ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 270 คาดการณ์(ปลาย)
ยังดีที่เหวินอี๋เหนียงเป็นคนชอบพูดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ บรรยากาศในเรือนจึงดีขึ้นมาก
ปินจวี๋ยกนมแพะเข้ามาให้สืออีเหนียงพอดี เหวินอี๋เหนียงเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใกล้จะเป็นเจ้าสาวอยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่หยุดพักสักวันสองวันเล่า หรือเป็นเพราะจะจากไปแล้วก็เลยยังทำใจไม่ได้ จึงอยากจะอยู่ปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินให้มากๆ หน่อยเช่นนั้นหรือ”
ปินจวี๋เขินอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด จึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร
สืออีเหนียงเห็นสีหน้าของปินจวี๋ที่ยังดูมีความสุขดี
เหวินอี๋เหนียงเองมองเห็นทุกอย่างชัดเจน จึงยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “เลือกวันกันแล้วหรือยัง”
ปินจวี๋ตอบกลับเสียงแผ่วเบา “เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูดขึ้นว่า “วันที่ยี่สิบหกของเดือนนี้”
ต้าเสี่ยนอายุไม่น้อยแล้ว สกุลว่านไม่อยากให้ปัญหาเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อการแต่งงานครั้งนี้ สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยวิ่งเต้นเข้าๆ ออกๆ อยู่สี่ห้ารอบเห็นจะได้ สืออีเหนียงเห็นถึงความตั้งใจของเขา จึงยอมตกลงในที่สุด
“ถึงเวลานั้นคงจะครึกครื้นน่าดู” เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา ราวกับว่าเป็นน้องสาวของนางที่จะแต่งงานออกเรือนอย่างไรอย่างนั้น “เตรียมข้าวของเสร็จแล้วหรือยัง มีข้าวของสิ่งไหนที่ไม่สะดวกจัดเตรียมหรือขาดตกบกพร่องหรือไม่ ข้ายังจำได้ ตอนที่ข้าแต่งงานออกเรือนจะต้องเตรียมถังมงคลของใช้เจ้าสาวให้ครบครัน สกุลเหวินมีร้านขายเครื่องไม้โดยเฉพาะอยู่ร้านหนึ่ง ให้ข้าช่วยเจ้าทำเครื่องไม้ที่ทำจากไม้สนสักชุดดีหรือไม่”
ปินจวี๋ตอบกลับด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ฮูหยินช่วยบ่าวเตรียมครบแล้วเจ้าค่ะ ทำเหวินอี๋เหนียงหนักใจแล้ว”
เมื่อเหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็หันไปสั่งกับชิวหงที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ไปเอาเงินมาสักสามสิบตำลึง ถือว่าข้าให้ปินจวี๋ไว้เป็นเงินติดตัวก็แล้วกัน”
ปินจวี๋รีบปฏิเสธทันควัน
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ
สำหรับเหวินอี๋เหนียงแล้วเรื่องเงินไม่ใช่เรื่องยากอะไร ไม่ให้ห้าสิบตำลึงหรือยี่สิบตำลึง แต่กลับให้สามสิบตำลึงแทน ดูท่าแล้ว ทุกคนคงจะรู้เรื่องที่ไท่ฮูหยินให้เงินปินจวี๋สี่สิบตำลึงกันหมดแล้ว
“เหวินอี๋เหนียงให้มา เจ้าก็เก็บไว้เถิด!” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ถึงเวลานั้นจำไว้ว่าต้องคำนับเหวินอี๋เหนียงด้วยก็พอ”
เมื่อปินจวี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเป็นคนเอ่ยปาก นางจึงเดินก้าวไปข้างหน้าย่อตัวทำความเคารพเพื่อขอบคุณเหวินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงเห็นแล้วก็ได้พูดขึ้นว่า “งั้นข้าให้สามสิบตำลึงด้วยก็แล้วกัน” พูดจบก็ได้หันไปสั่งกับชุ่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ให้ไปเอาเงินมา จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับปินจวี๋ว่า “เสียดายที่ข้าไม่ได้เปิดร้านเหมือนเช่นเหวินอี๋เหนียงที่ร่ำรวยใหญ่โต นี่ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า ขอแม่นางปินจวี๋อย่าได้รังเกียจไป”
“ฉินอี๋เหนียงเกรงใจไปแล้วเจ้าค่ะ” ปินจวี๋เดินเข้าไปกล่าวขอบคุณ
เหวินอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านนำเงินสามสิบตำลึงออกมา แต่บอกว่าเป็นเพียงแค่ ‘น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ’ เช่นนี้ ไม่มั่งคั่งใหญ่โตกว่าอีกหรือ” นางหยิบยกคำพูดนี้มาหยอกล้อฉินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปมีเงินเท่าเหวินอี๋เหนียงได้อย่างไรกัน ที่นำเงินออกมาสามสิบตำลึงนี้ก็ถือว่าเคี่ยวเข็ญจะแย่แล้ว ปีที่ผ่านมานี้ข้าได้บริจาคเงินห้าสิบตำลึงให้วัดฉือหยวนเพื่อเป็นค่าน้ำมันงา สองวันก่อนก็พึ่งถวายเงินค่าธูปเทียนยี่สิบตำลึงเพื่อเชิญไต้ซือจี้หนิงมาสวดคัมภีร์พระไตรปิฎก และยังได้เจียดเงินอีกห้าสิบตำลึงเพื่อขอให้ไต้ซือจี้หนิงช่วยสวดบทสวด ‘คำสาปชำระหัวใจ’ ให้คุณชายน้อยสองอีกด้วย…ข้าไม่ได้มีรายได้เหมือนเช่นเจ้า ตอนนี้ข้าเองก็ขัดสนไม่น้อย”
เมื่อเหวินอี๋เหนียงเห็นว่านางพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นพลางหันไปมองสืออีเหนียง สืออีเหนียงเพียงแค่อมยิ้มบางๆ เท่านั้น ในใจสงบนิ่ง กำลังคิดจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากห้องชำระ ทุกคนจึงพากันหันไปมอง ก็เห็นสวีลิ่งอี๋ที่สวมชุดจื๋อตัวผ้าป่านสีน้ำเงินสดเดินเข้ามาพอดี
รอยยิ้มของอี๋เหนียงทั้งสองจางหายไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย จากนั้นทั้งก็คู่พากันเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพสวีลิ่งอี๋
เขาหันไปจ้องฉินอี๋เหนียงด้วยแววตาที่เย็นยะเยือก “สวดคำสาปอะไรกัน” เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินไม่หมด
แต่ฉินอี๋เหนียงกลับตกใจจนใบหน้าซีดเผือด นางรีบพูดขึ้นว่า “ไม่มี ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มีการสาปแช่ง!” จากนั้นสีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความกังวลใจเพราะกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่เชื่อ จึงเน้นย้ำอีกทีว่า “ไม่มีการสาปแช่งอะไรนั่นจริงๆ เจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็ได้หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสืออีเหนียง
อี๋เหนียง สาวใช้ที่เกิดจากสกุลฉิน จะมีประสบการณ์หรือพบเห็นอะไรมากแค่ไหนกันเชียว ยิ่งไปกว่านั้นรอบตัวนางยังมีคนเช่นไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าที่คอยเป็น ‘แบบอย่าง’ นางย่อมเชื่อสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดา
“พวกข้ากำลังพูดถึงเรื่องของปินจวี๋อยู่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มพลางช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์ “อี๋เหนียงทั้งสองต่างก็นำเงินคนละสามสิบตำลึงเพื่อให้ปินจวี๋เก็บไว้เป็นเงินก้นถุงเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงเปลี่ยนเรื่องสนทนา เขาจึงหันไปจ้องมองฉินอี๋เหนียงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ แล้วจึงพูดคล้อยตามคำพูดของสืออีเหนียงไปว่า “อย่างไรเสียปินจวี๋ก็เป็นคนของเรือนเจ้าที่จะแต่งงานออกเรือนไป”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็รีบคล้อยตาม “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ที่เรือนของพวกเราไม่มีงานมงคลมาหลายปีแล้ว…ข้าเองก็ยังเตรียมตัวจะไปช่วยเสียด้วยซ้ำ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เหวินอี๋เหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน บิดามารดาของว่านต้าเสี่ยนต่างก็อยู่ที่ชนบท พวกเขาเดินทางออกมาข้างนอกเป็นครั้งแรก รู้จักผู้คนไม่มาก ระยะทางก็ค่อนข้างไกล เดินทางไปมาไม่ค่อยสะดวก ข้าว่าฮูหยินให้พ่อบ้านจัดแจงโยกย้ายห้องออกมาสักสองห้องใช้เป็นเรือนหอ งานแต่งก็จัดในจวนเสียเลย ออกจะครึกครื้น!”
ปินจวี๋เห็นว่าทุกคนกำลังปรึกษาหารือถึงเรื่องงานแต่งของนาง นางจึงค่อยๆ ถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
“ข้าว่าทำตามเจตนาของสกุลว่าน แต่งที่ชนบทดีกว่ากระมัง!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สกุลว่านได้อัญเชิญเทพประจำบ้านไว้ในเรือนที่ชนบทแล้ว มาจัดงานแต่งที่จวนคงไม่ดีเท่าไรนัก อีกอย่างก็ไม่ได้เป็นการอัญเชิญพระโพธิสัตว์มาเซ่นไหว้ที่เรือน คนของสกุลว่านยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย เราก็มาวิพากษ์วิจารณ์ว่าโน่นไม่ดีนี่ไม่ดีแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้จะมีรอยแตกรอยร้าวเอาได้”
อี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มกว้าง “ยังเป็นฮูหยินที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ ข้ามัวแต่คิดที่จะช่วยปินจวี๋ชูหน้าชูตา แต่กลับไม่นึกถึงเรื่องพวกนี้เลย” นางพูดพลางรีบหันไปมองสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าเขากำลังพยักหน้าเบาๆ ให้สืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จู่ๆ ในใจของนางก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา จึงเริ่มพูดจาโดยที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว “…อย่างไรเสียวันข้างหน้าสิ่งที่เรายังมีก็คือโอกาส…อย่าถกเถียงจนไม่สบายใจเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เลย…”
ดังนั้นพอถึงวันที่ยี่สิบห้าเดือนสอง วันส่งมอบสินเดิม หลังจากที่ปินจวี๋มาคารวะสืออีเหนียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้กลับไปที่ตรอกจินอวี๋ ตามขนบธรรมเนียมแล้ว เวลาที่สาวใช้จะแต่งงานออกเรือนจะต้องกลับไปยังจวนเดิมของตัวเองก่อน ไม่สามารถที่จะแต่งงานออกเรือนจากเรือนนายหญิงของตัวเองได้ และคนเช่นปินจวี๋ที่ไม่มีบิดามารดาอยู่ด้วยแล้ว หรือหากได้กราบไหว้ผู้ดูแลคนไหนมาเป็นแม่บุญธรรม ก็จะแต่งงานออกเรือนจากเรือนของแม่บุญธรรม หรืออาจจะออกไปเช่าเรือนข้างนอกมาเป็นเรือนหอชั่วคราว แต่สืออีเหนียงไม่ได้ใช้ทั้งสองวิธีนี้ นางเลือกที่จะให้ปินจวี๋กลับไปยังตรอกจินอวี๋เพื่อแต่งงานออกเรือนแทน
ที่ตรอกจินอวี๋ถูกตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยสวมชุดผ้าแพรสีน้ำเงินสดตัวใหม่เอี่ยมยืนรับแขกอยู่ที่หน้าประตู เมื่อเห็นรถม้าของเหวินอี๋เหนียง นางก็รีบออกมาต้อนรับและทักทายด้วยตัวเอง ขยับที่กั้นประตูออกเพื่อให้รถม้าเข้าไปด้านใน
ที่เรือนชั้นในคือพื้นที่จุดศูนย์กลางที่สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยใช้จัดงาน
นางสวมชุดอ่าวผ้าแพรต่วนสีแดงสด บนศีรษะปักด้วยปิ่นปักผมที่มีอักษร ‘ซวงสี่[1]มงคลคู่’ บรรยากาศเต็มไปด้วยความยินดี สนุกสนานร่าเริง
“อี๋เหนียงถือเป็นแขกหายากของเราจริงๆ!” สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเดินเข้าไปทำความเคารพเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็นำทางนางเข้าไปด้านใน “ป้าตู้ ป้าเถียน ป้าวั่นและแม่นางจู๋เซียงทุกคนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ข้างในเรือนปีกทิศตะวันออกเจ้าค่ะ…”
เหวินอี๋เหนียงชะงักฝีเท้าลง “ป้าตู้มาแล้วหรือ!”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยตอบกลับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “มาแล้ว มาแล้ว ฟ้าเพิ่งสางก็มาถึงแล้วเจ้าค่ะ ป้าเถียนและป้าวั่นมาพร้อมกับป้าตู้ เป็นแม่นางจู๋เซียงที่มาช้ากว่านิดหน่อยเสียด้วยซ้ำ เห็นว่าฮูหยินฝากคำพูดมาให้แม่นางปินจวี๋ จึงช้าไปหน่อยเจ้าค่ะ” พูดพลางเชื้อเชิญเหวินอี๋เหนียงไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
*****
ทางฝั่งเฉียวเหลียนฝังกำลังผลักถ้วยในมือของซิ่วหยวนออกเบาๆ ด้วยความเศร้าสร้อย “วางไว้ก่อน ประเดี๋ยวข้าค่อยดื่ม”
“คุณหนู!” ซิ่วหยวนพยายามขอร้องวิงวอน “เมื่อครู่นี้ท่านก็บอกว่าประเดี๋ยวค่อยดื่ม…ท่านจะต้องรีบๆ หายดีถึงจะถูก!”
“หายดีหรือ!” ดวงตากลมโตของเฉียวเหลียนฝังคลอไปด้วยน้ำตา “หายดีแล้วจะมีอะไรดีขึ้น อย่างไรเสียท่านโหวก็ไม่ยอมเจอหน้าข้าอยู่แล้ว” พูดจบน้ำตาก็ไหลผ่านใบหน้าที่ซีดเผือดร่วงหล่นลงบนเสื้ออ่าวสีน้ำเงินอ่อน ทิ้งไว้เพียงร่องรอยที่เปียกชื้น “อีกทั้งยังให้สืออีเหนียงกักขังข้าให้อยู่แต่ในเรือน ห้ามไม่ให้ข้าออกไปข้างนอกแม้แต่ครึ่งก้าว…”
ซิ่วหยวนได้ยินแล้วสีหน้าได้และแววตาของนางก็หม่นหมองลงไป มือที่ยกถ้วยยาอยู่จู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา นางจึงถือถ้วยยากลับมา
“ท่านโหวคงจะยังถือโทษโกรธข้าอยู่ คงจะโทษข้า…ที่ทำให้ลูกจากไป!” เฉียวเหลียนฝังพูดจบก็ซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่ายานั่นมันกินไม่ได้…”
ซิ่วหยวนเห็นแล้วก็พลอยน้ำตาไหลไปด้วย
กว่าจะนำเงินเหล่านั้นไปติดสินบนหมอหลวงอู๋เพื่อขอให้หมอหลวงอู๋ช่วยส่งจดหมายให้นายหญิง และนายหญิงก็อุตส่าห์ไปไหว้วานเฉียวฮูหยินให้ช่วยมาส่งยาตำรับเฉพาะของนักบวชลัทธิเต๋าฉังชุน ตอนนั้นคิดเพียงแต่ว่ามีความหวังและทางรอดแล้ว คืนนั้นพวกนางต่างก็พากันเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตู้และเตียงตามที่เฉียวฮูหยินกำชับมา จากนั้นนางก็แอบลองทานยานั่นไปหนึ่งเม็ดลับหลังป้าเถียนและป้าวั่น สรุปเช้าวันรุ่งขึ้นนางก็หยุดอาเจียนไป ทานอาหารก็อร่อยขึ้น ทั้งสองจึงพากันดีใจเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าป้าทั้งสองจะเจอยานี้เข้า อีกทั้งยังรู้สึกว่ายานี้ได้ผลดี หากกินมากหน่อยคงจะเห็นผลยิ่งกว่าเดิม วันที่สองจึงทานเพิ่มเป็นสองเม็ด หลังจากที่ทานเข้าไปแล้ว ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเป็นทวีคูณ วันที่สามจึงทานสองเม็ดเท่าเดิม…ใครจะไปรู้ กลางดึกก็เริ่มปวดท้องขึ้นมา เวลายังไม่ทันพ้นหนึ่งถ้วยชา ก็มีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด เมื่อเจ้าตัวรอดพ้นจากความตาย ไม่เพียงแต่สูญเสียเด็กไปเท่านั้น ยังลงเอยด้วยการถูกกักบริเวณ
แต่ตอนนี้เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว เสียใจไปจะมีประโยชน์อันใดเล่า
ซิ่วหยวนจึงเช็ดน้ำตาพลางพูดขึ้นกับเฉียวเหลียนฝังด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “คุณหนู ท่านอายุยังน้อย วันข้างหน้ายังมีโอกาส สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือต้องรีบบำรุงรักษาและฟื้นฟูร่างกาย ต้องฟื้นฟูร่างกายเท่านั้นจึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้อีก มิเช่นนั้น ถึงแม้ว่าท่านโหวจะหายโกรธแล้ว แต่หากร่างกายไม่แข็งแรงก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์เจ้าค่ะ” พูดจบนางก็ยกยาถ้วยเดิมมาตรงหน้าเฉียวเหลียนฝัง “คุณหนู ยาถ้วยนี้รีบดื่มตอนยังร้อนเถิดเจ้าค่ะ!”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็รีบเช็ดน้ำตาด้วยความสะอึกสะอื้น ให้ซิ่วหยวนช่วยป้อนยา จากนั้นก็ได้อมลูกกวาดวัวซือถังไว้ในปากหนึ่งเม็ด
“เหตุใดวันนี้ถึงไม่เห็นท่านป้าทั้งสองเลย” นางถามขึ้นพลางค่อยๆ เอนตัวนอนลงอย่างอ่อนแรง
การแท้งบุตรต้องอยู่ไฟ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ป้าเถียนและป้าวั่นจะคอยอยู่ปรนนิบัตินาง แต่เฉียวเหลียนฝังรู้สึกว่าพวกนางไม่ได้ตั้งอกตั้งใจอย่างสุดความสามารถเหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ลึกๆ นางก็แอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
เหตุใดซิ่วหยวนจะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนไปของป้าทั้งสองในช่วงที่ผ่านมาด้วยเล่า แต่นางกลัวว่าเฉียวเหลียนฝังจะโกรธ พอลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าปินจวี๋คนของสืออีเหนียงจะแต่งงานออกเรือนพรุ่งนี้ ท่านป้าทั้งสองจึงไปร่วมแสดงความยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาในใจ “ก็แค่ไปร่วมแสดงความยินดี ต้องไปพร้อมกันถึงสองคนเลยหรืออย่างไรกัน” เฉียวเหลียนฝังรู้สึกว่าพวกนางทั้งสองไม่อยากที่จะปรนนิบัตินาง จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชันว่า “ก็แค่สาวใช้คนเดียวเท่านั้น หากว่าเป็นน้องสาวของสืออีเหนียงที่จะแต่งงานออกเรือน ไม่พากันไปเลียรองเท้าเขากันหมดหรือ เสียแรงที่ข้าไปให้ความสำคัญกับพวกนาง มาถึงก็ตกรางวัลให้พวกนางไปคนละสิบตำลึงและผ้าทอมันวาวอีกคนละหนึ่งพับ…”
ซิ่วหยวนพลันนึกได้ว่าท่านป้าทั้งสองคนนั้นเป็นคนสนิทข้างกายของไท่ฮูหยิน จึงไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางมีความขัดแย้งกัน เลยรีบพูดขึ้นว่า “ช่วงเวลาที่ผ่านมาท่านป้าทั้งสองถูกกักบริเวณไปด้วย กว่าจะหาข้ออ้างออกไปได้ก็ค่อนข้างลำบาก คุณหนูอย่าได้ขุ่นเคืองไปเลย ป้าทั้งสองบอกแล้วว่าไปตอนเช้าๆ เดี๋ยวบ่ายๆ ก็กลับมาเจ้าค่ะ” พูดจบก็ทอดสายตาสังเกตมองแสงสว่างในเรือน “ดูจากเวลานี้ คงใกล้จะกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อนางพูดจบ ก็มีเสียงของจูหรุ่ยดังออกมาจากนอกม่านว่า “ท่านป้าทั้งสองกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
“ใช่แล้ว!” ป้าเถียนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นเสียงสูงว่า “ไอ๊หยา น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ได้เห็น สินเดิมของปินจวี๋…” นางพูดขึ้นพร้อมกับจุ๊ปากเบาๆ “จะว่าไปแล้วข้าก็อยู่ที่จวนสกุลสวีมาร่วมสี่สิบปี มีแต่ตอนที่เซียงอี้สาวใช้คนสนิทของไท่ฮูหยินแต่งงานออกเรือน จึงจะจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ แต่เซียงอี้ไม่เหมือนกัน ตอนนั้นนางเคยอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่านโหวเฝ้าโลงศพที่บ้านเกิด ถือว่ามีความดีความชอบ ส่วนปินจวี๋นั้น…เป็นเหมือนเช่นคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า ‘จะเก่งแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ต้องดูว่ามีนายเป็นใครต่างหาก’…”
“เจ้าเบาเสียงหน่อย!” เสียงของป้าวั่นดังแทรกขึ้นมาตัดบทสนทนาของป้าเถียนไป “ระวังเสียงดังไปรบกวนเฉียวอี๋เหนียงตื่นเอาได้!”
“ไอ๊หยา คนเราเวลาอิ่มอกอิ่มใจก็ลืมเนื้อลืมตัวไปหมด!” ป้าเถียนยิ้มพร้อมกับรีบพูดต่อไปว่า “ข้าไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว”
ปากบอกไม่พูดแล้ว แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แผ่วลงแม้แต่น้อย
————————
[1]ซวงสี่ เป็นสัญลักษณ์มงคลในพิธีแต่งงานของคนจีน