ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 295 ข่าวดี(ปลาย)
เพราะว่าต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่แล้วยังต้องเตรียมตัวมา ‘บังเอิญ’ พบกับนายหญิงเซี่ยงที่วัด เมื่อวานตอนบ่ายสืออีเหนียงได้ส่งหญิงรับใช้สูงวัยมาขอเรือนพำนักสะอาดและเงียบสงบจากไต้ซือจี้หนิง เมื่อทานข้าวเช้าแล้วทุกคนก็ไปที่เรือนพัก ไต้ซือจี้หนิงมีคาบธรรมตอนเช้าที่ต้องเทศนา อยู่พูดคุยสองสามประโยคก็ลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงปรนนิบัติไท่ฮูหยินพักผ่อน
ฮูหยินสองชี้ไปที่ตั่งนั่งข้างหน้าต่าง “น้องสะใภ้สี่ลำบากเจ้าแล้ว พักผ่อนหน่อยเถิด ข้าจะไปเดินเล่นข้างนอก”
ตั่งนั่งใหญ่มาก นอนสองคนได้ไม่มีปัญหา นางพูดเช่นนี้หมายความว่าไม่อยากนอนบนเตียงเดียวกันกับตัวเอง แต่สืออีเหนียงก็ไม่ชินกับการที่ต้องนอนกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้พี่สะใภ้สองตื่นแต่เช้า ท่านก็พักผ่อนก่อนเถิด” แล้วพูดต่อว่า “พอดีว่าข้าอยากจะไปขอยันต์แคล้วคลาดกับไต้ซือจี้หนิงสักหน่อย”
ฮูหยินสองรู้ว่าสกุลหลัวมีอี๋เหนียงสองคนบวชอยู่ที่นี่ ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะให้เจี๋ยเซียงพยุงขึ้นเตียงเตา สืออีเหนียงพาป้าซ่งกับหู่พั่วออกมาจากเรือน
“ฮูหยินจะไปขอยันต์แคล้วคลาดจากไต้ซือจี้หนิงจริงหรือเจ้าคะ”
“อืม!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนั้นนางเทศนาเรื่อง ‘หัวใจพระสูตร’ ให้ข้าฟังเกือบสองชั่วยาม พวกเราก็ควรจะมีปฏิกิริยาตอบสนองบ้าง!” จากนั้นก็ให้ป้าซ่งไปเชิญไต้ซือจี้หนิงมา “…พวกเราคงจะไปวิ่งหาทั่ววัดไม่ได้หรอก!”
ป้าซ่งฟังแล้วมีสีหน้าผ่อนคลาดได้อย่างเห็นได้ชัด
นางกลัวว่าฮูหยินสี่จะพูดเรื่องออกไปเดินเล่น หากไปเจอพวกคนไม่ดีจะต้องแย่แน่นอน หากเรื่องแพร่งพรายออกไปก็มีแต่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงของสตรี
เหมือนกลัวว่าสืออีเหนียงจะเปลี่ยนใจจึงรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วเดินออกจากเรือนไป
หู่พั่วไม่กล้าถามถึงเรื่องของอี๋เหนียงจึงถามสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “ฮูหยินเหนื่อยหรือไม่ เราไปพักผ่อนที่ห้องปีกดีหรือไม่ บ่าวจะส่งสาวใช้น้อยมาเฝ้าที่นี่ หากมีการเคลื่อนไหวจะรีบไปรายงานท่านทันทีเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องหรอก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทานอาหารกลางวันแล้วก็จะกลับจวนเลย เมื่อถึงเวลานั้นก็พอจะงีบหลับบนรถม้าได้ ดีกว่านอนหลับอย่างไม่สบายใจเช่นนี้”
หู่พั่วไม่ได้เซ้าซี้อีก เห็นว่าหลังเรือนมีศาลาหลังเล็กอยู่จึงพูดขึ้นมาว่า “บ่าวพาฮูหยินไปนั่งเล่นที่นั่นดีหรือไม่เจ้าคะ”
การตื่นเช้าทำให้กระปรี้ประเปร่ากว่ายามปกติร้อยเท่า บวกกับอากาศที่สดชื่น ในป่ายังมีเสียงนกร้องเจี๊ยวจ๊าวเป็นระยะๆ สืออีเหนียงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“ได้สิ พวกเราไปนั่งเล่นที่ศาลานั่นกัน!”
หู่พั่วตอบรับ ให้สาวใช้น้อยไปนำเบาะรองนั่งและชุดน้ำชาแล้วพาสืออีเหนียงไปนั่งเล่นที่ศาลาบนภูเขา
นางนั่งพิงระเบียงศาลา มองลงไปก็เห็นบ่อปล่อยปลาของวัดฉือหยวนพอดี
แม้ว่าจะเป็นช่วงเช้าและไม่ใช่วันที่หนึ่งหรือวันที่สิบห้า แต่บ่อปล่อยปลากลับยังคงคึกคักเหมือนตลาดสด มีหญิงชราที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง มีหญิงสาวที่แต่งกายหรูหรางดงาม และยังมีเด็กๆ ที่ถูกสาวใช้รุมล้อม…
สืออีเหนียงพูดถึงอี๋เหนียงทั้งสอง “ในเมื่อบวชแล้วก็ควรปล่อยวางเรื่องทางโลก! พวกเราอย่าไปรบกวนพวกนางเลย”
หู่พั่วพยักหน้า แล้วยกชาร้อนให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลับหยัดกายลุกขึ้น “หู่พั่ว เจ้าดูสิ นั่นใช่หลูหย่งกุ้ยหรือไม่”
หู่พั่วตกใจไม่น้อย มองไปทางที่สืออีเหนียงชี้ทันที เห็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างปานกลาง ท่าทางสุขุม สะดุดตาเป็นอย่างมากท่ามกลางหมู่สตรี แต่ว่าอยู่ไกลเกินไปนางจึงไม่แน่ใจ
สืออีเหนียงมีสีหน้าเคร่งขรึม กำชับนางว่า “เจ้าไปเรียกบ่าวรับใช้ไปดูเป็นเพื่อนเจ้า!”
หู่พั่วไม่กล้าชักช้า ตอบรับแล้วรีบเร่งเดินออกไป
สืออีเหนียงค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลง
อี๋เหนียงทั้งสองเข้าจวนตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่กลับเลือกมาที่เยี่ยนจิง…คนมักจะเป็นเพราะมีคนที่สนิทสนมอาศัยอยู่ในเมืองที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เกิดความคุ้นเคยอย่างไร้เหตุผล!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของนางก็เริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา
คนๆ นั้นใช่หลูหย่งกุ้ยหรือไม่ หากใช่ เขามาทำอะไรที่วัดฉือหยวนที่อี๋เหนียงทั้งสองฝึกบำเพ็ญเพียรอยู่ มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่า…หลูหย่งกุ้ยเป็นผู้ติดตามที่หยวนเหนียงไว้ใจมากที่สุด ดูแลกิจการในส่วนของจุนเกอ แต่อี๋เหนียงทั้งสองกลับไม่ลงรอยกับนายหญิงใหญ่ ระหว่างพวกเขาจะมีความลับที่ไม่สามารถให้ใครล่วงรู้หรือไม่
สืออีเหนียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย นึกถึงคำพูดที่อี๋เหนียงทั้งสองโกหกนาง นึกถึงการตายของหยางอี๋เหนียง นึกถึงตอนที่สือเหนียงจะฆ่าตัวตายในวันออกเรือน…มือของนางที่ถือถ้วยชาพลันสั่นเทา
ลี่ว์อวิ๋นเรียกสืออีเหนียงเบาๆ “ฮูหยินสี่ ไต้ซือจี้หนิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดเพียงว่า “อ้อ” เก็บซ่อนอารมณ์แล้วลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ป้าซ่งพาไต้ซือจี้หนิงที่หายใจหอบเล็กน้อยเข้าไปในศาลา
“ฮูหยินสี่ช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ” ไต้ซือจี้หนิงคำนับ ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ศาลาเล็กๆ หลังนี้เรียกว่าหอชมวิว เป็นศาลาที่ดีที่สุดในวัดฉือหยวนของเรา” จากนั้นก็ชี้ไปที่บ่อปล่อยปลาตรงเชิงเขา “ไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นบ่อปล่อยปลา” แล้วชี้ไปที่ป่าทางด้านขวา “แล้วยังได้เห็นดอกเหมยที่ปกคลุมทั่วภูเขา น่าเสียดายที่ฮูหยินสี่มาช้าไปหน่อย หากเป็นสองเดือนก่อน มีสุราอุ่นสักเหยือกแล้วนั่งชมหิมะและดอกเหมยที่นี่ ช่างเป็นเรื่องที่สุนทรียิ่งนัก”
สืออีเหนียงกำลังนึกถึงคนผู้นั้น จึงตอบไต้ซือจี้หนิงเพียงสองสามประโยค
ไต้ซือจี้หนิงเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยอยากจะพูดคุย จึงเชิญนางไปที่ห้องพระเล็กๆ ที่ไม่ห่างไกลจากที่นี่ จุดธูปบูชาเจ้าแม่กวนอิมแล้วเขียนยันต์แคล้วคลาด พับเป็นรูปสามเหลี่ยมใส่ในถุงผ้าแพรสีเขียวหยกปักลายดอกบัวสีขาว
สืออีเหนียงถวายเงินน้ำมันตะเกียงยี่สิบตำลึง
ไต้ซือจี้หนิงส่งสืออีเหนียงกลับเรือนพัก ระหว่างทางได้พูดเรื่องอี๋เหนียงทั้งสองกับนาง “…อี๋เหนียงทั้งสองไม่ก้าวข้ามประตูใหญ่ ไม่เดินออกประตูรอง ตั้งใจฝึกบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอด!”
ท่ามกลางแสงไฟ สืออีเหนียงได้เปลี่ยนความคิด
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ควรจะไปพบอี๋เหนียงทั้งสองสักหน่อย”
ไต้ซือจี้หนิงไม่กลัวว่าสืออีเหนียงจะต้องการนาง แต่กลัวว่าสืออีเหนียงจะไม่ต้องการนาง
นางยิ้มแล้วพาสืออีเหนียงไปที่เรือนสี่หลังด้านหลังห้องพระ
ลานบ้านถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ปูพื้นด้วยหินสีเขียว ปลูกไผ่เซียงเฟย สง่างามอย่างมาก
อี๋เหนียงทั้งสองอาศัยอยู่ด้านหลังเรือนสี่หลัง เป็นห้องชุดสองหลัง มีห้องสว่างและห้องมืด ในห้องสว่างมีรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมหลายองค์ ด้านหน้ารูปปั้นมีเบาะรองที่สานจากหญ้าอยู่สองอัน ในห้องไม่มีสิ่งของอย่างอื่น อี๋เหนียงทั้งสองสวมชุดผ้าไหมสีเขียว มวยผมขึ้นปักปิ่นไม้ท้อ อี๋เหนียงใหญ่ยังคงสงบเสงี่ยมอ่อนโยน อี๋เหนียงสองยังคงเย็นชาดุจน้ำแข็ง แต่เมื่อเทียบกับตอนอยู่ที่สกุลหลัวแล้ว ทั้งสองคนดูดีขึ้นมาก โดยเฉพาะอี๋เหนียงใหญ่ที่มีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเดิม
“ตอนนี้พวกเราเป็นนักบวชแล้ว ภายในห้องจึงเรียบง่าย ขอคุณหนูสิบเอ็ดโปรดเข้าใจ” อี๋เหนียงใหญ่มองสืออีเหนียงด้วยความละอาย นางเดินเข้าไปในห้องแล้วยกเก้าอี้ไท่ซือออกมา “เชิญท่านนั่งลงก่อน!”
อี๋เหนียงสองเห็นดังนั้นก็ไปยกเก้าอี้ไท่ซือออกมาจากห้องด้านในโดยไม่พูดไม่จาแล้ววางเก้าอี้ไว้ข้างไต้ซือจี้หนิง “ไต้ซือเชิญนั่ง” แม้จะไม่กระตือรือร้นแต่ก็ไม่ได้เย็นชาและยิ่งไม่มีการพูดจาเสียดสีอย่างในความทรงจำของสืออีเหนียง
“ไม่ทราบว่าไต้ซือพาคุณหนูสิบเอ็ดมามีเรื่องอันใดหรือ” อี๋เหนียงสองยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ ส่วนอี๋เหนียงใหญ่พูดทักทายพวกนาง
“เรียกว่าคุณหนูสิบเอ็ดไม่ได้แล้ว” ไต้ซือจี้หนิงมองสืออีเหนียงที่ไม่พูดไม่จา ยิ้มอย่างมีชีวิตชีวา “คุณหนูสิบเอ็ดของพวกเจ้าตอนนี้เป็นหย่งผิงโหวฮูหยินแล้ว ต้องเรียกว่าสวีฮูหยิน!”
อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มอย่างดีใจก่อนจะเอ่ยเรียก “สวีฮูหยิน เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดมาเยี่ยมพวกเราได้!”
“วันนี้พาไท่ฮูหยินมาไหว้พระที่วัด” สืออีเหนียงพูดสั้นๆ “ข้าจึงแวะมาเยี่ยม!”
นักบวชน้อยที่ต้อนรับพวกนางยกชาเข้ามา
ไต้ซือจี้หนิงยกถ้วยชาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง
กลิ่นหอมเตะจมูก เป็นชาหลงจิ่งชั้นดี จิบไปหนึ่งอึกหอมฟุ้งไปทั่วปาก แม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าที่ไท่ฮูหยินให้มา แต่ก็ต่างกันไม่มากนัก
ไต้ซือจี้หนิงเห็นสืออีเหนียงไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งดื่มชา จึงยิ้มแล้วลุกขึ้น “ฮูหยินนั่งอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะไปเตรียมดูอาหารเจที่เตรียมไว้ให้ไท่ฮูหยินว่าเป็นอย่างไรบ้าง!”
สืออีเหนียงไม่ได้รั้งนางไว้ กำชับป้าซ่งให้ไปส่งนาง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “หลูหย่งกุ้ยมาทำอะไรหรือ” เมื่ออี๋เหนียงทั้งสองได้ยิน สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที
สืออีเหนียงยิ่งรู้สึกมั่นใจ นางนั่งจิบชาอย่างช้าๆ
“ไม่มีอะไร” อี๋เหนียงใหญ่ฝืนยิ้ม “ทุกคนต่างก็เป็นคนบ้านเดียวกัน เขามาเยี่ยมพวกเราเป็นครั้งคราวตอนกลับมาเยี่ยนจิง”
สืออีเหนียงลุกขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็ไปถามหลูหย่งฝูเถิด เขาเป็นพี่น้องของหลูหย่งกุ้ย มีบางเรื่องที่เขาน่าจะรู้!”
อี๋เหนียงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบเข้าไปดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “สวีฮูหยิน ไม่เกี่ยวกับหลูหย่งกุ้ยหรือหลูหย่งฝูทั้งนั้น” สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
อี๋เหนียงสองถอนหายใจยาว “ตอนนี้คุณหนูสิบเอ็ดเป็นหย่งผิงโหวฮูหยินแล้ว จะกระทำการอะไรก็ไม่เหมือนก่อน” นางมองสืออีเหนียงที่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเผยให้เห็นถึงความเย้ยหยัน “นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ผู้ใหญ่ในจวนสกุลหลัวต่างก็รู้ดี ในเมื่อสวีฮูหยินมาหาเพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะ หากพวกเราจะหลบซ่อนก็คงไม่ใช่การรับมือที่ดี ก่อนที่ข้าจะถูกนายท่านใหญ่รับเข้ามาเป็นอี๋เหนียง ข้าเคยหมั้นหมายกับหลานชายของพ่อบ้านหนิว หลูหย่งกุ้ยกับหลูหย่งฝูเสียบิดาไปตั้งแต่เล็กๆ โชคดีที่มีพ่อบ้านหนิวคอยช่วยเหลือ ต่อมาได้จัดการให้เขาเข้าจวนไปเป็นบ่าวรับใช้ จะว่าไปแล้วพวกเราก็มีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง เมื่อได้พบเพื่อนเก่าในต่างถิ่น พ่อบ้านหลูก็อดมาเยี่ยมพวกเราไม่ได้”
น่าสงสัย ต้องหาหลักฐานมาให้ได้
สืออีเหนียงปล่อยวางชั่วคราว
“แล้วเหตุใดหยางอี๋เหนียงถึงได้ฆ่าตัวตายหรือ” นางจ้องตาอี๋เหนียงใหญ่ “อย่าบอกนะว่าอี๋เหนียงทั้งสองไม่รู้เรื่อง สือเหนียงคือคนที่พวกท่านให้ผู้คุ้มกันพามาส่งที่เยี่ยนจิง!”
อี๋เหนียงใหญ่ฟังแล้วก็มีสีหน้าหม่นหมอง ถอนหายใจเล็กน้อย แต่กลับไม่มีท่าทีรู้สึกผิด
“ตั้งแต่ครั้งนั้นที่หยางอี๋เหนียงถูกนายหญิงใหญ่สั่งให้คุกเข่าที่ศาลบรรพชนโดนลมหนาวจนทำให้ไม่สบาย” อี๋เหนียงสองเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นายหญิงใหญ่ไม่เคยให้หมอหลวงมาตรวจนาง ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นวัณโรค เงินส่วนตัวในมือของนางก็ใช้ไปเกือบหมดแล้ว เพื่ออนาคตของสือเหนียง นางจึงทำได้เพียงบีบบังคับให้สือเหนียงไปประจบประแจงนายหญิงใหญ่ เมื่อเห็นว่านายหญิงใหญ่ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยวางลงแม้แต่น้อย รู้ว่าพึ่งพานายหญิงใหญ่ไม่ได้ จึงได้มาปรึกษากับพวกข้าสองคน ให้พวกข้าสองคนคุ้มกันสือเหนียงมาที่เยี่ยนจิง ส่วนเรื่องหาคนคุ้มกันเป็นความคิดของหยางอี๋เหนียงทั้งหมด ส่วนเรื่องฆ่าตัวตาย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้อี๋เหนียงสองก็ยิ้มอย่างเย็นชา “ถึงอย่างไรก็ป่วยมาตั้งนานแล้ว แทนที่จะนั่งรอความตาย ไม่สู้ลงมือเองไปเลยดีกว่า หวังให้นายท่านเห็นถึงความรักในอดีต เห็นแก่ที่สือเหนียงเติบโตมาในสายตาของเขา และอาศัยที่นายท่านรักเอ็นดูบุตรสาวมากที่สุด ให้สือเหนียงได้มีอนาคตที่ดีก็เท่านั้น”
แต่ใครจะไปรู้ว่าชายผู้นี้พึ่งพาไม่ได้!