ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 282 ย้ายเรือน(ต้น)
เช้าวันต่อมา ป้าซ่งก็มา
นางอายุราวสามสิบเจ็ดสามสิบแปดปี สูงปานกลาง หน้าตาสะอาดสะอ้านสวยงาม มีลักยิ้มที่แก้มซ้าย ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกถูกชะตา
“ไท่ฮูหยินเป็นคนแนะนำ” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านโหวก็บอกว่าดี ต่อไปเรื่องในเรือนข้าก็รบกวนท่านป้าแล้ว”
ป้าซ่งพูดซ้ำๆ ว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเรียกบรรดาสาวใช้มาทำความรู้จักกับนาง บอกให้หู่พั่วเล่าเรื่องย้ายเรือนสองสามวันนี้ให้นางฟัง ให้นางอยู่กับหู่พั่วก่อนชั่วคราว “…ย้ายออกไปแล้วค่อยจัดการ”
ป้าซ่งย่อเข่าคำนับแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ออกไปกับหู่พั่ว
ลี่ว์อวิ๋นเข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ ไต้ซือจี้หนิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางสวมชุดผ้าไหมสีฟ้าอมเขียว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พนมมือคำนับสืออีเหนียงอย่างถ่อมตน “ฮูหยินสี่สบายดีหรือไม่ สองวันก่อนมาที่จวน ไท่ฮูหยินยังบอกให้อาตมาทำยันต์เเคล้วคลาดให้ฮูหยินสี่อีกด้วย”
เรื่องนี้สืออีเหนียงรู้อยู่แล้ว
ไท่ฮูหยินทำยันต์เเคล้วคลาดให้ทุกคนในจวน
แต่สืออีเหนียงไม่ค่อยอยากจะสนทนากับคนผู้นี้ แต่ก็ไม่อยากทำให้นางไม่พอใจ จึงบอกให้สาวใช้ยกชาเข้ามาให้นางอย่างมีมารยาท
นางจิบชา ยิ้มแล้วมองดูหีบของที่เรียงซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบในห้องปีกทิศตะวันออก “ฮูหยินกำลังจัดเสื้อผ้าอยู่หรือ”
สืออีเหนียงตอบกลับอย่างคลุมเครือ พูดคุยกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็พานางไปที่เรือนของฮูหยินห้า
ฮูหยินห้ากำลังรอไต้ซือจี้หนิง คำนับสืออีเหนียงเสร็จ นางก็พูดว่า “ข้าทำตามที่ไต้ซือที่บอกไว้ นำกระดาษเหลืองไปแปะบนหัวเตียงของซินเจี่ยเอ๋อร์ สามวันมานี้ จุดธูปเก้าดอกต่อหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมยามอู่ทุกวัน แค่รอให้อาจารย์มาทำพิธี”
ตอนนั้นจวนสกุลสวีมีงานเลี้ยง โถงเตี่ยนชวนก็อยู่ติดกับเรือนของฮูหยินห้า หากไต้ซือจี้หนิงบอกว่าจะมาทำพิธีตอนนั้น จะบอกความสำคัญของเรื่องนี้กับไท่ฮูหยินว่าอย่างไร หากไม่บอก ไท่ฮูหยินคงจะคิดว่าฮูหยินห้าไม่รู้ความ แต่หากบอก นางก็คงจะซักถาม ถึงตอนนั้นเรื่องที่เด็กตกใจเพราะว่าฮูหยินห้าไม่ระวังก็จะปิดไม่อยู่ แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะรู้ว่าฮูหยินห้าจะทำพิธีให้ซินเจี่ยเอ๋อร์แต่นางจะตกลงหรือไม่ หากตกลง ฝั่งนั้นกำลังเล่นงิ้ว ฝั่งนี้กำลังทำพิธี บรรดาฮูหยินที่กำลังดูงิ้วอยู่จะคิดเช่นไร แต่หากไม่ตกลง ซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นอะไรขึ้นมา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ!
ไต้ซือจี้หนิงจึงบอกให้ฮูหยินห้าจุดธูปให้ตรงเวลา ไม่เพียงแต่ช่วยตัวเอง แล้วยังบรรเทาความกังวลขอฮูหยินห้าอีกด้วย
ธูปที่มีชื่อเสียงของวัดฉือหยวน คงจะเกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญของไต้ซือจี้หนิงใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงแอบคิดในใจ เมื่อไต้ซือจี้หนิงได้ยินฮูหยินห้าพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างพอใจแล้วพูดว่า “ช่วงนั้นที่จวนมีแขกเยอะ ทำพิธีเกรงว่าจะรบกวนภูตผีปีศาจ ดังนั้นจึงต้องจุดธูปปลอบประโลมไปก่อน แล้วค่อยทำพิธีขับไล่”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไต้ซือ ข้าคิดว่าแค่ขับไล่คงจะไม่มีผล จับมันเลยไปได้หรือไม่”
ไต้ซือจี้หนิงลังเลแล้วพูดว่า “เอ่อ เอ่อ…คนออกบวชต้องมีเมตตา”
ไม่รอให้นางพูดจบ ฮูหยินห้าก็พูดว่า ไต้ซือ ข้าทำไปก็เพื่อซินเจี่ยเอ๋อร์ หากมีกรรมอะไร ก็ให้มันมาลงที่ข้า อย่าให้มันไปยุ่งกับซินเจี่ยเอ๋อร์ของข้าเด็ดขาด ท่านคิดว่าต้องเชิญคนกี่คนมาสวดคำภีร์ ต้องการธูปเทียนเท่าไร ข้าก็จะไปหามาให้” จากนั้นก็เรียกเหอเยี่ย “นำตั๋วเงินและ ‘คำสาปชำระหัวใจ’ ที่ไต้ซือช่วยเขียนครั้งก่อนมาให้ท่าน”
เหอเยี่ยตอบรับแล้วเดินออกไป
ไต้ซือจี้หนิงเอ่ยปฏิเสธ “ฮูหยินห้าไม่ต้องรีบร้อน อาตมาไม่ได้กลัวว่าท่านจะหนีไปไหนเสียหน่อย”
“จะให้ท่านออกทั้งแรงออกทั้งเงินได้เช่นไรกัน” ฮูหยินห้าพูด จากนั้นก็ถามไต้ซือจี้หนิง “ช่วยข้าทำยันต์สงบสุขสักสองสามแผ่นเถิด”
“ฮูหยินห้าคือผู้มีพระคุณของวัดฉือหยวน ทำยันต์สงบสุขให้ท่านคือหน้าที่ของอาตมา”
ขณะที่กำลังพูด เหอเยี่ยก็นำซองจดหมายสีแดงซองใหญ่มา “ไต้ซือ นี้คือเงินห้าร้อยตำลึงเจ้าค่ะ”
ไต้ซือจี้หนิงพูดคำว่าอมิตาพุทธ รับซองมาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ ยิ้มแล้วมองไปรอบๆ ห้อง “สำหรับเรื่องที่บอกว่าให้ย้ายเรือนครั้งก่อน…อาตมาดูฮวงจุ้ยของเรือนนี้แล้ว ข้างหน้าเป็นป่าไม้ข้างหลังเป็นภูเขา ถึงแม้ว่าจะหันหน้าไปทางแม่น้ำอี้ปี้ แต่มันไม่อยู่ทางตรง ที่อื่นอาตมาก็ดูแล้ว แต่กลับไม่มีที่ไหนดีไปกว่าที่นี่ ติดแค่ว่าเรื่องทำพิธี เพิ่มของนิดหน่อยก็พอแล้ว!” พูดจบก็ลุกขึ้นไปดูห้องข้างในของซินเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงถือโอกาสขอตัวออกไป “เรือนข้ากำลังยุ่ง หากมีเรื่องอันใด น้องสะใภ้ห้าส่งคนไปบอกข้าก็พอ”
ฮูหยินห้ารู้ว่านางนั้นกำลังยุ่งวุ่นวาย จึงพูดกับนางสองสามประโยคและไม่รั้งนางไว้ ไต้ซือจี้หนิงออกไปส่งนางที่ประตู “ฮูหยินสี่กลับอย่างปลอดภัยเถิด”
สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางอย่างมีมารยาท
กลับมาที่ห้อง หู่พั่วกำลังบอกให้สาวใช้นับจำนวนหีบของ เห็นสืออีเหนียงกลับมานางก็ยกชามาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเองแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ให้ป้าซ่งมาดูแลเรือนของเราจริงๆ หรือเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมหรือ ป้าซ่งคนนั้นมีอะไรหรือ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “ป้าซ่งเกรงใจทุกคน พูดจาก็ไพเราะ แต่บ่าวคิดว่านางเป็นคนมีเรื่องบางอย่างเก็บไว้อยู่ในใจเจ้าค่ะ” นางพูดเสียงเบาลง “แค่วันก่อนบ่าวเห็นท่านเรียกสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาพูดคุยด้วย บ่าวคิดว่า…”
“ข้ามีความคิดนั้น” สืออีเหนียงถอนหายใจ “ใช้งานสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยต้องดีกว่าใช้งานป้าซ่งแน่นอน แต่ว่าเราพึ่งจะเข้ามา ไม่ค่อยมีรากฐาน แทนที่จะใช้งานคนที่ตัวเองพามาด้วย ไม่สู้ใช้งานคนเก่าคนแก่ในจวนดีกว่า รู้จักคนเยอะ ข่าวคราวก็จะรวดเร็ว จะได้เข้าใจเรื่องราวและผู้คนในจวนได้โดยง่าย ข้าคิดว่า การที่ไท่ฮูหยินส่งป้าซ่งมาที่เรือนของข้าก็คงจะเพราะเช่นนี้ นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมข้าถึงยังไม่กำหนดท่านป้าผู้ดูแลสักที สำหรับสะใภ้หลิวหยวนรุ่ย ที่ตรอกจินอวี๋ก็ต้องการคนอย่างนาง ต่อไปหากพวกเจ้าแต่งงานก็ต้องมีที่พักอาศัย”
พูดจนหู่พั่วหน้าแดงไม่ยอมพูดจา
สืออีเหนียงไปที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย
เขาพึ่งนอนกลางวันตื่นขึ้นมา ในหน้ายังแดงก่ำ สะใภ้หนานหย่งกำลังนั่งยองๆ สวมถุงเท้าให้เขา
เห็นสืออีเหนียงเข้ามา สายตาของเขาก็เป็นประกาย จากนั้นก็ตะโกนเรียก “ท่านแม่”
สะใภ้หนานหย่งและซวงอวี้รีบคำนับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเดินเข้าไปอุ้มสวีซื่อเจี้ย ช่วยเขาสวมรองเท้า “พรุ่งนี้เราต้องย้ายเรือนแล้ว”
สวีซื่อเจี้ยเอียงหัว “ท่านแม่จะย้ายหรือไม่ขอรับ”
“ย้ายสิ” สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านแม่จะย้ายไปอยู่ที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน ส่วนเจี้ยเกอต้องย้ายไปอยู่กับพี่สอง”
สวีซื่อเจี้ยบิดตัวอย่างกระเง้ากระงอด “ข้าจะอยู่กับท่านแม่”
สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นเราถึงต้องย้ายเรือน รอให้เรือนของเราซ่อมแซมเสร็จแล้ว เราจะได้ย้ายกลับมา ถึงตอนนั้นเจี้ยเกอ ท่านแม่ แล้วยังมีพี่หญิงใหญ่ ท่านพ่อ อี๋เหนียง…ทุกคนก็จะได้อยู่ด้วยกัน”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า “ข้าจะอยู่กับท่านแม่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้ววางเขาลงบนพื้น จับมือเขา “ไปกันเถิด เราไปดูห้องกัน”
นางกลัวว่าสวีซื่อเจี้ยจะปรับตัวไม่ได้หากย้ายเรือน
สวีซื่อเจี้ยดีใจเป็นอย่างมาก กระโดดโลนเต้นไปที่สวนดอกไม้หลังจวนกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงบอกเขาว่าตัวเองจะย้ายไปที่ไหน เขาย้ายไปที่ไหน จากห้องลี่จิ่งเซวียนไปถึงเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนต้องเดินไปทางใด
ตอนนี้ดอกไม้กำลังเบ่งบาน สวีซื่อเจี้ยถอดเสื้อคลุมตัวหนาออกแล้วเปลี่ยนเป็นสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีเขียวแทน วิ่งจากห้องลี่จิ่งเซวียนไปถึงเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน จากนั้นก็เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนไปห้องลี่จิ่งเซวียน วิ่งไปหัวเราะไปทั้งทาง ทำให้สืออีเหนียงและคนอื่นๆ พลอยมีความสุขไปด้วย
มาถึงวันที่หก ทุกคนย้ายออกไปตามที่สืออีเหนียงจัดเอาไว้ ระหว่างนั้นป้าตู้พาไท่ฮูหยินมาดู เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จึงพูดคุยกับสืออีเหนียงเพียงสองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
วันที่เจ็ด ทุกคนกำลังปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ พี่ชายและพี่สะใภ้สกุลเซี่ยงของฮูหยินสองพาบุตรชายและบุตรสาวมาเยี่ยมที่จวนสกุลสวี
“นี่คือภรรยาของคุณชายสี่ พวกเจ้าพึ่งจะเคยเจอกัน” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วแนะนำสืออีเหนียงให้หญิงวัยกลางคนที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้ารู้จัก แล้วก็แนะนำนางให้สืออีเหนียงรู้จัก “นี่คือฮูหยินสกุลเซี่ยง ออกไปรับตำแหน่งกับนายท่านสกุลเซี่ยงตลอด ปีนี้นายท่านสกุลเซี่ยงกลับมารับตำแหน่ง จึงพาลูกๆ สองสามคนมาเที่ยวที่เยี่ยนจิง”
สืออีเหนียงเดินเข้าไปคำนับนายหญิงเซี่ยง อดไม่ได้ที่จะลอบสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
นายหญิงเซี่ยงคนนั้นใบหน้ากลมราวกับพระจันทร์เต็มดวง ดวงตาเรียวยาวราวกับหยดน้ำ รูปร่างสูงเพรียว แล้วพึ่งจะวัยกลางคน ยืนอยู่ตรงนั้น ช่างดูสง่างาม
นางยิ้มแล้วแนะนำบุตรสาวสามคนของตัวเองให้สืออีเหนียงรู้จัก “นี่คือโหรวจิ่นคนโต โหรวเน่อคนกลาง โหรวเชียนคนเล็ก”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมอบปิ่นปักผมสามชิ้นให้พวกนางเป็นของขวัญ
คุณหนูทั้งสามคนก็ย่อเข่าขอบคุณอย่างนอบน้อม มองมาที่สืออีเหนียงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ตกใจในอายุที่ยังน้อยอยู่และความสะสวยของนาง สืออีเหนียงก็มองคุณหนูทั้งสามคนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความสนใจเช่นกัน
คุณหนูใหญ่สกุลเซี่ยงอายุสิบห้าปี คุณหนูสองอายุสิบสาม คุณหนูสามอายุสิบเอ็ด ถึงแม้ว่าจะอายุไม่มาก แต่หน้าตาของพวกนางก็มีเค้าโครงแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าใต้เท้าเซี่ยงเป็นลูกพี่ลูกน้องของฮูหยินสอง คุณหนูใหญ่จึงหน้าตาเหมือนฮูหยินสอง รูปร่างสูงเพรียว หน้าตาสวยงาม คุณหนูสามหน้าตาเหมือนนายหญิงเซี่ยง แต่กลับรูปร่างผอมเพรียว มองดูแล้วทั้งสองคนหน้าตาคล้ายๆ กัน แต่คุณหนูสองนั้นรูปร่างเหมือนพี่สาว แต่หน้าตากลับเหมือนน้องสาว ยืนอยู่กับคุณหนูใหญ่แล้ว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพี่น้องกัน พอยืนกับคุณหนูสามก็มองออกว่าเป็นพี่น้องเช่นเดียวกัน แล้วอีกอย่าง ท่าทางของคุณหนูใหญ่ดูสุขุมยิ่งนักไม่สอดคล้องกับอายุของนาง ส่วนคุณหนูสามยังคงดูไร้เดียงสา คุณหนูสองอยู่ระหว่างพวกนางทั้งสองคน ในความสุขุมมีความอ่อนหวานปนอยู่
“ไม่เจอหน้าแค่สองสามปี เด็กน้อยที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของท่านแม่ก็โตกันแล้ว” ไท่ฮูหยินมองไปที่คุณหนูสกุลเซี่ยงทั้งสามคน “คุณชายใหญ่ของพวกเจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วใช่หรือไม่”
“ไท่ฮูหยินความจำดีเสียจริงเจ้าค่ะ” นายหญิงเซี่ยงยิ้มอย่างเป็นมิตร “อี้จยาปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว”
อี้จยาคือบุตรชายคนโตของนายหญิงเซี่ยง ไปคารวะสวีลิ่งอี๋กับใต้เท้าเซี่ยงที่ลานข้างนอก
ไท่ฮูหยินถามเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “หมั้นหมายแล้วหรือยัง”
“ใต้เท้าหันของสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนเป็นสหายของนายท่านสกุลข้า เดิมทีจะหมั้นกับคุณหนูสองสกุลหัน แต่น่าเสียดายที่นางเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน” สีหน้าของนายหญิงเซี่ยงหม่นหมองลง “คิดว่ารอให้ผ่านไปสักสองปีแล้วค่อยพูดเรื่องแต่งงานของอี้จยาเจ้าค่ะ”
“ช่างน่าสงสาร!” ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
คนที่มีอายุมากแล้วได้ยินเรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็มักจะรู้สึกโศกเศร้าเป็นธรรมดา
ฮูหยินสองรีบยกถ้วยชาขึ้นมา “พี่สะใภ้ลองชิมดูเจ้าค่ะ ชาซีหูหลงจิ่งสมัยก่อนราชวงศ์หมิง”
นายหญิงเซี่ยงเข้าใจ จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “เดิมทีจะมาเยี่ยมเยียนไท่ฮูหยินเร็วกว่านี้ หนึ่งคือปีนี้นายท่านต้องย้ายที่รับตำแหน่ง เมื่อวานพึ่งจะได้รับจดหมาย กลัวว่าหากมาแล้วท่านถามขึ้นมาแล้วจะกังวลเป็นห่วงพวกเรา สองคือที่ข้ากลับมากับนายท่าน ก็เพราะว่ามาจัดการกิจการบางอย่างในเยี่ยนจิง แต่คิดไม่ถึงว่า เมื่อป่าวประกาศออกไปว่าจะขายเรือนเก่าสองสามหลัง นายหน้าก็มาล้อมรอบที่เรือนอย่างแน่นหนา ยุ่งวุ่นวายไปหมด จึงยังไม่กล้ามาเยี่ยมไท่ฮูหยินเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถูกเบี่ยงความสนใจ
“ว่าอย่างไรนะ นายท่านย้ายที่? ไปรับตำแหน่งที่ใดกัน”
นายหญิงเซี่ยงพูดอย่างคลุมเคลือ “ย้ายไปรับตำแหน่งข้าหลวงที่อู่ชังเจ้าค่ะ”