เช้าวันรุ่งขึ้นนางตื่นแต่เช้า หลังจากคารวะไท่ฮูหยินแล้วก็เริ่มยุ่งอยู่กับพิธีบวงสรวง เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟก็จัดการเกือบเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรีบให้ป้าตู้ยกขนมถั่วแดงกวนมาให้นาง “ต้องดูแลสุขภาพให้มาก มีเรื่องอะไรก็มอบหมายให้ผู้ดูแล แล้วยังมีคนที่ถูกส่งมาช่วยจากเรือนนอก ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์มากมายทั้งสิ้น”
ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว อาหารการกินรสชาติจึงค่อนข้างจืด แม้ว่าขนมถั่วแดงกวนจะดีต่อสุขภาพ แต่รสชาตินั้นจัดจ้านและมีกลิ่นแรงพอสมควร ไท่ฮูหยินจึงไม่ชอบกิน เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินเตรียมไว้ให้นางโดยเฉพาะ
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้งใจมาก แม้ว่ารสชาติจะไม่ค่อยดี แต่ก็ยังกินไปพร้อมกับน้ำตาลสองสามชิ้น “เพราะว่าได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากทุกคน ดังนั้นข้าจึงไม่รู้สึกเหนื่อยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ตอนยังสาวก็ต้องลำบากและเรียนรู้อะไรให้มาก พออายุเยอะแล้วก็จะมีคุณสมบัติมากพอที่อวดต่อหน้าคนรุ่นหลังได้!”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางพูดคุยกับไท่ฮูหยินสองสามประโยค จากนั้นก็ถามถึงฮูหยินสอง “…ยังไม่กลับมาหรือเจ้าคะ”
“กลับมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว” ไท่ฮูหยินพูดต่อว่า “บอกว่านายหญิงเซี่ยงกลับสกุลเดิมเพื่อไปดูแลพี่สะใภ้ อาจใช้เวลาสองสามวันกว่าจะกลับมา!”
ในยุคนี้ระดับความรู้วิชาการแพทย์นั้นค่อนข้างต่ำ การป่วยจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ไม่มีใครเอาเรื่องสภาพร่างกายของตัวเองมาล้อเล่น เมื่อพูดเช่นนี้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จก็ถือว่ายังไว้หน้าสกุลสวีอยู่ไม่น้อย
“เช่นนั้นพวกเราต้องไปเยี่ยมพี่สะใภ้ของนายหญิงเซี่ยงหรือไม่” สืออีเหนียงขอคำปรึกษาจากไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพูดว่า “ตามหลักแล้ว เมื่อรู้แล้วก็ควรไปเยี่ยม แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับไม่ง่ายเลยที่จะไป ข้าบอกกับอี๋เจินแล้วว่าให้นางนำของไปเยี่ยมพี่สะใภ้ของนายหญิงเซี่ยง นายหญิงซี่ยงเป็นพี่สะใภ้ของนาง ความสัมพันธ์จะใกล้ชิดมากกว่าพวกเรา”
สืออีเหนียงพยักหน้า ไท่ฮูหยินเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงเร่งให้นางกลับไปพักผ่อน สืออีเหนียงเห็นว่าพรุ่งนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกเช่นกัน จึงยิ้มพลางคำนับไท่ฮูหยินแล้วกลับไปที่เรือนของตัวเอง
เมื่อถึงพิธีบวงสรวงวันที่สิบเก้าเดือนสาม สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าก็นำซินเจี่ยเอ๋อร์ไปไว้ที่ตรอกหงเติง เมื่อฟ้าใกล้สางก็นั่งรถม้ากลับจวน บอกว่ามาช่วยงาน สวีลิ่งอี๋พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ไปที่เรือนนอกกับสวีลิ่งควน หลังจากที่สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าคารวะไท่ฮูหยินแล้วก็ไปที่เรือนหลัก
ระหว่างทางสืออีเหนียงพูดขอบคุณฮูหยินห้า
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องในตระกูลของเรา”
ระหว่างบรรดาสะใภ้ ความสัมพันธ์เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มให้ฮูหยินห้า
พอฟ้าสาง ญาติพี่น้องและมิตรสหายของสกุลสวีต่างก็ทยอยกันมา จุดธูปถวายเครื่องสังเวยสามอย่าง บางคนก็อยู่ทานอาหารกลางวัน บางคนก็ขอตัวกลับก่อน สืออีเหนียงให้ฮูหยินห้าอยู่ทักทายกับบรรดาฮูหยินที่อยู่ทานอาหารกลางวันในห้องโถงบุปผา ส่วนตัวเองก็กล่าวลาบรรดาผู้คนที่จะกลับอยู่ที่ชายคาห้องโถงบุปผา ได้พบกับฮูหยินของเฉินเก๋อเหล่า และฮูหยินของเหลียงเก๋อเหล่า จึงต้องไปส่งที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง
เมื่อถึงเวลากลางวัน ขาของสืออีเหนียงก็เมื่อยล้าไปหมดแล้ว นางถามลี่ว์อวิ๋นว่า “เจ้าไปดูว่าห้องโถงบุปผาได้เริ่มทานข้าวกันแล้วหรือยัง”
ลี่ว์อวิ๋นคิดว่านางคงหิวมากเพราะเมื่อเช้ากินน้อย จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ฮูหยิน บ่าวไปเอาของว่างมาให้ท่านทานรองท้องก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ใช่แบบนั้น” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตอนกลางวันมีคนมาร่วมพิธีน้อยลง หากคนที่อยู่ต่อล้วนไปนั่งทานข้าวกันแล้ว ตอนนี้พวกเราก็จะมีเวลาว่างพอดี หาสถานที่นั่งพักแล้วเจ้าช่วยนวดขาให้ข้าที”
พอลี่ว์อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็รีบเข้าไปพยุงนาง “ท่านไปนั่งที่ห้องรับรองก่อน บ่าวจะไปดูที่ห้องโถงบุปผาประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบก็มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามาอย่างลนลาน “ฮูหยินสี่ แย่แล้วเจ้าค่ะ กานฮูหยินจวนจงฉินปั๋วเป็นลมไปแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตกใจ ไม่มีเวลามาสนใจว่าขาจะปวดเมื่อยหรือไม่ ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเร่งรุดไปที่ห้องโถงบุปผาทันที นางรีบเดินพลางกำชับลี่ว์อวิ๋นว่า “รีบไปบอกพ่อบ้านไป๋ที่อยู่เรือนนอก ให้เขารีบไปเชิญหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้”
ลี่ว์อวิ๋นไม่มีเวลาสนใจอะไรมาก นางรีบวิ่งไปที่เรือนนอกตามคำสั่ง
เยี่ยนหรงพาสืออีเหนียงไปที่ห้องโถงบุปผา
อาหารยังไม่ทันได้นำมาวาง ทุกคนต่างก็ล้อมกันอยู่ที่มุมกำแพงด้านตะวันออก
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปหา
เมื่อมีคนเห็นสืออีเหนียงก็รีบพูดขึ้นมาว่า “หลีกทางหน่อย ฮูหยินสี่มาแล้ว!”
ฝูงชนแยกตัวออกจากกันโดยปริยาย แหวกทางให้สืออีเหนียงเดินเข้ามา
สืออีเหนียงเห็นฮูหยินห้ากำลังโอบร่างกานฮูหยินด้วยสีหน้าร้อนรน
เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าพลันผ่อนคลาย “พี่สะใภ้สี่ เมื่อครู่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่จู่ๆ กานฮูหยินก็เป็นลมล้มพับไป”
สืออีเหนียงเห็นใบหน้าของกานฮูหยินขาวดุจกระดาษ ริมฝีปากดำคล้ำ ในใจรู้สึกไม่มั่นใจ กลัวว่านางจะแน่นหน้าอกหรือมีอาการหลอดเลือดในสมอง จึงพูดเสียงเบาว่า “สองวันมานี้กานฮูหยินต้องเตรียมงานแต่งของหลานถิง แล้วยังต้องรีบมาร่วมพิธีของพี่หญิงใหญ่ เกรงว่าคงจะเหนื่อยเกินไป เจ้าพยุงนางขึ้นก่อน ข้าจะไปหายาดมมาให้นางดม” นางพยายามถ่วงเวลา
ใครจะไปรู้ว่าทันทีที่นางพูดจบก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ข้ามียาดม”
สืออีเหนียงรีบรับกล่องยาดมมาแกว่งไปมาใต้จมูกกานฮูหยิน
กานฮูหยินจามพร้อมกับลืมตาขึ้นมา
ทุกคนล้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พากันพูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว!”
สืออีเหนียงรีบถามกานฮูหยินว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ข้าไม่เป็นไร!” กานฮูหยินค่อยๆ ออกจากอ้อมแขนของฮูหยินห้าหยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ มองผู้คนรอบข้าง “ข้าแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
“ทำเอาพวกเราตกอกตกใจกันหมด” คุณนายสามสกุลหวงและคนอื่นๆ หัวเราะ
กานฮูหยินหัวเราะตาม
สืออีเหนียงเห็นว่านางฝืนยิ้ม สีหน้ายังซีดยิ่งกว่าเดิม จึงแอบกังวลอยู่ “ให้ข้าพยุงท่านไปพักผ่อนที่ลานเล็กด้านข้างดีหรือไม่”
กานฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็รบกวนฮูหยินสี่แล้ว”
เยี่ยนหรงมีไหวพริบ จึงพาสาวใช้น้อยไปเก็บกวาดก่อน สืออีเหนียงกล่าวกับบรรดาฮูหยินท่านอื่นด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็พยุงกานฮูหยินไปยังลานเล็กด้านข้าง