ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 277 เดือนสาม(ปลาย)
หลังจากส่งแขกออกไปแล้ว สืออีเหนียงยังต้องจัดการภาชนะและเตรียมอาหารสำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้กับบรรดาท่านป้าผู้ดูแลต่อ
เมื่อถึงยามไฮ่กำลังจะพักผ่อน ป้าสือ ท่านป้าคนสนิทของฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “ฮูหยินสี่โปรดส่งคนไปเชิญไต้ซือจี้หนิงแห่งวัดฉือหยวนมาเถิดเจ้าค่ะ ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ทานไม่ดื่ม เอาแต่ส่งเสียงร้องไห้ไม่หยุดเลยเจ้าคะ”
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
สืออีเหนียงรีบบอกให้หู่พั่วนำป้ายคู่ของตัวเองออกไปเรือนนอกกับป้าสือ “…ส่งคนไปเชิญหมอหลวงมา”
หู่พั่วและป้าสือตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงพาลี่ว์อวิ๋นไปที่เรือนของฮูหยินห้า
เดินมาถึงใต้ชายคาก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ของฮูหยินห้า “…เช่นนี้จะทำอย่างไร จะทำอย่างไรดี”
เพราะว่าเป็นบุรุษ สวีลิ่งควนจึงดูนิ่งสงบมากกว่า “ป้าสือไปเชิญไต้ซือจี้หนิงมาแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก”
เข้ามาในห้อง ฮูหยินห้ากำลังอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์เดินไปเดินมาไม่หยุด ปากเอาแต่พูดว่าเด็กดี สวีลิ่งควนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ด้วยสีหน้าที่มืดมน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
“พี่สะใภ้สี่มาแล้ว!” เขายืนขึ้นแล้วเอ่ยทักทายสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย
ฮูหยินห้าก็เงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้สืออีเหนียง “พี่สะใภ้สี่!”
สืออีเหนียงโน้มตัวลงไปดูเด็ก “เป็นเช่นไรบ้าง”
เด็กน้อยดูเหมือนร้องไห้จนเหนื่อย สะอึกสะอื้นเบาๆ อยู่ในผ้าห่อตัว สีหน้าซีดเซียว
“เกลี้ยกล่อมเช่นไรก็ไม่หยุดร้องเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพูดทั้งน้ำตา
สืออีเหนียงก็ไม่มั่นใจ “หรือจะเชิญท่านป้าที่มีประสบการณ์มาดู?”
ฮูหยินห้าไม่พูดไม่จา นางก้มหน้าลงราวกับไม่ได้ยินที่สืออีเหนียงพูด
สืออีเหนียงขมวดคิ้ว กำลังครุ่นคิดว่าจะพูดอีกดีหรือไม่ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินสองมาแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที นางอุ้มบุตรออกไปต้อนรับฮูหยินสอง
ทันทีที่ม่านเปิดออก ก็เห็นฮูหยินสองที่สวมเสื้อกั๊กยาวสีเขียวเดินเข้ามา
นางม้วนผมที่เงาดำเป็นมวยง่ายๆ ไม่มีเครื่องประดับอะไร คิ้วขมวดแน่น สีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้ามาแล้วเอ่ยถามว่า “แม่นมเล่า” ถึงแม้ว่าจะถามเบาๆ แต่กลับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความน่าเกรงขาม
หญิงสาวที่หน้าตาขาวสะอาดสะอ้าน รูปร่างอ้วนท้วมที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “บ่าวทำตามสูตรอาหารของที่เรือนเจ้าค่ะ…” พูดจบก็ร้องไห้ “ไม่ได้ใส่อะไรลงไปจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เอาแต่ร้องไห้ ทำลายตับทำลายกระเพาะ จะป้อนนมเด็กได้เช่นไร” นางพูดกับเเม่นมเบาๆ จากนั้นก็อุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของฮูหยินห้ามาดูพลางเอ่ยถามว่า “เชิญหมอหลวงมาแล้วหรือยัง”
ฮูหยินห้าปากสั่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่สืออีเหนียง
ฮูหยินสองราวกับพึ่งสังเกตเห็นนาง จึงพยักหน้าทักทาย “น้องสะใภ้สี่มาแล้วหรือ!”
สืออีเหนียงเรียกพี่สะใภ้สองด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแล้วพูดว่า “หู่พั่วนำป้ายคู่ของข้าออกไปลานข้างนอกกับป้าสือแล้วเจ้าค่ะ นอกจากจะเชิญไต้ซือจี้หนิงมาแล้ว ยังเชิญหมอหลวงมาดูซินเจี่ยเอ๋อร์อีกด้วย”
ฮูหยินสองพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลง ตบหลังเด็กเบาๆ เพื่อปลอบโยน
ฮูหยินห้าเห็นนางทำตัวห่างเหิน จึงเดินเข้าไปพูด “พี่สะใภ้สองนั่งลงเถิดเจ้าค่ะ”
ตอนนี้ทุกคนคำนับกันแล้วนั่งลงตามลำดับ สาวใช้ยกชาเข้ามา ทุกคนดื่มชารอไต้ซือจี้หนิงและหมอหลวง
คนที่เฝ้ารอยังไม่มา แต่สวีลิ่งอี๋กลับโผล่มาแทน
“บอกว่าเด็กไม่สบาย?” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
“ไม่รู้ว่าทำไมถึงเอาแต่ร้องไห้!” ทันทีที่เห็นสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนก็สงบลงทันที พูดจามั่นใจขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปดูเด็ก “เชิญหมอหลวงมาแล้วหรือยัง”
“เชิญแล้วขอรับ!” สวีลิ่งควนพูด “พี่สะใภ้สี่ช่วยเชิญหมอหลวงมาแล้ว” ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แล้วยังเชิญไต้ซือจี้หนิงมาด้วยขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “อืม” แล้วถามว่า “ท่านแม่รู้แล้วหรือยัง”
“ไม่อยากทำให้ท่านแม่ตกใจขอรับ” สวีลิ่งควนตอบกลับ จากนั้นก็เชิญสวีลิ่งอี๋ไปนั่งบนเตียงเตาในห้องปีกข้างนอก
หู่พั่วและป้าสือเข้ามารายงาน “พ่อบ้านไป๋ส่งคนไปเชิญแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนนั่งรออยู่ที่นั่น ระหว่างนี้สืออีเหนียงก็กระซิบบอกลี่ว์อวิ๋นเบาๆ “ไปเล่าสถาณการ์ณที่นี่ให้ป้าเถียนและป้าวั่นฟัง พวกนางมีประสบการณ์ ดูว่ามีวิธีอะไรหรือไม่”
ลี่ว์อวิ๋นลังเลแล้วพูดว่า “แต่นี่เป็นเรื่องของครอบครัวคุณชายสาม…” หมายความว่าไม่ต้องสนใจดีกว่า
“ก็แค่เผื่อเอาไว้” สืออีเหนียงพูดเบาๆ
ลี่ว์อวิ๋นเห็นว่าสืออีเหนียงรู้อยู่แล้ว นางจึงเดินออกไปอย่างแผ่วเบา
ป้าเถียนและป้าวั่นได้ยินเช่นนี้ก็พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เกรงว่าวันนี้มีงานเลี้ยง ส่งเสียงดังอาจทำให้เด็กตกใจ ทางที่ดีควรทานยาประเภทระงับประสาท เผากระดาษเหลืองบูชาเทพเจ้าที่ผ่านมา ผ่านไปสองวันประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ลี่ว์อวิ๋นนึกถึงฮูหยินห้าที่ชอบอุ้มบุตรไปๆ มาๆ แสดงตัวต่อหน้าบรรดาฮูหยินและคุณนาย ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล จึงกลับมารายงานสืออีเหนียงเบาๆ
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีที่ไม่สนใจตัวเองของฮูหยินห้าเมื่อสักครู่ จึงสงสัยว่าฮูหยินห้าเองก็รู้อยู่แล้ว รู้ว่าเพราะตัวเองพาบุตรสาวไปที่งานเลี้ยงทำให้เด็กตกใจ จึงไม่กล้าพูดอะไร
นางเก็บความสับสนเอาไว้ในใจไว้ชั่วคราว ผลัดกันอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์กับฮูหยินห้า ไต้ซือจี้หนิงก็มาพอดี
เดินเข้ามาเห็นสวีลิ่งอี๋นางก็ตกใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวก็อยู่ที่นี่หรือ”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจนาง ยกชาขึ้นมาจิบ สวีลิ่งควนจึงพาไต้ซือจี้หนิงเข้าไปข้างใน
ไต้ซือจี้หนิงเข้ามาก็บอกว่าเด็กเห็นผี จะต้องทำพิธี ตีพิมพ์หนังสือ ‘คำสาปชำระหัวใจ’ หนึ่งพันเล่มไปแจกจ่ายให้คนที่ผ่านไปมา แล้วยังบอกให้ฮูหยินห้าย้ายไปอยู่ในที่ที่เงียบสงบ
ฮูหยินห้าอยากให้บุตรสาวอาการดีขึ้นจึงตอบตกลงทั้งหมด
ไต้ซือจี้หนิงใช้ห้องพระของไท่ฮูหยินกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิม เขียนกระดาษสีเหลืองด้วยชาดแดงที่ตัวเองพกติดตัวมาด้วย
หมอหลวงหลิวก็มาถึงพอดี
สวีลิ่งอี๋เข้าไปต้อนรับเขาด้วยตัวเอง “ท่านดูสิว่าเป็นอะไรกันแน่”
แม่นมอุ้มเด็กออกมา
หมอหลวงหลิวถามสถานการณ์อย่างละเอียด บอกให้เด็กทานยาระงับประสาท
ป้าสือรับใบสั่งยาไป ถึงแม้ว่าจะส่งคนไปนำยามา แต่สีหน้านางกลับเป็นกังวล สืออีเหนียงจึงรู้ได้ทันที
เรียกไต้ซือจี้หนิงมาถาม “ท่านคิดว่าเผากระดาษต้องมีพิธีอะไรหรือไม่” จากนั้นก็เอ่ยเตือนนาง “พวกเราต้องหลบออกไปหรือไม่”
ไต้ซือจี้หนิงได้ยินเช่นนี้สายตาก็ปรากฏความดีใจ แต่ปากกลับพูดช้าๆ ว่า “ทุกท่านคือผู้สูงส่ง ไม่ต้องบอกว่าภูตผีปีศาจพวกนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังต้องหลีกทางให้ แต่ว่าวันนี้ซินเจี่ยเอ๋อร์ทำบางอย่างผิดพลาดนิดหน่อย ภูตผีปีศาจพวกนั้นจึงมีการเคลื่อนไหว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง รอให้ข้าจัดการภูตผีปีศาจพวกนี้ให้สงบลงก่อน ทุกท่านก็จะปลอดภัย”
สายตาของทุกคนหันไปมองที่สวีลิ่งอี๋
เขาเป็นคนสืบทอดตำแหน่ง ตามคำพูดของแม่ชีลัทธิเต๋า หมายความว่าเขาคืนคนที่มีพรสวรรค์ แน่นอนว่าเขาสูงส่งที่สุด สามารถจัดการภูตผีปีศาจได้
สายตาของฮูหยินห้าเต็มไปด้วยความขอร้องอ้อนวอน
สายตาที่มองพี่ชายของสวีลิ่งควนก็มีความไม่สบายใจ
“ท่านโหว ในเมื่ออาการป่วยของซินเจี่ยเอ๋อร์มีที่มาที่ไป ท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง พรุ่งนี้ที่จวนยังมีแขก ท่านและน้องสะใภ้สี่รีบกลับไปพักผ่อนเถิด ที่นี่มีข้าช่วยดูแลก็พอแล้ว!” จู่ๆ ฮูหยินสองที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ มาโดยตลอดก็พูดขึ้นมา
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ใช่เจ้าค่ะพี่สี่ ท่านกับพี่สะใภ้สี่กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ที่นี่ยังมีพี่สะใภ้สอง”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าให้สืออีเหนียงแล้วลุกขึ้น “เช่นนั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน หากมีเรื่องอันใดก็ไปรายงานข้า”
สวีลิ่งควนและฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ส่งสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงออกไปอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายหัว
กลัวว่าเขาอยู่ที่นี่แล้วจะทำอะไรไม่ได้ใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงปิดปากยิ้ม
สวีลิ่งอี๋ถามถึงเรื่องของงานเลี้ยงวันนี้ “…เป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูด “หวงฮูหยินและคุณนายสามสกุลหวงมาแต่เช้า หวงฮูหยินยังกลัวว่าคนของข้าจะไม่พอ ให้คุณนายสามสกุลหวงอยู่ช่วยข้าต้อนรับแขก…” นางเล่าเรื่องที่เฉียวฮูหยินมาวันนี้ และเรื่องของตัวเองกับคุณนายใหญ่สกุลกานให้สวีลิ่งอี๋ฟัง ผ่านไปไม่นานก็มาถึงหน้าประตูเรือน
เยี่ยนหรงและคนอื่นๆ ออกมาต้อนรับ ลี่ว์อวิ๋น หงซิ่วพาสาวใช้น้อยมารับใช้พวกเขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
สวีลิ่งอี๋ถามถึงฮูหยินของผู้บัญชาการหลี่ “ได้ส่งเทียบเชิญไปให้นางหรือไม่”
“ไม่ได้ส่งไปเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเปลี่ยนเป็นชุดนอนไหมพรมสีชมพู “ปีนี้แปลกจริงๆ ปีก่อนๆ เราก็ส่งเทียบเชิญให้พี่หญิงสกุลโจว จวนของพี่หญิงโจวก็มีงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ปกตินางจะไม่มา แต่ครั้งนี้นางกลับมา เกรงว่าวันนี้คงจะเป็นวันที่สองของปี ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังจะมาอีกหรือไม่” จากนั้นก็ย้ายตะเกียงไปไว้ยังโต๊ะข้างเตียง “สำหรับหลี่ฮูหยิน ข้าได้ยินนายหญิงสี่สกุลถังบอกว่า ช่วงนี้นางพาบุตรสาวไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิตั้งหลายตระกูล หนึ่งในนั้นไปงานเลี้ยงที่จวนขององค์หญิงใหญ่ฝูเฉิงและพี่หญิงโจวบ่อยที่สุด ข้าเห็นอายุของคุณหนูใหญ่สกุลหลี่แล้ว…” พูดจบก็ปีนขึ้นมาบนเตียง ดึงผ้าห่มสีม่วงอ่อนลายดอกไม้มาห่มที่ตัวแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ที่นอนอยู่ในผ้าห่ม “บางทีอาจจะกำลังยุ่งกับเรื่องงานแต่งของบุตรสาวอยู่เจ้าค่ะ”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับมีสีหน้านิ่งเฉย เขาแค่พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “สองสามวันก่อนฮ่องเต้ไปหาซุ่นอ๋อง ให้ขุนนางฝ่ายในและกรมพิธีกรรมจัดการเรื่องงานแต่งงานขององค์ชายใหญ่ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ป่าวประกาศ แต่ก็มีข่าวลือออกมาแล้ว แล้วอีกอย่าง หลังจากเทศกาลโคมไฟ ฮ่องเต้ก็พาองค์ชายใหญ่ไปที่พระตำหนักเฉียนชิง” พูดจบเขาก็ถอนหายใจ “แค่พริบตาเดียว พวกเด็กๆ ก็โตจนจะแต่งงานกันแล้ว”
เห็นท่าทีที่ยังหนุ่มและหล่อเหลาของเขา แต่น้ำเสียงกลับพูดบ่นราวกับคนแก่ก็ไม่ปาน ความคิดยังราวกับว่าอีกสองปีบางทีเขาอาจจะกลายเป็นท่านปู่หรือท่านตาแล้วก็ได้…นางก็รู้สึกว่ามันเหลวไหล จึงพลิกตัวนอนตะแคง
ภายใต้แสงไฟ ชุดนอนสีชมพูทำให้ผิวของนางเปล่งประกายขาวราวกับหิมะ
สวีลิ่งอี๋เอียงตัวเข้าไปกระซิบข้างหูนางเบาๆ “เหนื่อยแล้วหรือ”
สืออีเหนียงหลับตา แต่ใบหูกลับแดงก่ำ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขน
สืออีเหนียงจับเสื้อผ้าของตัวเองไว้แน่น หน้าแดงพูดอย่างติดๆ ขัดๆ “เป่า เป่าตะเกียงเถิดเจ้าค่ะ…”
ดวงตาที่ราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ที่มีคลื่นแผ่ราวกับขว้างก้อนหินลงบนผิวน้ำทะเลสาบที่เรียบนิ่ง ทำให้เขาตกลงไปในนั้นอย่างควบคุมไม่ได้
ท่ามกลางความมืดมิด เสียงที่ดังปนอยู่กับเสียงของเสื้อผ้าที่เสียดสีกันไปมาคือเสียงกระซิบอย่างโมโหของสืออีเหนียง “ท่านเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือ…”
วันระดูหมดแล้ว เขาจึงอยากลองอีกสักครั้ง
ความรู้สึกเหมือนรสชาติที่เลิศรสจนต้องลิ้มลองอีกครั้ง
แต่ข้อเสียอย่างเดียวก็คือสืออีเหนียงนั้นเรื่องมาก นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ต้องอ่อนโยนและเงียบสงบ…เขาก็ไม่อยากบังคับ จึงต้องทนกับนิสัยนี้ของนาง
“เหตุใดเจ้าถึงอ่อนแอเช่นนี้!” เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำ
นางจึงหันหลังให้เขา ดึงผ้าห่มขึ้นมาแต่ก็ไม่พูดไม่จา
สวีลิ่งอี๋สัมผัสได้ถึงความเรียบเนียนของผิวที่ชนกับแผ่นอกของตัวเอง ความละเอียดนุ่มนิ่มทำให้ส่วนนั้นของเขามีปฏิกิริยาทันที จึงค่อยๆ พูดเกลี้ยกล่อมนางเบาๆ สองสามคำ
นางจึงตัวอ่อนยวบลง แต่ก็ยังกำผ้าห่มไว้แน่น
เขาแอบหัวเราะ จากนั้นก็จับเอวที่ผอมเพรียวของนางแล้วจู่โจมเข้าไป
นางตกใจจนเตะเหยียดต้นขาที่เรียวยาวออกไป…แต่กลับทำให้เขาจู่โจมสะดวกมากขึ้นกว่าเดิม…เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
นางจึงตะโกนอย่างโมโหด้วยความเขินอายว่า “สวีลิ่งอี๋!”
สวีลิ่งอี๋ยิ่งหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิม