ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 296 สหายเก่า(ต้น)
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร
คำพูดของอี๋เหนียงสองฟังดูเหมือนตรงไปตรงมา แต่พอลองคิดดูดีๆ กลับมีร่องรอยการแก้ต่างให้ตัวเองทุกประโยค
เหตุใดหยางอี๋เหนียงถึงฝากสือเหนียงไว้กับพวกนางสองคน พวกนางสองคนมีอะไรที่ควรค่าแก่การไหว้วานของหยางอี๋เหนียง
สือเหนียงเข้าเมืองหลวง แต่งงานกับหวังหลังแล้วกลายเป็นหญิงม่าย…ตอนนี้การสืบสาวเรื่องเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่นางกังวลคือการมาเยือนของหลูหย่งกุ้ย อี๋เหนียงทั้งสองเคยทำความผิด หากจะบอกว่าเป็นการมาพบเพื่อนเก่า สืออีเหนียงไม่เชื่อเป็นอันขาด
แต่ไม่เชื่อแล้วจะทำอะไรได้
นางก็แค่เจอกับเรื่องนี้โดยบังเอิญ หากมีปัญหาอะไรจริงๆ แล้วตัวเองสืบสาวราวเรื่องต่อไป เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
นางยืนขึ้น “เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ข้ายังต้องไปปรนนิบัติไท่ฮูหยินทานอาหารกลางวัน ไม่ขอรบกวนการบำเพ็ญเพียงของอี๋เหนียงทั้งสองแล้วเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงสองพยักหน้า แต่อี๋เหนียงใหญ่กลับยิ้มแล้วพานางไปส่งที่หน้าประตูเรือน
ไต้ซือจี้หนิงไม่อยู่ แต่ให้นักบวชน้อยไว้คอยปรนนิบัติ นักบวชน้อยเป็นคนนำทาง ป้าซ่งพาสืออีเหนียงกลับเรือนพัก
หู่พั่วกำลังตั้งหน้าตั้งตารอ
“ฮูหยิน!” นางรีบเข้ามาคำนับ “บ่าวเห็นด้านข้าง แปดถึงเก้าในสิบส่วนเหมือนกับพ่อบ้านหลู แต่ตามไปไม่ทันเจ้าค่ะ!”
“เจ้าตามไปหรือ” สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “เจ้าตามไปอย่างไร”
“ตอนแรกบ่าวไม่ค่อยแน่ใจ บ่าวพาบ่าวรับใช้เบียดเสียดเข้าไป พึ่งจะเห็นใบหน้าชัดเจนเขาก็หันหลังเดินไปที่ตำหนักต้าสยงเป่า ข้าไม่กล้าเรียกจึงได้เดินตามไป ใครจะไปรู้ว่าเขาก้าวเท้าฉับไวหายเข้าไปในฝูงชน บ่าวเห็นว่าตามไปไม่ทันแล้วจึงตะโกนเรียก ใครจะไปรู้ว่าตอนบ่าวไม่เรียกก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอบ่าวเรียกเขาก็เดินเร็วยิ่งกว่าเดิม พอข้าตามจนถึงประตูซานเหมินเขาก็หายไปแล้ว”
หากไม่ใช่เพราะไปทำผิดอะไรมา เหตุใดต้องหลบด้วย!
สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึม กำชับป้าซ่งว่า “พอกลับไปเจ้าไปเรียกหลูหย่งฝูมาให้ข้า!”
ป้าซ่งคำนับรับคำสั่ง
สาวใช้น้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านข้าง เห็นสืออีเหนียงและคนอื่นๆ ยืนอยู่ที่ลาน สีหน้าผ่อนคลาย ยิ้มแล้วเดินเข้ามาคำนับ “ฮูหยินสี่ ไท่ฮูหยินตื่นแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงส่งสายตาให้ป้าซ่งและหู่พั่วแล้วรีบเดินเข้าห้องไป
อาหารเจในตอนกลางวันถูกจัดให้ห้องปีก รอจนถึงที่สุดแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนสกุลเซี่ยง ป้าตู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไป ‘บังเอิญ’ พบนายหญิงเซี่ยงเดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ คิดว่าเป็นตัวเองที่ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น
แม้ว่าฮูหยินสองจะมีสีหน้าปกติ แต่ใบหน้าของนางกลับดูเยือกเย็น “ท่านแม่ ท่านออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงตอนนี้ทานโจ๊กไปเพียงแค่ครึ่งชามเท่านั้น ข้าว่าอย่ารออีกเลย!”
ไท่ฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “เกรงว่าคงจะมีเรื่องอันใดทำให้ล่าช้า พรุ่งนี้ข้ากับสืออีเหนียงยังต้องไปเยี่ยมหลานถิงที่จวนจงฉินปั๋ว เช่นนั้นก็คงไม่รอแล้ว!”
วันที่สิบเก้าเดือนสามเป็นวันครบรอบสามปีของหยวนเหนียง เมื่อวานไท่ฮูหยินบอกว่าจะทำพิธีรำลึกหยวนเหนียงก่อนแล้วค่อยไปจวนจงฉินปั๋ว...ที่พูดเช่นนี้ก็เพียงแค่จะหาทางออกให้ฮูหยินสองเท่านั้น
สืออีเหนียงหันไปกำชับสาวใช้น้อยให้ไปยกอาหารมา
เมื่อทานอาหารเสร็จก็เดินทางกลับจวน
ฮูหยินสองนั่งรถคันเดียวกันกับไท่ฮูหยินเช่นเคย สืออีเหนียงเอนกายพิงป้าซ่งแล้วหลับไป เมื่อรถม้ามาถึงเหอฮวาหลี่ก็ถูกป้าซ่งปลุกให้ตื่น
หลังจากลงจากรถม้า สวีลิ่งอี๋ก็มาต้อนรับที่หน้าประตู
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นก็แยกย้ายกันไปทานเถิด แล้วก็ไม่ต้องมาคารวะข้า แยกย้ายกันได้!”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังเช่นนั้น ก็เหลือบมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงมองเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ
สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้ถามอะไร โค้งคำนับไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสองไม่ได้พูดอะไร พยุงไท่ฮูหยินขึ้นรถลาก
ทั้งสามคนส่งไท่ฮูหยินจากไป
ฮูหยินสองรีบหันมามองสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร วันนี้พี่สะใภ้ข้าไม่ไปวัดฉือหยวน” จากนั้นสายตาของนางก็จับจ้องไปที่สืออีเหนียง “พรุ่งนี้ข้าจะกลับสกุลเดิม รบกวนน้องสะใภ้สี่ช่วยเตรียมรถม้าให้ข้าด้วย” แล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ว่า “ข้าอยากกลับไปดูว่าทางฝั่งของท่านพี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
แววตาของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ แต่ไม่นานก็ยิ้มแล้วพูดว่า “บางทีอาจเป็นเพราะใต้เท้าเซี่ยงต้องไปเข้ารับตำแหน่ง นายหญิงเซี่ยงจึงค่อนข้างยุ่ง พี่สะใภ้ไม่ต้องรีบร้อน”
ฮูหยินสองไม่ตอบ นางพยักหน้าแล้วย่อเข่าคำนับ พาเจี๋ยเซียงขึ้นรถลากอีกคันกลับไปที่เรือนเสาหวา
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงก็ขึ้นรถลากเช่นกัน
เขาถามภรรยาเสียงเบาว่า “เกิดอะไรขึ้น”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋นิ่งเงียบมาตลอดทางจนมาถึงท่าน้ำ พอสืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา สวีลิ่งอี๋ก็กวักมือเรียกนาง ทั้งสองนั่งคุยกันบนเตียงเตาริมหน้าต่าง
“ดูแล้วเกรงว่าการแต่งงานของอวี้เกอจะยังไม่แน่นอน”
“บางทีอาจจะเกิดเรื่องขึ้นกระมัง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “พอพี่สะใภ้สองกลับมาก็จะรู้เอง พวกเราอย่าคิดเดาไปเองเลยเจ้าค่ะ” แม้ในใจจะเข้าใจดีว่าการแต่งงานของอวี้เกอมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็อดพูดปลอบใจไม่ได้ อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ยังไม่มีบทสรุป แม้การหมั้นหมายจะไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่เกรงว่าฮูหยินสองจะต้องเสียหน้า หากสวีลิ่งอี๋เกิดปมในใจขึ้นมา เกรงว่าต่อไปคงจะไม่เป็นผลดีต่อคุณหนูสองสกุลเซี่ยง
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร เห็นสืออีเหนียงท่าทางอ่อนล้า ก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้าไปพักก่อนเถิด ข้าจะไปหาใต้เท้าเจียง”
สืออีเหนียงประหลาดใจ “เวลานี้หรือเจ้าคะ”
ใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเย็นแล้ว
“ข้าจะไม่กลับมาทานอาหารเย็น” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เรื่องที่อวี้เกอจะไปสำนักศึกษาจิ่นเจี้ยน จะต้องไปบอกเขาไว้ก่อนล่วงหน้าจึงจะถูก หากเขาไม่มีอะไรคัดค้าน ข้าว่าพอสิ้นสุดวิธีไว้อาลัยหยวนเหนียง ก็จะส่งเขาไปเล่ออานทันที”
“จะดูรีบร้อนเกินไปหรือไม่” สืออีเหนียงพูดอย่างลังเล
ตั้งแต่สวีลิ่งอี๋คิดจนไปถึงการตัดสินใจนั้นใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน นี่ไม่ใช่การรบของกองทัพทหารที่จะเพียงแค่ออกคำสั่งก็พอแล้ว
“อวี้เกออายุไม่น้อยแล้ว บางเรื่องยิ่งบอกให้เขาเข้าใจเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี” สวีลิ่งอี๋พูดพึมพำ “ยิ่งล่าช้าจะยิ่งแย่”
นี่คือแผนการที่บิดาวางไว้ให้ลูกๆ สืออีเหนียงไม่อาจพูดอะไรได้ ส่งสวีลิ่งอี๋ไปแล้วก็กลับมาที่ห้อง จากนั้นก็กำชับป้าซ่งให้ไปเรียกหลูหย่งฝูที่เรือนนอก
หลูหย่งฝูกับหลูหย่งกุ้ยมีใบหน้าคล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่อาจเป็นเพราะประสบการณ์ไม่เหมือนกัน สีหน้าท่าทางของหลูหย่งฝูดูเป็นคนเรียบง่ายตรงไปตรงมา อีกทั้งยังดูเป็นคนเกียจคร้านไม่สนใจอะไร แต่บางมุมก็เหมือนหลูหย่งกุ้ยที่เป็นพี่ชาย
พอเขาเข้ามาก็คุกเข่าลงที่หน้าประตู ก้มหน้าก้มตาด้วยความนอบน้อมและหวาดกลัว
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย
เสียงเครื่องลายครามกระทบกันเบาๆ ทำให้ห้องที่เงียบสงัดยิ่งดูสงบ
เมื่อสืออีเหนียงเห็นหลูหย่งฝูบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายก็พูดขึ้นว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็ไม่ใช่เพราะอะไร เพียงแต่มีบางเรื่องที่อยากจะถามเจ้า!”
เสียงของนางไม่ดังไม่เบา ไม่เร็วไม่ช้า ดูสงบเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ และบรรยากาศที่ตึงเครียด ทำให้หลูหย่งฝูรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อสืออีเหนียงพูดจบเขาก็รีบพูดขึ้นว่า “เชิญฮูหยินถามได้เลยขอรับ หากข้าน้อยรู้จะบอกทุกอย่าง”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและพี่น้องของเจ้าได้รับการดูแลจากพ่อบ้านใหญ่หนิวจึงได้เข้าจวนมาเป็นบ่าวรับใช้ จากนั้นก็ได้เป็นผู้ติดตามของพี่หญิงใหญ่ใช่หรือไม่”
หลูหย่งฝูได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าตกตะลึง ราวกับประหลาดใจกับคำพูดนี้ เขาตอบว่า “หลังจากที่ท่านพ่อเสียชีวิตก็ได้รับการดูแลจากพ่อบ้านใหญ่หนิว แต่ว่าท่านพ่อก็เคยเป็นผู้ดูแลห้องบัญชีสกุลหลัวมาก่อน จงรักภักดีต่อนายท่านใหญ่เสมอ นายหญิงใหญ่จึงส่งมาที่เยี่ยนจิงขอรับ”
สืออีเหนียงได้ฟังก็รู้สึกสงสัย “เช่นนั้นก็นับว่าเป็นครอบครัวที่มีพื้นฐานความรู้สืบต่อกันมา” แล้วถามเขาว่า “เจ้าอ่านออกเขียนได้หรือไม่ ใช้ลูกคิดเป็นหรือไม่”
หลูหย่งฝูพลันนึกถึงหยางฮุยจู่
ได้ยินว่าเพราะเขาได้รับความสนใจจากฮูหยินสี่ ดังนั้นถึงได้ไปอยู่ที่ทำการนายหน้า ถือว่าเป็นงานที่ดีอย่างมาก!
เขายิ่งก้มหัวต่ำกว่าเดิม “ข้าน้อยรู้หนังสือเพียงไม่กี่ตัว ตอนเด็กๆ ก็เคยฝึกใช้ลูกคิดกับท่านพ่อขอรับ”
“อืม” สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลานชายของพ่อบ้านหนิวตายอย่างไร ข้าได้ยินมาว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่เป็นคนฉลาดและมีความสามารถไม่น้อย”
หลูหย่งฝูได้ยินแล้วก็ยิ้มเยาะ “ต่อให้เขาฉลาดและมีความสามารถมากกว่านี้แล้วจะไปมีประโยชน์อะไร สุดท้ายเขาก็ยกภรรยาของตัวเองให้คนอื่น…” เมื่อพูดจบสีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความเสียใจที่พูดออกไป
สาวใช้น้อยในตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็กลายเป็นอี๋เหนียงของสกุลหลัวแล้ว ตัวเองเป็นเพียงบ่าวรับใช้ หากพูดวิจารณ์เช่นนี้ฮูหยินต้องไม่พอใจเป็นแน่
จึงรีบพูดแก้ต่างว่า “แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้ว บ่าวเองก็ได้ยินคนเขาพูดมา ส่วนรายละเอียดนั้นไม่รู้ชัดเจนนักขอรับ”
สืออีเหนียงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ถามถึงสถานการณ์ที่เขาทำงานที่คอกม้าว่าหนึ่งเดือนได้เท่าไร งานหนักหรือไม่ ครอบครัวมีเด็กกี่คน ของกินของใช้มีพอหรือไม่
หลูหย่งฝูตอบทีละคำถาม
พูดคุยกันประมาณสองเค่อ สืออีเหนียงก็ส่งแขกกลับ
หู่พั่วถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ฮูหยิน บ่าวว่าหลูหย่งฝูผู้นี้สู้พี่ชายไม่ได้เลย ไม่ระมัดระวังในคำพูด เหตุใดท่านไม่ลองถามอีกสักหน่อยเจ้าคะ”
“พวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ระดับสองในคอกม้า คนที่ถูกพี่หญิงใหญ่ฝากฝังให้ดูแลหน้าที่ของผู้ติดตาม มีการตัดสินใจที่ดี มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่เรียกเขามาถาม” สืออีเหนียงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องด้านใน “ส่วนคำถามที่อยากจะถาม ก็ไม่แน่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ แม้ว่าจะรู้ก็ไม่แน่ว่าจะตอบตามตรงหรือไม่ อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อยากจะถามอะไรจากเขา”
หู่พั่วประหลาดใจ
สืออีเหนียงก็ไม่ได้อธิบายให้นางเข้าใจ เพียงกำชับนางให้ไปเรียกป้าซ่งเข้ามา “ไม่ว่าที่ไท่ฮูหยินบอกว่าจะไปจวนจงฉินปั๋วจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่อย่างไรพวกเราก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
หู่พั่วไม่กล้าถามอะไรมากแล้วออกไปเชิญป้าซ่งเข้ามา
สืออีเหนียงเลือกแจกันลายดอกเหมยสีครามในราคาแปดสิบตำลึงจากคลังเอามาใส่หีบให้หลานถิง แล้วปรึกษากับป้าซ่งเกี่ยวกับวิธีรำลึกครบรอบสามปีของหยวนเหนียง
“…ข้าไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้ ป้าซ่งว่าเราต้องเตรียมอะไรบ้าง”
“เรื่องนี้ส่วนรายงานจะเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ” ป้าซ่งยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ฮูหยินไม่ต้องเตรียมการอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ขึ้นไปทำความเคารพป้ายวิญญาณ เชิญนักบวชเต๋าและพระภิกษุสงฆ์มาทำพิธี เพียงแค่หนึ่งเดือนหลังจากไว้อาลัย คุณชายน้อยกับคุณหนูต้องเปลี่ยนชุด ฮูหยินต้องเตรียมชุดใหม่ไว้ให้คุณชายน้อยกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
“เรื่องเสื้อผ้าข้าให้โรงเย็บปักทำไว้นานแล้ว” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “ป้าซ่งเพียงแค่ไปถามคนที่ส่วนรายงานดูว่าทางนั้นมีข้อบังคับอะไรหรือไม่ ทางฝั่งพวกเราจะได้ทำตาม”
ป้าซ่งยิ้มพลางตอบรับ
สวีซื่ออวี้กับจุนเกอมาคารวะสืออีเหนียงหลังเลิกเรียน สะใภ้หนานหย่งอุ้มสวีซื่อเจี้ยเข้ามา ตามมาด้วยเจินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงให้เด็กๆ อยู่ทานข้าว
สวีซื่ออวี้มีความสุขุมและสุภาพเช่นเคย สวีซื่อเจี้ยก็ยังคงทานอย่างตะกละตะกลามเช่นเคย จุนเกอกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ คนหนึ่งก้มหน้าถอนหายใจ อีกคนหนึ่งยิ้มพลางมองสืออีเหนียง หลังจากทานข้าวเสร็จก็ส่งสวีซื่อเจี้ยให้จุนเกอเป็นคนดูแล “เจ้าพาเขาไปเตะลูกขนไก่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านแม่”
สวีซื่ออวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวลา
จุนเกอจูงมือสวีซื่อเจี้ยไปที่ลานพลางบ่นพึมพำว่า “ท่านย่าบอกว่า หลังทานข้าวต้องนั่งพักก่อนสักประเดี๋ยวถึงจะเตะลูกขนไก่ได้”
เสียดายที่เจินเจี่ยเอ๋อร์กับสืออีเหนียงไปคุยกันอยู่จึงไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร