ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 284 จัดการ(ต้น)
สืออีเหนียงเข้าใจอยู่แล้ว นางไม่พูดไม่จา จากนั้นก็หาโอกาสออกไปห้องโถง
คุณนายสี่สกุลหลัวกำลังรอนางอยู่ใต้ชายคา
พวกนางสองคนไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงเอ่ยถามนางอย่างอ่อนโยน
คุณนายสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งก่อนข้าได้ยินเจ้าบอกว่า เจ้าไม่ได้ทำกิจการกับคุณหนูห้า จึงอยากถามคุณหนูสิบเอ็ดว่า หากต่อไปมีโอกาส คุณหนูสิบเอ็ดยังจะทำกิจการกับคุณหนูห้าอยู่หรือไม่”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงต้องถามเช่นนี้ จึงเน้นย้ำท่าทีของตัวเองอีกครั้งอย่างอ้อมค้อม “ตอนนี้ท่านโหวอยู่ที่จวน กิจการเช่นนี้ข้าทำไม่ได้”
คุณนายสี่ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ข้าก็แค่ถามเฉยๆ” จากนั้นก็คล้องแขนสืออีเหนียงจะกลับไปที่ห้องหลัก
แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่เป็นธรรมชาติ
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกัน แต่สืออีเหนียงคิดว่าคุณนายสี่ไม่ใช่คนที่พูดอะไรมั่วๆ จึงไม่ขยับไปไหน แต่กลับจับมือคุณนายสี่แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “สุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่า ‘คนโง่เขลาสามคนเทียบเท่ากับขงเบ้งหนึ่งคน’ พี่สะใภ้สี่มีเรื่องอันใดก็พูดออกมาเพื่อปรึกษาหารือกันดีหรือไม่”
คุณนายสี่มีท่าทีลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “คุณหนูห้าชวนพี่สี่ของเจ้าไปร่วมทำกิจการ”
สืออีเหนียงนึกถึงคำถามที่นางเอ่ยถามตนก่อนหน้านี้ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“เจ้าก็รู้ว่าพี่สี่ของเจ้า ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ ไม่เพียงแต่ไม่ปรึกษาหารือกับข้า ยังบอกให้ข้านำเงินจำนวนห้าสิบตำลึงให้เขา เมื่อคุณหนูห้าอยู่เดือนเสร็จแล้วก็จะไปที่เซวียนถงกับท่านเขยห้า แล้วยังบอกข้าอีกด้วยว่า ใช้ต้นทุนแค่นิดเดียวแต่ได้กำไรมหาศาล ถึงตอนนั้นจะนำเงินห้าพันตำลึงกลับมา” คุณนายสี่มีสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ ถามเขาว่ามันคือกิจการอะไร เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนออกหน้า ท่านเขยห้าเป็นคนจัดการ ผ่านนายพลฟั่น ใช้เสบียงอาหารไปแลกเกลือ” พูดถึงตรงนี้นางก็เหลือบมองสืออีเหนียง “แต่ครั้งก่อนข้าได้ยินเจ้าบอกว่า เข้าไปยุ่งเรื่องนี้ไม่ได้…เกรงว่าเจ้าคงจะเปลี่ยนใจกะทันหัน จึงมาถามเจ้า”
ที่แท้ก็ยังไม่ยอมแพ้!
สืออีเหนียงนึกถึงพิธีสรงสามของบุตรชายของอู่เหนียงที่ดูฟุ่มเฟือย ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเฉียนหมิงใช้ชื่อเสียงของตนเข้าหาฟั่นเหวยกัง
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เหตุใดถึงไม่ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องนี้ ไม่กล้าพูดต่อหน้าตน? หรือว่าเฉียนหมิงทำกิจการเล็กๆ อยู่ในขอบเขตที่สวีลิ่งอี๋สามารถรับได้?
นางอดโมโหขึ้นมาไม่ได้
ถึงแม้ว่าอู่เหนียงจะไม่รู้ถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ แต่ว่าเฉียนหมิงจะไม่รู้เช่นนั้นหรือ
แต่สืออีเหนียงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์เฉียนหมิงต่อหน้าคุณนายสี่ได้ จึงพยายามระงับความไม่พอใจเอาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าก็ว่า ทำไมพิธีสรงสามถึงเชิญพ่อครัวจากหอชุนซีมาทำอาหารได้ ที่แท้ก็เพราะว่ามีเงินก้อนโตนี่เอง”
คุณนายสี่เห็นว่านางไม่ได้บอกว่ามีเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีเรื่องนี้ ก็นึกถึงท่าทีก่อนหน้านี้ของนาง ตนก็รู้สึกมั่นใจ อดไม่ได้ที่จะโมโหจนหน้าแดงแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้ วันพิธีสรงสามหลังจากที่เจ้าออกไปแล้ว คุณหนูห้าพาพี่สะใภ้ใหญ่ไปพูดคุยกันสองต่อสองตั้งนาน กลับมาพี่สะใภ้ใหญ่ก็บอกให้ป้าหังนำตั๋วเงินสองร้อยตำลึงให้คุณหนูห้า ข้าไปถามซิ่งหลิน นางบอกว่า คุณหนูห้าบอกว่าเงินในมือเอาไปลงกับกิจการหมดแล้ว ตอนนี้ยังหมุนไม่ทัน จึงมายืมเงินพี่สะใภ้ใหญ่ สิ้นปีถึงจะคืนให้ ตอนนั้นข้าก็สงสัย ท่านเขยห้าเป็นคนฉลาด ทำกิจการอะไร เหตุใดถึงต้องใช้เงินทั้งหมดด้วยเล่า ต่อมาคุณหนูห้าก็เรียกพี่สี่ของเจ้าไปอีก บอกวาจะร่วมทำกิจการด้วยกัน แต่ข้าก็คอยระมัดระวัง ส่งคนไปสืบสาวราวเรื่อง เงินห้าสิบตำลึงก็เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับเซวียนถงของคนสองคนพอดี” พูดถึงตรงนี้ นางก็โมโหยิ่งกว่าเดิม “จะว่าไปแล้วในบรรดาพี่น้องของพวกเจ้า พี่สี่ของเจ้าก็คือคนที่อ่อนแอคนหนึ่ง แล้วยังเป็นพี่น้องแม่เดียวกันกับอู่เหนียง…สองสามวันมานี้ข้านอนไม่หลับสักคืน แม้แต่ฝันก็ยังหวังว่าข้านั้นคิดมากไปเอง” พูดจบนางก็ตาแดง
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก
สินเดิมที่นายหญิงใหญ่มอบให้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้น้อยถึงเพียงนั้น ผ่านไปยังไม่ถึงสองปี เหตุใดนางถึงต้องมาหายืมเงิน หรือว่าตนนั้นคิดผิด เงินของอู่เหนียงหมดไปกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน? เพราะเหตุนี้ เฉียนหมิงถึงคิดจะไปเซวียนถง?
เมื่อความคิดนี้วาบขึ้นมา นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่สะใภ้สี่ ท่านช่วยเล่าให้ชัดเจนอีกสักหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะ”
พูดขนาดนี้แล้ว คุณนายสี่ก็ไม่อยากช่วยอู่เหนียงปิดบังอีกต่อไปแล้ว
นางพูดเบาๆ “เจ้าก็รู้ว่าคุณหนูห้านั้นคลอดก่อนกำหนด ที่จริงแล้วไม่ใช่เพราะว่าลื่นล้ม แต่คุณหนูห้าเห็นว่าตัวเองใกล้จะคลอดแล้วแต่ไม่มีเงิน จึงโมโหแล้วทะเลาะกับท่านเขยห้า ท่านเขยห้าบอกว่าคุณหนูห้าไม่มีเหตุผล เปิดม่านแล้วก็เดินออกไปข้างนอกทันที ไม่กลับบ้านตั้งสองวัน คุณหนูห้าทั้งรู้สึกผิดทั้งโมโห เอะอะโวยวายบอกว่าจะไปกระโดดน้ำ…เด็กถึงได้คลอดก่อนกำหนด” พูดจบ นางก็ถอนหายใจเบาๆ “จื่อย่วนเห็นว่าไม่ดี จึงแอบออกมาขอร้องอี๋เหนียงสาม อี๋เหนียงสามกลัวว่าคนอื่นจะรู้แล้วหัวเราะเยาะเอา จึงนำเงินแปดสิบตำลึงออกมาบอกให้ข้านำไปให้คุณหนูห้า…ไม่เช่นนั้น เกรงว่าคงจะต้องเอาข้าวของไปจำนำเสียแล้ว”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” สืออีเหนียงตกใจ “พี่หญิงห้าเป็นคนฉลาด ประเดี๋ยวก็จะคลอดแล้ว จะทะเลาะกับพี่เขยห้าได้เช่นไรกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ” คุณนายสี่ยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นเพราะท่านเขยห้าชอบสังสรรค์มากเกินไป ติดค้างค่าอาหารที่หอชุนซีมากมาย ส่วนของที่ซื้อจากร้านตัวเป่าเก๋อก็ลงบัญชีเอาไว้แล้วให้คนส่งมา…หากบรรดาผู้ดูแลมาตรวจบัญชี คุณหนูห้าจะบอกพวกเขาว่าไม่มีเงินได้หรือ หรือจะให้บรรดาผู้ดูแลพวกนั้นไปทวงเอากับท่านเขยห้า? เช่นนั้น ท่านเขยห้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้นยังไปสังสรรค์กับบรรดาสหาย จะทำให้เสียหน้าไม่ได้ เงินแต่ละตำลึง เรื่องแต่ละเรื่อง ไม่ว่าคุณหนูห้าจะเข้มแข็งสักเพียงใดก็คงไม่มีวิธีอื่นเช่นกัน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ในหัวก็พลันสับสน ไม่รู้จะพูดอะไร
“โชคดีที่ถึงแม้ว่าคุณหนูห้าจะลำบาก แต่ก็คงแค่ชั่วคราว เพราะอย่างน้อยท่านเขยห้าก็เป็นถึงบัณฑิตจู่เหริน วันใดที่ได้เลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตชั้นสูง สถานการณ์ก็จะดีกว่านี้” คุณนายสี่เห็นเช่นนี้ก็เอ่ยปลอบใจสืออีเหนียง “สำหรับเรื่องทำกิจการ คุณหนูสิบเอ็ดก็ไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้ารู้เจตนาของเจ้าแล้ว ข้าจะต้องทำให้พี่สี่ของเจ้ายอมแพ้ให้ได้ สำหรับเรื่องของคุณหนูห้า ข้าก็จะช่วยเกลี้ยกล่อมให้อีกทาง”
ตอนนี้แม้แต่พี่น้องมารดาเดียวกันของตัวเองก็ยังทำกันได้ลงคอ เกรงว่าคงจะเกลี้ยกล่อมไม่ได้แล้ว
สืออีเหนียงลอบถอนหายใจ กลัวว่าคุณนายสี่และหลัวเจิ้นเซิงจะทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ นางจึงพูดว่า “เรื่องของพี่สี่ พี่สะใภ้สี่อย่าพูดอะไรเลยดีกว่าเจ้าค่ะ ไม่สู้ลองให้ข้าไปคุยกับพี่ใหญ่ ให้พี่ใหญ่ไปเกลี้ยกล่อมพี่สี่ พี่สะใภ้สี่จะได้ไม่ลำบากใจ”
คุณนายสี่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ
สืออีเหนียงไม่บอกว่าจะให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวไปพูดกับหลัวเจิ้นซิ่ง แต่ตัดสินใจที่จะไปบอกหลัวเจิ้นซิ่งด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าสืออีเหนียงกำลังปกป้องนาง คิดดูแล้ว หลัวเจิ้นซิ่งและหลัวเจิ้นเซิงเป็นพี่น้องกัน ให้เขาไปเกลี้ยกล่อมหลัวเจิ้นเซิงคงดีว่าให้ตัวเองไป นางจึงทำสีหน้าซาบซึ้งใจ “เช่นนั้นก็รบกวนคุณหนูสิบเอ็ดแล้ว”
“ระหว่างเราไม่ต้องเกรงใจกัน”
พวกนางสองคนกลับไปที่ห้องหลักด้วยอารมณ์มัวหมอง
เช้าของวันต่อมา หลังจากสืออีเหนียงส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปแล้ว ก็ส่งคนนำจดหมายไปให้หลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งก็เหมือนครั้งก่อน มาหานางช่วงพักกลางวัน
สืออีเหนียงบอกให้คนทำอาหารสี่อย่างต้อนรับเขา จากนั้นก็บอกเจตนาที่เรียกเขามา “…ข้าคิดดูแล้ว คงต้องให้พี่ใหญ่ออกหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ขวมดคิ้ว “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมเฉียนหมิงเอง” ไม่ได้พูดถึงหลัวเจิ้นเซิง
แต่ว่าหากจัดการเฉียนหมิงได้แล้ว ด้วยนิสัยของหลัวเจิ้นเซิงแล้ว ถึงแม้ว่าอยากจะทำแต่ก็คงไม่กล้าที่จะทำกิจการเช่นนั้น
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รินชาให้หลัวเจิ้นซิ่งด้วยตัวเอง
หลัวเจิ้นซิ่งพูดถึงกิจการของหยวนเหนียงกับนาง “เจ้าไม่ไปหาข้า ข้าก็จะมาหาเจ้า สองสามวันก่อนหลูหย่งกุ้ยบอกข้าว่า ได้ยินมาว่าราชสำนักจะเปิดการคมนาคมทางท้องทะเล พ่อค้ามากมายต่างก็พากันหลั่งไหลไปทางตอนใต้ เปิดร้านสาขาย่อยที่เฉวียนโจวและกว่างโจว เขาอยากถามความคิดเห็นของเจ้าว่า อยากจะขยับขยายกิจการไปทางตอนใต้หรือไม่”
สืออีเหนียงตกใจ เมื่อสองวันก่อนแค่ได้ยินมาว่าหวังจิ่วเป่าเขียนอนุสรณ์หมื่นอักษร เหตุใดถึงมีพ่อค้าลงไปทางตอนใต้
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบา “หรือว่าให้ข้าถามความคิดเห็นของท่านโหวดี”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็พูดพึมพำ “ในเมื่อเจ้าไม่ได้ยินข่าวอะไร เช่นนั้นข้าไปถามท่านโหวเองดีกว่า”
สืออีเหนียงคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จึงเรียกหู่พั่วเข้ามา “บอกว่าพี่ใหญ่มา เชิญให้เขากลับมาก่อน”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงถามถึงเรื่องที่จะเชิญอาจารย์ “…มีข่าวคราวแล้วหรือยังเจ้าคะ”
หลัวเจิ้นซิ่งพูด “ข้ากลัวว่าตัวเองจะเชิญมาไม่ได้ จึงให้บุตรชายของป้าหังไปหาหลิ่วเก๋อเหล่า ให้เขาเขียนจดหมายส่งให้ท่านลุงของอาจารย์จ้าว” จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ของจุนเกอ “ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“เมื่อก่อนตื่นมาตอนเช้า ทานข้าวเช้าเสร็จก็ไปสำนักศึกษาอย่างมีความสุข ตอนนี้เริ่มไม่ยอมตื่นนอน ทานข้าวเช้าก็ลีลาชักช้าขึ้นมาก” สืออีเหนียงพูดอย่างเอือมระอา “เห็นได้ชัดว่าไม่อยากไปเรียน”
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็แอบเป็นห่วง เล่าเรื่องตัวเองตอนที่ศึกษาเล่าเรียนสมัยเด็กๆ ให้ฟัง
เห็นว่าใกล้จะถึงเวลาไปทำงานแล้ว แต่หู่พั่วยังไม่กลับมา สืออีเหนียงก็รู้สึกแปลกใจ “ต่อให้อยู่ที่ถนนซีต้าก็คงกลับมาถึงแล้ว”
กำลังจะให้ป้าซ่งออกไปตาม หู่พั่วก็กลับมาพอดี “ฮูหยิน คุณชายใหญ่เจ้าคะ ท่านโหวกำลังคุยธุระอยู่กับฮูหยินสองที่เรือนเสาหวา บอกว่าให้คุณชายใหญ่รอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตกใจ
เหตุใดจู่ๆ สวีลิ่งอี๋ถึงไปเรือนเสาหวา
แต่หลัวเจิ้นซิ่งรอไม่ได้แล้ว เขาลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้ามาวันอื่นดีกว่า”
สืออีเหนียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วออกไปส่งพี่ชายตัวเอง จากนั้นก็หันหน้ามาถามหู่พั่ว “ไท่ฮูหยินก็อยู่ที่เรือนเสาหวาหรือ”
“ไท่ฮูหยินไม่อยู่เจ้าคะ” หู่พั่วพูด “บ่าวได้ยินหลินปัวบอกว่า ตอนเที่ยง ผู้ดูแลจ้าวที่ส่วนรายงานมารายงานท่านโหว ท่านโหวได้ยินก็ไปที่เรือนเสาหวาทันทีเจ้าค่ะ”
หรือว่า สกุลเซี่ยงเจอเรื่องลำบากแล้วจริงๆ?
นางครุ่นคิด จากนั้นก็เห็นสวีลิ่งอี๋รีบเดินเข้ามา
“หลัวเจิ้นซิ่งเล่า” เขาพูด “ไปแล้วอย่างนั้นหรือ” จากนั้นก็บ่นพึมพำ “เหตุใดถึงไม่บอกให้เขารอข้าสักประเดี๋ยว”
“พี่ใหญ่ต้องไปทำงานแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับ “บอกว่าจะมาวันอื่น”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในกับสืออีเหนียง
“หลัวเจิ้นซิ่งมาหาข้าเพราะเหตุใด”
สืออีเหนียงเล่าเจตนาของหลูหย่งกุ้ยให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “รอดูก่อนดีกว่า”
สืออีเหนียงจึงถามเรื่องที่เขาไปเรือนของฮูหยินสอง “…สกุลเซี่ยงมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“หลังจากวันนั้นที่เจ้าบอก ข้าก็ให้คนไปสืบมา” สวีลิ่งอี๋เดินไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง “สกุลเซี่ยงไม่เพียงแต่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่สองสามปีมานี้กลับดีขึ้นทุกปี แต่ตอนที่นายท่านคนก่อนของสกุลเซี่ยงยังมีชีวิตอยู่เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้ เรือนเก่าพวกนั้นจึงไม่ได้รับการดูแลซ่อมแซม เมื่อตกทอดมาถึงใต้เท้าเซี่ยง มันก็ทรุดโทรมไปมากแล้ว เงินค่าซ่อมแซมเรือนเก่าเกือบจะเท่ากับเงินที่ใช้สร้างลานขึ้นใหม่ลานหนึ่ง นายหญิงเซี่ยงจึงอยากจะขายบางเรือนทิ้ง แล้วเก็บเอาไว้บางเรือน ใช้เงินที่ได้จากการขายเรือนมาซ่อมแซมเรือนที่เหลืออยู่ จะได้ไม่ต้องควักเงินก้อนใหญ่ออกมา แล้วยังสามารถประหยัดกำลังคนดูแลเรือนได้อีกด้วย เพราะว่าเป็นเรือนของบรรพบุรุษ ใต้เท้าเซี่ยงจึงบอกให้นายหญิงเซี่ยงมาถามพี่สะใภ้สอง ดูว่ามีเรือนไหนที่มีความหมาย อยากจะเก็บเอาไว้หรือไม่”
“แล้วพี่สะใภ้สองว่าเช่นไรเจ้าคะ” สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะไม่เหมือนกับที่นางคาดคิดเอาไว้
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง