ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 28 พี่หญิง (ต้น)
สืออีเหนียงลงรถม้ามาพร้อมกับนายหญิงใหญ่ เห็นว่าตัวเองยืนอยู่หน้าประตูฉุยฮวาสีดำ คนขับรถม้า องครักษ์ที่ติดตามาและคนลากเกวียนม้าต่างก็หายไปหมด มีเพียงหญิงสองสามคนที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าและเสื้อกั๊กสีเขียวกำลังเดินเข้ามาคารวะนายหญิงใหญ่อย่างเป็นมิตร
ป้าเถาจงใจแนะนำหญิงรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีคล้ำวัยสามสิบกว่าคนหนึ่งให้นายหญิงใหญ่รู้จัก “ท่านนี้คือคนของสกุลหลี่ เป็นผู้รับดูแลรถม้าในจวนเจ้าค่ะ”
“ป้าหลี่” นายหญิงใหญ่ยิ้มและพยักหน้าให้ท่านป้าผู้นั้นอย่างสุภาพ ป้าสวี่ก็เอาถุงผ้าออกมาให้พวกนางเป็นของรางวัล
ทุกคนยิ้มรับถุงผ้ามาและเอ่ยขอบคุณนายหญิงใหญ่ จากนั้นป้าเถาก็เดินขึ้นบันไดประตูฉุยฮวาไปกับนายหญิงใหญ่
อู่เหนียงและสืออีเหนียงเดินตามนายหญิงใหญ่ไปอย่างไม่รีบร้อน ได้ยินป้าหลี่ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “…ฮูหยินของบ่าวพูดถึงนายหญิงใหญ่ทุกวัน เมื่อวานได้รับจดหมายบอกว่าท่านมา ตอนเที่ยงก็บอกให้บ่าวเตรียมรถให้พร้อม…”
พวกนางพูดคุยกันและเดินผ่านเข้ามาในประตูฉุยฮวา จากนั้นก็เห็นเกวียนรถม้าสีฟ้าคันเล็กๆ สามคันที่เอาไว้ใช้แทนการเดินเท้าจอดอยู่หน้ากำแพงลานข้างใน
“ลำบากป้าหลี่แล้ว!” นายหญิงใหญ่ยิ้มและพูดคุยกับนางสองสามประโยค จากนั้นป้าสวี่ก็พานางไปขึ้นเกวียนที่จอดอยู่ข้างหน้า
“คุณหนูทั้งสองคนก็ขึ้นเกวียนเถิดเจ้าค่ะ!” ป้าเถายิ้มให้อู่เหนียงและสืออีเหนียง “ประเดี๋ยวฮูหยินจะรอนาน”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้าให้ป้าเถา จากนั้นก็ไปขึ้นเกวียนเหมือนนายหญิงใหญ่
ข้างนอกช่างเรียบง่าย แต่ข้างในกลับตกแต่งอย่างงดงาม
ม่านเกวียนมีลายปักที่ปักด้วยลูกปัดแก้วหลากหลายสีเป็นลายก้อนเมฆแขวนอยู่ ทั้งสี่มุมมีถุงหอมผ้าทอสีแดงแขวนไว้ หมอนสีฟ้าและเบาะนั่งปักเป็นลายดอกเหมยสีขาว…
ตงชิงมองดูด้วยความตกใจ หยิบหมอนเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง “คุณหนู นี่คืองานปักซ้อนของหอเซียนหลิง…ที่เป็นต้นฉบับของงานอาจารย์เจี่ยน…” นางตื่นเต้นจนแทบจะพูดไม่ออก หู่พั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตกใจ งานปักซ้อนของหอเซียนหลิงปักออกมาเหมือนงานปักสองด้าน ไม่ได้หาได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงเลยว่า สกุลสวีจะเอามาตกแต่งบนเกวียน…
สืออีเหนียงไม่ได้มองมันอีก
นางคิดเสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซื้อได้ด้วยเงินไม่ใช่ของมีค่าที่แท้จริง!
เพราะว่าไม่มีคนนอก สืออีเหนียงจึงเปิดม่านออกเป็นช่องเล็กๆ และมองออกไปด้านนอก
มีหญิงนางหนึ่งดึงล่อออกมา ใส่เกวียนให้มันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตบที่คอมันเบาๆ ล่อตัวนั้นก็เดินอ้อมกำแพงไป เดินไปบนถนนอิฐสีฟ้าที่ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสน
เกวียนม้าแล่นมาพักหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปบนเส้นทางแคบๆ
ทั้งสองข้างทางคือกำแพงสูงสีขาว มองจากมุมของสืออีเหนียง นางรู้สึกราวกับมันไม่มีจุดสิ้นสุด
ผ่านไปไม่นาน นางถึงได้เห็นว่าทุกครั้งที่เกวียนม้าแล่นไปได้ระยะหนึ่งก็จะเจอกับเสาไฟสี่เหลี่ยมที่อยู่ติดกับกำแพง
เสาไฟเช่นนี้ นางเคยอ่านเจอในหนังสือ มันมักจะมีในพระราชวังหรือสนามจัตุรัส เพราะว่าจะต้องใช้น้ำมันสนปริมาณมากในการจุดไฟ น้ำมันสนนอกจากราคาแพง ยังหายากอีกด้วย ใช่ว่ามีเงินก็สามารถหาซื้อได้ ถึงแม้ว่าจะหาซื้อมาได้ แต่ใช้งานมันนานหลายปีก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนโตที่ทำให้คนต้องตกใจ
หรือว่าตอนกลางคืนสกุลสวีจุดไฟพวกนี้จริงๆ?
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวไปข้างหน้า พยายามดูว่ามีร่องรอยของการใช้งานบนเสาไฟหรือไม่…
“คุณหนู อย่าให้บรรดาเหล่าท่านป้า ที่อยู่ข้างหลังเห็นเอานะเจ้าคะ!” ตงชิงเตือนนางเบาๆ
ข้างนอกเกวียนนอกนอกจากมีหญิงคนหนึ่งที่ลากล่ออยู่ แล้วยังมีหญิงที่ค่อนข้างมีอายุยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะให้คนที่อยู่ในรถเรียกใช้ได้สะดวก แต่ทุกสรรพสิ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย คนที่เดินตามอยู่ข้างนอกก็จะเห็นว่าคนที่อยู่ในรถเปิดม่านมองออกมาข้างนอกหรือไม่ ได้อย่างง่ายดาย…
สืออีเหนียงมองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปเห็นปิ่นปักผมหินสีทองที่อยู่บนหัวของท่านป้าที่อยู่ข้างหลังอย่างชัดเจน นางยิ้มและปิดม่านลง
ตงชิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
สืออีเหนียงอดยิ้มใส่นางไม่ได้ “แค่หมอนลายดอกเหมยก็ทำให้เจ้าตกใจขนาดนี้?”
“คุณหนู นี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องตลกนะเจ้าคะ” ตงชิงถอนหายใจ “ท่านก็รู้ว่าหากเป็นอัญมณีของคุณหนูใหญ่และนายหญิงใหญ่ อมไว้ในปากก็กลัวละลาย ถือไว้ในมือก็กลัวมันตกแตก หากท่านทำเรื่องของคุณหนูใหญ่พัง นายหญิงใหญ่คงจะ…” นางหยุดพูด
“ข้ารู้!” สืออีเหนียงรีบรับปากอย่างรวดเร็ว “ข้านั่งนิ่งๆ ไม่ขยับไปไหนก็ได้!”
ตงชิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา
นางรู้อยู่แล้ว แค่คุณหนูรับปาก คุณหนูก็จะต้องทำได้อย่างแน่นอน!
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้แต่ในใจกลับหดหู่
คนรอบข้างของนางคงจะอยู่ไม่เป็นสุขกับเรื่องที่มาเจอกับหยวนเหนียงครั้งนี้ใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้น คงจะไม่เป็นกังวลเช่นนี้!
คิดได้เช่นนี้ นางก็ชำเลืองมองหู่พั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ตงชิง ตั้งแต่ขึ้นเกวียนมานางก็ไม่พูดไม่จา
สีหน้าของหู่พั่วดูนิ่งเฉย
อาจจะเป็นเพราะนางพึ่งมาอยู่กับพวกนางได้ไม่นาน ยังไม่มีความผูกพัน ดังนั้นนางจึงไม่กระวนกระวายเหมือนตงชิง!
สืออีเหนียงหัวเราะเยาะตัวเอง แต่พอเคลื่อนสายตาไป ก็เห็นผ้าเช็ดหน้าที่หู่พั่วบีบจนกลายเป็นก้อนอยู่ในมือ
******
เสียงจากกีบล่อที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้เวลาราวกับยืดออกไปช้ากว่าเดิม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เกวียนเลี้ยวไปทางซ้าย จากนั้น เวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปมันก็หยุดเดิน
น่าจะถึงเรือนของหยวนเหนียงแล้ว…
สืออีเหนียงครุ่นคิด น้ำเสียงที่อ่อนโยนของท่านป้าที่ตามมาก็ดังขึ้นผ่านผ้าม่านเข้ามา “คุณหนู ถึงแล้วเจ้าค่ะ!”
หู้พั่วตอบกลับ “รู้แล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ขยับไปเปิดม่าน เห็นว่าท่านป้าเอาบันไดมาวางไว้แล้ว นางเหยียบบันไดเดินลงมา แล้วหันไปพยุงสืออีเหนียงเดินลงมา
พวกนางหยุดอยู่หน้าประตูหมานจื่อที่มีบันไดเดินขึ้นไป รูปปั้นหินสิงโตที่สูงเท่าคนตั้งอยู่บนธรณีประตู ป้าสวี่พยุงนายหญิงใหญ่ที่ดูเป็นกังวลหายเข้าไปในประตู
สืออีเหนียงแอบตกใจ และก็รู้สึกว่าตัวเองกระต่ายตื่นตูมเกินไป
พวกนางสองแม่ลูกไม่ได้เจอกันตั้งสิบกว่าปี…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว นางก็พลันเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
ในเมื่อคิดถึงกันขนาดนี้ แล้วทำไมหยวนเนียงไม่ออกมาต้อนรับท่านแม่ที่หน้าประตู…หรือเข้าใจได้ว่า ร่างกายของนางอ่อนแอจนแค่มาต้อนรับท่านแม่ที่หน้าประตูก็อาจจะทำให้มีผลที่ไม่ดีตามมา…ดั้งนั้น นาง….คิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็ก้มหน้ามองไปที่ขั้นบันได
มันเป็นแนวนอนอยู่ใต้ธรณีประตู…หากข้ามธรณีประตูมาแล้ว ก็สามารถเดินตรงเข้าไปข้างในได้…
นางเห็นอู่เหนียงพาจื่อเวยและจื่อย่วนเดินเข้าไปผ่านประตูหมานจื่อ นางจึงสงบสติอารมณ์และพาตงชิงกับหู่พั่วเดินตามเข้าไป
ข้างหน้าเป็นห้องโถง ด้านซ้ายและขวามีทางเดินที่สามารถเดินทะลุไปถึงห้องโถง ในลานปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยมสีฟ้า ทางเข้าห้องโถง สี่มุมทางเดินล้วนแต่มีสาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าและเสื้อกั๊กสีเขียวยืนอยู่ ล้วนแต่ยืนกุมมืออย่างระมัดระวัง เห็นอู่เหนียงกับสืออีเหนียงเดินมา สาวใช้ก็ย่อเข่าคำนับพวกนาง
สืออีเหนียงเดินตามอู่เหนียงมาตามทางเดินด้านขวาเข้าไปในห้องโถง
ด้านทิศตะวันตกของห้องโถงมีโต๊ะตัวยาว เก้าอี้ไท่ซือและโต๊ะชา จัดเป็นสถานที่ต้อนรับแขก ด้านทิศตะวันออกและตรงกลางกลับว่างเปล่าไม่มีอะไร
เดินออกมาจากห้องโถงก็ไม่เห็นนายหญิงใหญ่ พวกนางเจอกับลานอีกหนึ่งลาน ข้างหน้าตรงกลางเป็นเรือนหลักห้าห้องที่ยังมีห้องเล็กๆ อยู่ขนาบข้าง ด้านข้างเป็นเรือนสามห้องที่มีห้องเล็กๆ เชื่อมต่อกับทางเดินเป็นวงกลม ในลานปูด้วยอิฐสีฟ้าลายตัวอักษรเลขสิบ สี่มุมปลูกต้นสนเล็กๆ ที่มีความสูงเท่าคน
เห็นอู่เหนียงและสืออีเหนียงเดินออกมาจากห้องโถง บรรดาสาวใช้ที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีฟ้าและเสื้อกั๊กสีเขียวที่ยืนอยู่ใต้ชายคาของเรือนหลักก็พากันย่อเข่าคำนับพวกนาง
สืออีเหนียงได้ยินอู่เหนียงถอนหายใจเบาๆ ดูท่าทางไม่ค่อยพอใจ
นางกำลังถอนหายใจให้ตัวเองหรือหยวนหนียง?
“คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ!” ป้าเถาคงจะเห็นว่าพวกนางไม่ได้เดินตามมา จึงกลับมาตามพวกนาง ยืนกวักมือเรียกพวกนางอยู่ที่เรือนหลัก
พวกนางรีบเดินไปตามทางเดินด้านขวา
“ฮูหยินอยู่ที่ลานข้างหลัง” ป้าเถายิ้มและอธิบายพวกนาง จากนั้นก็พาพวกนางเดินเข้าไปในลานที่สาม
ลานที่สามเหมือนกับลานที่สอง ล้วนแต่เป็นเรือนอยู่ด้านหลังห้าห้องและเรือนอยู่ด้านข้างสามห้อง ในลานก็ปูด้วยอิฐสีฟ้าลายตัวอักษรเลขสิบ แต่ว่ามุมตะวันตกเฉียงเหนือมีภูเขาปลอมที่ทำจากหินไท่หูทับซ้อนกันขึ้นไป มุมตะวันออกเฉียงใต้ปลูกต้นตงชิงสองสามต้น เมื่อเทียบกันแล้วมันดูเย็นสบายมากกว่าลานที่สอง ลานนี้ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวามากกว่า
อู่เหนียงและสืออีเหนียงเดินตามป้าเถามาจนถึงหน้าประตูเรือนหลัก สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เปิดม่านออก พอเห็นว่าพวกนางเดินเข้ามา นางก็ยิ้มและตะโกนว่า “คุณหนูเจ้าคะ”
อู่เหนียงและสืออีเหนียงยิ้มและพยักหน้าให้สาวใช้คนนั้นแล้วเดินเข้าไปในเรือน
พื้นปูด้วยอิฐสีทองที่เรียบเนียนราวกับกระจก ด้านบนมีภาพวาดที่สีสันสวยงามและมีโคมไฟแขวนอยู่ ตรงกลางมีภาพพระโพธิสัตว์กวนอิม บนโต๊ะยาวๆ มีกระถางธูปสามขาวางอยู่ตรงกลาง กลิ่นหอมของไม้จันทน์หอมก็กำลังฟุ้งออกมาจากกระถาง ด้านซ้ายของโต๊ะยาวมีหยกนิ้วพระหัตถ์ที่สูงหนึ่งฟุต ด้านขวามีกระถางดอกไม้สังคโลกสีฟ้า
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะตกใจ
จากนั้นก็มองไปทางทิศตะวันออกอีกครั้ง กำแพงกั้นสูงที่ทำจากไม้จื่อถาน มีม่านสีฟ้าที่สวยงาม ตรงกลางของห้องรองมีชั้นอเนกประสงค์ วางเต็มไปด้วยกระเช้าดอกไม้หยกสีฟ้า แจกันสังคโลกสีขาว บอนไซกระถางสีขาว ขวดแก้วสีม่วงฐานสีเขียว…
มองไปทางทิศตะวันตก กำแพงกั้นที่ทำจากไม้จื่อถานสิบสองแผ่นประดับด้วยแก้ว สี่แผ่นตรงกลางเปิดอยู่ สามารถมองเห็นไม้จื่อถานแกะสลักที่แยกห้องรองทางทิศตะวันตกออกจากกัน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ
มันช่าง…หรูหราเสียจริง!
หากมันแค่หรูหรา นางคงไม่ตกใจ แต่ปัญหาคือ มันแตกต่างจากอิฐสีฟ้าและกระเบื้องสีเทาธรรมดาๆ ที่นางเห็นระหว่างทางอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะกำแพงกั้นที่ทำจากไม้จื่อถานสิบสองแผ่นที่ประดับแก้ว ดอกโบตั๋นสีแดงที่ลอยอยู่ในกระเช้าดอกไม้แก้ว ความงดงามเช่นนั้น มันแทบจะสามารถทำให้คนหายใจไม่ออก
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองอู่เหนียง
ใบหน้าของอู่เหนียงยังคงยิ้มอย่างเหมาะสม แต่รอยยิ้มนั้นมันค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ ตัวของนางยังคงยืนตรง แต่การยืนตรงเช่นนั้นมันช่างดูแข็งทื่อ…ราวกับว่านางถูกโจมตีเล็กน้อย!