ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 273 ปิติยินดี(ปลาย)
หลังจากที่จัดงานเลี้ยงครบเดือนของซินเจี่ยเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว ฮูหยินห้าก็รอแทบจะไม่ไหวที่จะย้ายจากเรือนจ้าวจวงถังกลับไปยังเรือนเดิมของตน จากนั้นก็ได้พาบุตรสาวและสวีลิ่งควนกลับไปยังจวนของสกุลเดิม พอตกค่ำก็ได้เดินทางกลับจวน ทั้งตัวของซินเจี่ยเอ๋อร์เต็มไปด้วยเส้นไหมหลากสีสัน พอไท่ฮูหยินได้อุ้มแล้วก็หัวเราะชอบใจเสียงดัง “…ดูท่านโหวผู้เฒ่าสิ เอ็นดูซินเจี่ยเอ๋อร์ของเราขนาดไหน!”
เด็กครบเดือนเพิ่งจะออกจากเรือนครั้งแรก หากเป็นเด็กผู้หญิง ญาติๆ ของสกุลเดิมรวมไปถึงมิตรสหายก็จะมอบเส้นไหมหลากสีสันให้เด็กน้อยครอบครัวละหนึ่งเส้น ยิ่งจำนวนเส้นไหมเยอะมากเท่าไร ก็แสดงว่าญาติสกุลเดิมมาอวยพรมากเท่านั้น
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “พอได้ยินว่าซินเจี่ยเอ๋อร์จะกลับไป เหล่าบรรดาอาสะใภ้และพี่สะใภ้ก็พากันกลับมาจนหมด…ครึกครื้นเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
ฮูหยินสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของไท่ฮูหยินก็ได้เข้ามาอุ้มเด็กต่อ ถึงแม้ว่าไท่ฮูหยินจะดูแลร่างกายเป็นอย่างดี แต่อย่างไรเสียก็ถือว่าอายุมากแล้ว อุ้มเล่นประเดี๋ยวเดียวไม่เป็นปัญหา แต่หากอุ้มนานแล้วก็ถือว่าเหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน
ไท่ฮูหยินเองก็ไม่ได้ฝืนอุ้มต่อ แต่หันไปคุยเรื่องเทศกาลซานเย่ว์ซานกับสืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างๆ แทน “…ทุกปีของช่วงเวลานี้ก็ต้องเชิญพวกนางมาสังสรรค์เสมอ แต่ปีนี้เกิดเรื่องขึ้นค่อนข้างเยอะ” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นพลางหันไปมองฮูหยินห้า “ยิ่งต้องเชิญผู้คนมาสังสรรค์ กลบเกลื่อนเรื่องเหล่านี้ให้เงียบไปถึงจะถูก”
คงจะหมายถึงเรื่องการตายอย่างกะทันหันของเสี่ยวหลานสองแม่ลูกกระมัง
“ข้ากำลังคิดอยากจะปรึกษาหารือเรื่องนี้กับท่านแม่พอดี” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าเห็นว่าหนังสือบัญชีของจวนมีค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย กำลังคิดอยากจะมาถามท่านแม่ว่าปีนี้ควรจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”
ประโยคถามเป็นนัยว่าปีนี้ควรจะจัดงานใหญ่โตหรือไม่
ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็กระแอมออกมาเบาๆ
ไท่ฮูหยินจึงหันไปถามฮูหยินสองว่า “เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”
ฮูหยินสองตอบกลับเสียงเบาว่า “เด็กเพิ่งจะจัดงานครบเดือนไป…ข้าว่าจัดเหมือนปีที่ผ่านๆ มาดีหรือไม่เจ้าคะ”
คนสมัยก่อนค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องโชคชะตา มีความเชื่อว่าความสุขและความโชคดีของทั้งชีวิตนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ความสำคัญกับสมดุลของหยินและหยางอีกด้วย หยินเกิดจุติหยางแตกดับ หยินเพิ่มพูนหยางสลายหายไป หากว่าไปทำลายขนบธรรมเนียมเดิมตามอำเภอใจภายใต้ความเกี่ยวพันของสมดุลแห่งหยินและหยาง จะส่งผลกระทบไปถึงความมั่งมีศรีสุขและอายุขัยได้
ความหมายของนางก็คืออายุเด็กยังน้อยเกินไป หากหรูหราฟุ่มเฟือยมากเกินจะไปทำลายสมดุลของโชคชะตาเด็กได้ นำมาซึ่งผลพวงที่ไม่ดี
ก่อนหน้านี้ที่ฮูหยินห้าคิดอยากจะจัดงานใหญ่โตนั้น ประการแรกคือความตั้งใจของไท่ฮูหยิน ที่ตั้งใจจะเพิ่มพูนบรรยากาศอันชื่นมื่นให้แก่จวน ส่วนประการที่สองนั้น นี่คืองานเลี้ยงแรกหลังจากที่บุตรสาวเกิด ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาของส่วนกลางจะถูกกำหนดไว้แล้ว งานเลี้ยงครบเดือนของซินเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงเองก็ได้จัดการตามแบบเก่า เบิกจากส่วนกลางออกมาห้าสิบตำลึง ส่วนต่างและค่าใช้จ่ายเล็กน้อยอื่นๆ พวกเขาออกเองทั้งหมด แต่ใช่ว่าพวกเขาจะออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไม่ไหวเสียหน่อย เพื่อบุตรสาวแล้ว ออกเงินแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว
แต่พอได้ยินฮูหยินสองพูดมาเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รีบเปลี่ยนความคิดทันที
“ยังเป็นพี่สะใภ้สองที่คิดพิจารณาได้อย่างรอบคอบ ท่านแม่ เช่นนั้นก็จัดการตามเจตนาของพี่สะใภ้สองดีหรือไม่เจ้าคะ”
ในใจไท่ฮูหยินเองก็ได้เห็นด้วยกับความคิดของฮูหยินสอง แต่ที่ไม่ได้แสดงออกทันที ก็เพราะกลัวว่าฮูหยินห้าจะคิดมาก แต่ตอนนี้ทุกคนเห็นพ้องเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ไท่ฮูหยินจึงพยักหน้าเบาๆ พลางกำชับสืออีเหนียงว่า “เช่นนั้นก็จัดเหมือนปีที่แล้วๆ มาก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงกำลังขานรับ สวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนสองพี่น้องก็มาถึงพอดี
ทุกคนต่างก็ทำความเคารพซึ่งกันและกัน จากนั้นสวีลิ่งควนก็รีบตรงไปอุ้มบุตรสาวทันที “วันนี้ไม่ร้องไห้หรือ” เขาหันไปถามฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างกายสามี จ้องมองบุตรสาวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ใครจะกล้าแกล้งนางร้องไห้เล่า!”
สวีลิ่งควนได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้าง “เวลาเด็กไม่สบายตัวก็จะร้องไห้ทันที” ความหมายก็คือวันนี้ดูแลได้ดี
เมื่อทุกคนได้ยินแล้วก็พากันหัวเราะไปตามๆ กัน
สายตาของสวีลิ่งอี๋ก็ได้จับจ้องไปยังสืออีเหนียง
ตั้งแต่รับหน้าที่ดูแลจวนต่อ สืออีเหนียงก็อยู่ที่โถงบุปผาเสียส่วนใหญ่ เวลาอยู่ที่เรือนก็มักจะมีป้ารับใช้เข้ามารายงานไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่าเขาจะว่างเว้นจากงานอยู่ที่เรือน แต่เวลาที่ใช้ร่วมกันนั้นกลับน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ได้สงบเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว วันนี้ทั้งสองเจอกันแค่ตอนทานอาหารเช้าและได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น
เขาเห็นสืออีเหนียงสวมเสื้ออ่าวสีชมพูบานเย็นยืนอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยิน เส้นผมดำขลับรวบทรงเรียบๆ ที่ใบหูสวมด้วยต่างหูไข่มุกหนานจูเม็ดเล็ก ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง สุขุมเรียบร้อยประดุจไข่มุกหนานจูที่ห้อยอยู่ปลายติ่งหูของนาง เป็นความสงบที่งดงาม
เมื่อรู้สึกว่ามีคนจ้องมองตนอยู่ สืออีเหนียงก็ได้หันไปมอง จึงเห็นสวีลิ่งอี๋ที่ยืนอยู่ตรงประตู
เขาสวมชุดคลุมเผาจื่อผ้าแพรสีม่วงน้ำเงินเรียบๆ มือทั้งสองข้างไขว้หลัง ยืนตัวตรงสง่าผ่าเผย จ้องมองนางด้วยสายตาที่แวววาวเคล้ารอยยิ้มที่ราวกับเหมันตฤดูก็ไม่ปาน จึงทำให้แววตานั้นอ่อนโยนกว่าปกติเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงชะงักไปเล็กน้อย
หลังจากที่หวังจิ่วเป่าเข้าเมืองหลวงมาแล้ว ก็มักจะมีคนมาเยี่ยมเยียนสวีลิ่งอี๋อยู่เสมอ สวีลิ่งอี๋ก็มักจะใช้เหตุผลที่ว่าข้อเท้าของเขาอักเสบมาคอยปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายอมเจอหน้าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากหวังลี่ หม่าจั่วเหวินและสหายคนสนิทเพียงไม่กี่คน ส่วนคนอื่นๆ นั้นเขาได้ปฏิเสธจนหมด เอาแต่เก็บตัววาดภาพและเขียนอักษรอยู่ในเรือนปั้นเย่ว์พั่นเท่านั้น ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นเพราะอะไร หลังจากที่เขาทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ออกไปยังลานนอกและก็พึ่งจะกลับมา
มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นหรืออย่างไรกัน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้จ้องมองเขากลับไปด้วยสีหน้าที่ฉงนใจ
สืออีเหนียงมีดวงตาที่งดงาม ตาดำขาวแบ่งแยกชัดเจน ดวงตากระจ่างสดใส ราวกับน้ำแร่ที่ไหลตามร่องน้ำท่ามกลางหุบเขา เวลาจ้องมองก็พลอยทำให้ผู้อื่นรู้สึกจิตใจสะอาดไปด้วย แต่บางครั้งก็เป็นประกายแวววาวประดุจดวงดาวยามค่ำคืน ระยิบระยับอย่างน่าอัศจรรย์ พลอยทำให้ผู้อื่นต้องมนต์และเคลิบเคลิ้มไปชั่วขณะ…
สวีลิ่งอี๋สังเกตมองสืออีเหนียงอย่างละเอียดช้าๆ
จนทำให้สืออีเหนียงเกิดอาการประหม่าขึ้นมา
มีความรู้สึกว่าสายตาของเขานั้นจดจ่อเกินไป
หากผู้อื่นสังเกตเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะเอาไปพูดอย่างไรบ้าง
นางจึงรีบหันหน้าหลบ นั่งตัวตรงและก้มหน้าลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างๆ ตามมาด้วยเสียงสวีลิ่งควนที่ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “พี่สี่ ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ” น้ำเสียงระมัดระวัง ฟังดูว่ากำลังหยั่งเชิงอย่างเห็นได้ชัด
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงหลบสายตาของเขา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมยิ้มขึ้นบางๆ นั่งตัวตรงด้วยท่าทีที่สุขุม จากนั้นเขาก็ได้นึกถึงสายตาที่ลุกลี้ลุกลนของสืออีเหนียงเมื่อครู่นี้…ก็แอบยิ้มขึ้นในใจ รู้ทั้งรู้ว่าน้ำเสียงของสวีลิ่งควนไม่ปกติ แต่ก็ไม่อาจสงบอารมณ์จิตใจได้ เขาตอบกลับด้วยคำพูดที่ไม่อาจควบคุมตัวเอง “พวกเจ้าตัดสินใจเองก็พอ! ข้าอย่างไรก็ได้”
สวีลิ่งควนได้ยินแล้วก็ตกใจอ้าปากค้าง เขาพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะด้วยความตกตะลึง
ฮูหยินห้าก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านแม่ ท่านเองได้ยินกับหู พี่สี่รับปากแล้ว เราเริ่มตอนวันขึ้นสองค่ำ ขับร้องจนถึงวันขึ้นสี่ค่ำ คณะเต๋ออินปาน คณะฉังเซิงปานและคณะเจี๋ยเซียงตู้ ผลัดกันแสดงคณะละหนึ่งวัน” เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ สีหน้าน้ำเสียงและแววตาของนางก็ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก “ถึงเวลานั้น โจวเต๋อฮุ่ย เกิงฉังเซิงและไป๋ซีเซียง ล้วนเชิญมาให้หมด นี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และหาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปีของสกุลหลีหยวนเลยเจ้าค่ะ!”
“วันนี้เจ้าสี่พูดง่ายเสียจริง!” ไท่ฮูหยินยิ้มตาหยีอย่างมีความสุขพลางหันไปมองสวีลิ่งอี๋สลับกับมองสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋จึงได้เข้าใจในสิ่งที่สวีลิ่งควนขอ ร่างกายของเขาจึงแข็งทื่อไปชั่วขณะ แต่แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมว่า “ยากยิ่งนักที่ทุกคนจะดีอกดีใจกันถ้วนหน้า”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าให้เขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
ฮูหยินสองกลับจ้องมองสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
ตอนแรกคนที่ติติงสวีลิ่งควนว่า ‘หมกมุ่นกับการเล่นจนสูญเสียปณิธาน’ ก็คือเขา แต่วันนี้คนที่เห็นด้วยกับการเชิญคณะละครงิ้วมาแสดงในจวนอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืนก็เป็นเขา…สวีลิ่งอี๋จึงทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “วันนี้ข้าและพ่อบ้านไป๋ไปดูหนังสืออนุปฏิทินมา วันขึ้นสิบค่ำเดือนสามเป็นวันดี ตั้งใจจะเลือกวันนี้ให้เป็นวันดำเนินการ รีบต่อเติมบำรุงซ่อมแซมให้เร็วขึ้น จะได้ทันใช้ตอนฤดูร้อนนี้”
“ดี ดี ดี” ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วพวกเจ้าตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่ใดก่อน”
ซ่อมแซมเรือนเสร็จแล้วยังจะต้องว่าจ้างช่างฝีมือด้วย ชายหญิงไม่สนิทชิดเชื้อ แน่นอนว่าหญิงสตรีที่อยู่ในเรือนไม่ควรพักอยู่ที่นั่น จะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นก่อน
ไม่รอให้สวีลิ่งอี๋ได้ทันตอบ ไท่ฮูหยินก็ได้พูดต่อไปว่า “ข้าว่าย้ายไปพักที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนดีกว่า! ถึงแม้ว่าที่นั่นจะเป็นศาลาพักร้อนริมน้ำ แต่ตอนที่บิดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็มักจะชอบไปตกปลาที่นั่น จึงต่อเติมเพิ่มเรือนอยู่หลังศาลาริมน้ำฉุยหลุนไปสามห้อง เจี้ยเกอเอ๋อร์กับอวี้เกอเอ๋อร์ไปพักที่ห้องลี่จิ่งเซวียน เจินเจี่ยเอ๋อร์มาพักกับข้าชั่วคราวก่อน เหล่าบรรดาอี๋เหนียงก็ให้ไปพักที่เรือนอีเซียง พวกเจ้าสองสามีภรรยา ถึงแม้ว่าที่นั่นจะไม่ได้กว้างขวางใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้ถือว่าคับแคบ” จากนั้นไท่ฮูหยินก็ได้หันไปหาสืออีเหนียง “เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เรือนที่กว้างขวางที่สุดในสวนดอกไม้ก็คือเรือนจ้าวจวงถัง แต่เสี่ยวหลานสองแม่ลูกได้เสียชีวิตลงที่นั่น หากให้นางย้ายไปพักที่แห่งนั้น ลึกๆ ก็แอบรู้สึกลำบากใจอยู่ดี เรือนเสาหวาตั้งอยู่ด้านข้างของศาลาประตูน้ำอี้ปี้ ระเบียงทางเดินของเรือนจ้าวจวงถังอยู่ฝั่งตรงข้ามเรือนเสาหวาที่ถูกขั้นกลางด้วยคลองน้ำ เช่นนี้สวีลิ่งอี๋ที่เข้าๆ ออกๆ ก็จะไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก ไท่ฮูหยินวางแผนเช่นนี้ถือเป็นการตัดสินใจดีที่สุด
สืออีเหนียงหันไปมองสวีลิ่งอี๋
เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าจะต้องให้คนในครอบครัวเห็นด้วยถึงจะถูก
สวีลิ่งอี๋เองก็รู้สึกว่าไท่ฮูหยินจัดแจงได้สมเหตุสมผล “ทำตามเจตนาของท่านแม่ ข้าว่าวันขึ้นหกค่ำของเดือนหน้าก็ย้ายเข้าไปได้เลย”
ไท่ฮูหยินพยักหน้ารับรู้
สืออีเหนียงก็ได้พูดถึงเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “…ให้นางพักกับพวกข้าดีกว่ากระมัง! ทางฝั่งท่านแม่จะได้ไม่ต้องโยกย้ายจัดแจงที่พักให้เสียเวลา”
“ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิ ลมที่พัดมาจากน้ำออกจะเย็นยะเยือก เรือนที่ติดริมน้ำไม่ควรให้คนพักอาศัย” ตรงจุดนี้ไท่ฮูหยินค่อนข้างยืนหยัดในความคิดเป็นอย่างมาก “จะให้ไปพักห้องเดียวกับพวกเจ้าก็คงไม่เหมาะไม่ควรกระมัง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์โตมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นรอบตัวนางยังติดตามไปด้วยสาวใช้และป้ารับใช้เป็นโขยง ย้ายเข้าไปอยู่ก็ถือว่าไม่ค่อยสะดวก แต่มันจะเป็นการไปรบกวนไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงจึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก
“ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปพักที่เรือนข้าเถิด!” จู่ๆ ฮูหยินสองที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น “ถือโอกาสนี้ตรวจสอบความรู้ของนางเสียหน่อย ดูว่านางลืมไปจนหมดแล้วหรือยัง”
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ดี เช่นนั้นก็ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์พักที่เรือนของเจ้าก็แล้วกัน!”
เรื่องนี้ก็ได้บทสรุปเช่นนี้
รอให้สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ เข้ามาคารวะไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีซื่ออวี้ก็เอาแต่เงียบไม่พูดอะไร สวีซื่อเจี้ยยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไร แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับดีใจเป็นอย่างมาก มีเพียงจุนเกอที่เอาแต่ดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยินพร้อมกับพูดพึมพำว่า “ท่านย่า ให้พี่หญิงใหญ่พักกับพวกเราเถิดนะขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ก็ขมวดคิ้วขึ้นแน่น “พี่หญิงของเจ้าจะไปฝึกดีดพิณกับป้าสะใภ้สอง ไม่ใช่ไปเล่น!”
จุนเกอตกใจจนรีบวิ่งไปหลบอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยิน ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็จะทดสอบความรู้ของเขาขึ้นมา
ตอนนี้จุนเกอกำลังเรียนหนังสือพร้อมสวีซื่ออวี้
ดูแลและทดสอบความรู้ของบุตรชาย ถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของผู้เป็นบิดา หญิงสตรีที่อยู่ในเรือนหลังทั้งหมดไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น รวมไปถึงไท่ฮูหยินด้วย
จุนเกอเดินตัวสั่นกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็เริ่มท่องตำรา ‘เด็กน้อยเรียนรู้’ อย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ด้วยอาการติดอ่าง
อย่าว่าแต่สวีลิ่งอี๋หรือไท่ฮูหยินเลย แม้แต่สืออีเหนียงฟังแล้วก็จับใจความไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ก่อนหน้านี้ฮูหยินสองและไท่ฮูหยินก็เคยพูดถึงตำรา ‘เด็กน้อยเรียนรู้’ ให้เขาฟังไปแล้ว เขาเองก็ท่องได้ค่อนข้างคล่อง แต่ตอนนี้ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน กลับกลายเป็นว่าลืมสิ่งที่เคยเรียนในตอนแรกจนหมดอย่างไรอย่างนั้น
สวีลิ่งควนจ้องมองเขาด้วยความตึงเครียด
ฮูหยินห้าเองก็กำลังตบก้นบุตรสาวเบาๆ โดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ฮูหยินสองแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงจึงหันไปส่งสายตาให้กับหู่พั่ว
หู่พั่วก็รีบหมุนตัวออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเรียนผ่านม่านว่า “ไท่ฮูหยิน เตรียมอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”