ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 269 คาดการณ์(กลาง)
ยืนอยู่ที่เรือนหลิงฉยงซาน ทอดสายตามองไปยังเรือนที่อยู่เบื้องล่าง ด้านซ้ายคือเรือนปั้นเย่ว์พั่นที่เล็กกะทัดรัด ถัดมาที่ที่มีลักษณะราวกับดาวล้อมเดือนนั้นก็คือศาลาชุนเหยี่ยนถิง ไม่ไกลจากศาลาชุนเหยี่ยนถิงมากเท่าไรนัก ก็คือห้องลี่จิ่งเซวียนที่ตกแต่งได้อย่างงดงาม มองไปตามทิศทางของห้องลี่จิ่งเซวียน ก็จะเห็นศาลากลางน้ำฉุยหลุนที่ถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำสีเขียวมรกต ซ้ายมือระหว่างศาลาจวี้ฟังและศาลาประตูน้ำอี้ปี้ ถูกขั้นกลางด้วยต้นไม้เก่าแก่มากมายที่สูงตระหง่านสุดลูกหูลูกตา ร่มเงาถูกกระทบลงบนท่าเรือหลิวฟังไร้ซึ่งขอบเขต ส่วนเรือนอีเซียงนั้นเรียบง่ายและค่อนข้างดูเป็นธรรมชาติ เรือนจ้าวจวงถังดูโอ่อ่าตระการตา แบ่งแยกเป็นสามส่วนชัดเจน ต่างล้วนมีความน่าสนใจในแบบของมันเอง
สายลมอ่อนๆ ของเดือนสอง พลอยทำให้ต้นไม้และใบหญ้าหลังเรือนเต้นระบำอย่างอ่อนช้อยตามแรงพัดของสายลมดัง ซู่ซู่ ไพเราะน่าฟังราวกับเสียงขับร้องอันแผ่วเบา ที่ทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มและหลงใหล
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงมองไปยังแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋ที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ด้านหน้าของหน้าต่างบานกระทุ้ง นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างลังเลใจว่า “ท่านสวมเสื้อคลุมเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
เขาสวมชุดจิ่นเผาผ้าไหมสีน้ำเงินหินลายดอกเป่าเซียง ยืนตรงประดุจต้นไป๋หยางในพื้นที่ราบของทางตอนเหนือ ใบหน้าที่หล่อเหลาขบกรามแน่น จนทำให้เกิดเป็นร่องลึกที่ข้างแก้มอย่างเห็นได้ชัด
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปรับเสื้อคลุมจากสาวใช้น้อยมาคลุมให้เขา
“ท่านโหว ท่านยืนอยู่ตรงนี้ทั้งบ่ายแล้ว” นางสวมเสื้อคลุมให้เขาอย่างเบามือ “ข้าสั่งให้คนอุ่นสุรามาหนึ่งกา ท่านจะได้อุ่นร่างกายเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
แววตาของสวีลิ่งอี๋สั่นไหว
สืออีเหนียงฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก นางยิ้มพลางพยักหน้าให้เขาเบาๆ
สีหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ก็ค่อยๆ เบาบางลง
สืออีเหนียงดันเขาไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ที่ถูกปูด้วยเบาะรองนั่งสีน้ำเงินสดอย่างเบามือด้วยรอยยิ้ม
สวีลิ่งอี๋จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าห้องโถงใหญ่ของเรือนหลังเขานั้นยังคงตกแต่งและจัดวางเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
ที่แท้โต๊ะกลมใหญ่สีดำเงาไม่อยู่แล้ว มันถูกแทนที่ด้วยโต๊ะพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีดำเงาเล็กๆ บนโต๊ะประดับไปด้วยถาดไม้เก้าหลุมสลักลายดอกชากุหลาบแดง ในหลุมถาดมีหมูเย็น กุ้งแช่สุรา ปีกไก่รมควัน เป็ดดองและผักเครื่องเคียง จานกระเบื้องทรงสูงสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินถูกจัดวางไปด้วยผลผิงกั่วสีแดงสด ผลส้มสีทองอร่าม ผลสาลี่สีเหลืองสดและพวงองุ่นสีม่วงเข้ม…
ความแปลกใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับยกถ้วยสุรากระเบื้องสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินมาให้เขา “ท่านโหวลองดูว่าสุราอุ่นพอเหมาะแล้วหรือยัง”
สวีลิ่งอี๋รับถ้วยสุรามาด้วยความลังเลใจ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยกถ้วยสุราขึ้นมาชิม
รสชาติกลมกล่อมนุ่มนวลยาวนาน นี่คือสุราจินหวาชั้นดี
เขายกดื่มจนหมดถ้วย
สืออีเหนียงยื่นตะเกียบไม้มะเกลือที่ห่อด้วยผ้าสีขาวให้กับเขา
สวีลิ่งอี๋รับตะเกียบมา จากนั้นก็ดันถ้วยสุราออก
สืออีเหนียงรินสุราเติมลงไปในถ้วย
สวีลิ่งอี๋ยกขึ้นมาดื่มจนหมดถ้วยอีกครั้ง
หู่พั่วและคนอื่นๆ พากันปิดหน้าต่างบานกระทุ้งทั้งสองฝั่งตามคำสั่งของสืออีเหนียงอย่างเบามือเบาเท้า เหลือไว้เพียงสองบานที่อยู่ตรงกลาง เมื่อสวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้นมา ก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของสวนดอกไม้หลังจวน
ปุยเมฆที่สว่างเรืองรองดุจผ้าไหมค่อยๆ หายลับไป สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ
หลินปัวค่อยๆ จุดโคมไฟพระราชวังห้าเหลี่ยมสีแดงสดตามผนังอย่างเบามือ
แสงสีแดงสาดส่องไปทั่วทั้งห้อง พลอยทำให้ความเยือกเย็นของสวีลิ่งอี๋เบาบางลงไปไม่น้อย
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงรินสุราให้เขาหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ได้ชวนเขาพูดคุยถึงเรื่องของเฉียวเหลียนฝังขึ้นมา “ข้าได้ซักถามซิ่วหยวนสาวใช้คนสนิทของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว…”
“สืออีเหนียง” สวีลิ่งอี๋โบกมือให้นางเบาๆ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้นางไม่ต้องพูดแล้ว “ตั้งครรภ์อยู่ดีๆ เหตุใดจู่ๆ เด็กถึงไม่มีแล้วเล่า ไม่มีใครรู้ดีเท่าเฉียวอี๋เหนียงอีกแล้ว วัวไม่ยอมดื่มน้ำ เราบังคับขู่เข็ญได้ด้วยหรืออย่างไรกัน” แววตาของเขาลุกโชน น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ไม่เหมือนกับคนที่พึ่งดื่มเหล้าจินหวาไปสองไหเลยแม้แต่น้อย “หลายวันมานี้เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อยไม่ใช่น้อย มานั่งดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอก”
“ข้าดื่มสุราไม่เก่งเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ท่านโหวเองก็พอได้แล้ว!” จากนั้นนางก็ยกบัวลอยดอกกุ้ยฮวามาวางลงตรงหน้าของสวีลิ่งอี๋ “ข้าทานของหวานเป็นเพื่อนท่านโหวดีกว่า!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เจ้าคิดว่าข้าเมาแล้วอย่างนั้นหรือ!” เขาพูดพลางสาวเท้าก้าวไปยังด้านหน้าของหน้าต่าง ทอดสายตามองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างนั่น จากนั้นก็ยกถ้วยสุราในมือขึ้นมาดื่มจนหมด แล้วจึงหันกลับไปมองสืออีเหนียง ราวกับต้องการจะบอกนางว่า ‘เจ้าดูสิ ข้าไม่เป็นอะไร’
คนที่เมาแล้วมักจะชอบบอกว่าตัวเองไม่ได้เมา!
“ท่านโหวออกจะคอแข็ง ข้าไม่ได้คิดว่าท่านเมาเสียหน่อยเจ้าค่ะ” แววตาของสืออีเหนียงคลุมเครือไปด้วยความกังวลใจ แต่น้ำเสียงของนางกลับเต็มไปด้วยความนุ่มนวลและอ่อนโยน “ข้าเพียงแค่รินสุราจนเหนื่อยก็เท่านั้น”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็หัวเราะชอบใจเสียงดังลั่น พลางเดินตรงมายังโต๊ะพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว จากนั้นก็คว้าตัวสืออีเหนียงเข้ามากอดไว้
จู่ๆ ก็เจอกับสถานการณ์ที่กะทันหันเช่นนี้ สืออีเหนียงจึงอุทานขึ้นด้วยความตกใจ มือทั้งสองของนางรีบยันแผ่นอกของเขาไว้พลางเอนตัวถอยหลบตามสัญชาตญาณ
ใบหน้านวลผ่องประดุจหยกขาว โครงหน้าที่งดงามสมส่วนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น
รอยยิ้มของเขาค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ นิ้วมือที่เรียวยาวสัมผัสผ่านเส้นคิ้วที่โค้งโก่งดุจภูเขา ค่อยๆ ขยับไปยังจมูกที่โด่งและงดงาม แล้วจึงมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปากที่อวบอิ่มสีแดงระเรื่อ แววตาก็ค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมา
“เจ้าเหมือนดอกไห่ถังไม่มีผิด”
ริมฝีปากที่คมกริบค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในสายตาของนาง
สืออีเหนียงรีบก้มหน้าลง
ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มจึงสัมผัสลงบนหน้าผากของนาง
“ไม่มีอะไรจะพูด…” เขาพูดขึ้นพึมพำ จากนั้นก็จูบหน้าผากของนาง จูบแก้มของนาง จูบลำคอของนางและซบหน้าลงบนผมของนาง
ในเรือนเงียบสนิทจนได้ยินเสียงเสียดสีของเสื้อผ้า
หางตาของนางมองเห็นสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่กำลังก้มหน้าลงต่ำเรียงแถวถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
การรักษาเยียวยามีหลากหลายวิธี
แต่การอุทิศตัวไม่ควรจะนับรวมลงไปในนั้นด้วย
สืออีเหนียงยอมอยู่นิ่งๆ ให้เขากอด พร้อมกับพยายามหาโอกาสที่เหมาะสม
ใบหน้าที่แนบกับท้ายทอยของนางนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้อน แขนที่รวบเอวของนางไว้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งแน่น…แต่การกระทำกลับหยุดนิ่ง ไม่ได้ล่วงเกินไปมากกว่านี้
ในขณะที่นางกำลังหายใจลำบากอยู่นั้น น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้นข้างๆ ใบหูของนางเป็นบางครั้งบางครา “ไม่มีอะไรจะพูด…ข้าเองรู้สึกว่าไม่ได้ติดค้างอะไรใครทั้งนั้น” น้ำเสียงราวกับว่าเขากำลังพยายามข่มความเจ็บปวดภายในจิตใจเอาไว้ “เพราะเหตุใดทำไมถึงได้…”
เพราะเหตุใด
เพราะชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนหนึ่งบวกหนึ่ง ไม่มีสูตรตายตัวหรือคำตอบที่มีมาตรฐานเป็นหนึ่งเดียว
คำถามนี้มันซับซ้อนเกินไป สืออีเหนียงไม่สามารถที่จะตอบคำถามนี้ได้
สืออีเหนียงมองออกไปยังผืนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนอกหน้าต่างด้วยความไม่เข้าใจ มือของนางค่อยๆ โอบรอบเอวของเขาเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของเขาที่ราวกับละเมอดังขึ้นข้างหู “…ไม่…ข้ายังติดค้าง…ปี้อวี้…”
สืออีเหนียงรู้สึกสับสนและมึนงงไปหมด
ปี้อวี้? ถงอี๋เหนียงปี้อวี้?
*****
ค่ำคืนนั้นลมพัดค่อนข้างแรง เสียงบานหน้าต่างของเรือนหลิงฉยงซานปิดเปิดกระทบกันดังลั่น ห้องโถงถูกส่องสว่างไปด้วยแสงจากโคมไฟสีแดงสดที่ดูอบอุ่นและวังเวงในเวลาเดียวกัน ราวกับโลกที่อยู่อีกซีกหนึ่ง พลอยทำให้จิตใจผ่อนคลายและสงบลง ทั้งสองนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งกันและกันข้างโต๊ะพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว คนหนึ่งค่อยๆ ดื่มสุราอย่างช้าๆ ส่วนอีกคนก็ค่อยๆ รินสุรา คนที่เมาสุรายิ่งดื่มก็ยิ่งกระปรี้กระเปร่า แต่คนที่รินสุรากลับผล็อยหลับบนโต๊ะอย่างไม่รู้ตัว
สิ่งสุดท้ายที่นางจำได้ ก็คือตัวนางเองได้ซุกอยู่ในอ้อมแขนที่แสนจะอบอุ่นอ้อมแขนหนึ่ง…
เมื่อสืออีเหนียงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ได้นอนอยู่บนเตียงของตัวเองแล้ว
ม่านเตียงถูกปิดลงเพียงครึ่งเดียว ที่ฝั่งขวาของเตียงนั้นว่างเปล่า
สืออีเหนียงหยัดกายลุกขึ้น
ม่านเตียงก็ถูกเปิดออกในทันที
“ฮูหยิน ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”
สิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือใบหน้าที่กำลังยิ้มบางๆ ของหู่พั่ว
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
“ท่านโหวเล่า”
หู่พั่วช่วยสืออีเหนียงสวมเสื้ออ่าวที่ถูกผิงไฟจนอุ่นแล้ว “ท่านโหวอุ้มฮูหยินกลับมาแล้วก็ไปที่สวนดอกไม้หลังจวนเลย รำดาบอยู่ครู่หนึ่งเพิ่งจะกลับมา ซย่าอีปรนนิบัติท่านโหวอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้ถามถึงสถานการณ์ของเฉียวเหลียนฝังด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “…นางยังกล่าวโทษฉินอี๋เหนียงว่าเป็นคนทำร้ายนางอยู่หรือไม่”
“ไม่แล้วเจ้าค่ะ!” หู่พั่วย่อตัวลงมาช่วยสืออีเหนียงสวมรองเท้า “หลังจากที่ฮูหยินได้สั่งสอนนางไป ว่าให้นางพูดจาต้องมีหลักฐานด้วย เฉียวอี๋เหนียงก็ไม่ได้พูดคำพูดที่ว่า ‘ฉินอี๋เหนียงทำร้ายนาง’ อีกเลยเจ้าค่ะ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ หู่พั่วก็ชะงักไป “แต่ทว่า ฉินอี๋เหนียงดูเหมือนจะกลัวเฉียวอี๋เหนียงเป็นอย่างมาก นางรอท่านกลับมาตั้งแต่เที่ยงของเมื่อวาน และยังคอยอธิบายให้บ่าวฟังอย่างไม่หยุดหย่อน ว่าหลังจากที่เฉียวอี๋เหนียงถูกกักบริเวณ นางก็ไม่ได้เจอหน้าเฉียวอี๋เหนียงอีก อย่าว่าแต่ไปเยี่ยมเฉียวอี๋เหนียงเลย…เมื่อวานนางรอท่านจนดึกดื่น วันนี้ก็มารอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยเจ้าค่ะ”
“เจอท่านโหวแล้วหรือยัง” สืออีเหนียงกางแขนทั้งสองข้างเพื่อให้หู่พั่วช่วยสวมชุดกระโปรง
“เจอแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วตอบกลับเสียงเบา “ถูกท่านโหวสั่งสอนไปยกใหญ่เลยเจ้าค่ะ”
“ถูกท่านโหวสั่งสอนไปยกใหญ่?” สืออีเหนียงทวนคำพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย “สั่งสอนอย่างไรบ้าง”
หู่พั่วจึงพูดขึ้นว่า “ท่านโหวบอกว่า ให้นางอย่าได้ยินแค่ลมแล้วไปตีโพยตีพายว่าเป็นฝน สร้างความวุ่นวายให้กับฮูหยิน! จากนั้นก็ตรงไปที่สวนดอกไม้โดยที่ไม่สนใจไยดีฉินอี๋เหนียงเลยแม้แต่นิดเดียวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ดินเผาหน้าโต๊ะกระจกพลางครุ่นคิด
หู่พั่วก็นึกถึงคำพูดที่สวีลิ่งอี๋พูดกับฉินอี๋เหนียงว่า ‘อย่าได้ยินแค่ลมแล้วไปตีโพยตีพายว่าเป็นฝน’ ขึ้นมา จู่ๆ ก็รู้สึกไม่เชื่อว่าฉินอี๋เหนียงจะทำร้ายเฉียวอี๋เหนียงได้ อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นด้วยความกังวลใจว่า “ฮูหยิน ท่านกลัวว่าท่านโหวจะเข้าข้างฉินอี๋เหนียงหรือเจ้าคะ…”
“ไม่ ไม่” สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ข้ากำลังคิดว่าท่านโหวประพฤติต่อผู้อื่นด้วยความเกรงใจมาโดยตลอด แต่กับฉินอี๋เหนียง…จะว่าไปแล้ว ฉินอี๋เหนียงก็เป็นถึงมารดาผู้ให้กำเนิดของคุณชายน้อยสองเสียด้วยซ้ำ แต่คิดอยากจะสั่งสอนก็สั่งสอน อยากใส่อารมณ์ก็ใส่อารมณ์…”
หู่พั่วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เดิมทีฉินอี๋เหนียงเคยเป็นสาวรับใช้ข้างกายของท่านโหว แน่นอนว่าย่อมแตกต่างจากผู้อื่นอยู่แล้ว…” เมื่อพูดจบ ก็เกิดหวั่นใจขึ้นมา
สืออีเหนียงจ้องมองนางด้วยรอยยิ้ม
หู่พั่วเงียบสนิทไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เชิญฉินอี๋เหนียงเข้ามาเถิด!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม สีหน้ากลับไปหนักแน่นและนิ่งสงบเหมือนเช่นที่ผ่านมา “ท่านโหวพูดมีเหตุผล การแท้งบุตรของเฉียวอี๋เหนียงยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างชัดเจน นางได้ยินแค่ลมแต่ไปตีโพยตีพายว่าเป็นฝนเช่นนี้ก็ไม่ถูกจริงๆ”
หู่พั่วขานรับแล้วออกไปพาฉินอี๋เหนียงเข้ามา
ใบหน้าของฉินอี๋เหนียงบวมแดงไปหมด สีหน้าไร้ซึ่งชีวิตชีวา ดูแก่เพิ่มขึ้นมาห้าปีเห็นจะได้ เมื่อนางเห็นสืออีเหนียง ก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าทันที ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก “ฮูหยิน ข้าไม่ได้ทำร้ายเฉียวอี๋เหนียงจริงๆ เจ้าค่ะ หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถสอบถามคนใกล้ตัวของข้าได้ ถามเหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่อยู่ในเรือนก็ยังได้…”
“ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ต้องใช้หลักฐานทั้งสิ้น” สืออีเหนียงให้หู่พั่วช่วยประคองนางลุกขึ้น “ฉินอี๋เหนียงไม่ต้องกังวลใจไป”
ฉินอี๋เหนียงลุกขึ้นมาด้วยความสะอึกสะอื้น “ขอแค่ฮูหยินเชื่อข้าบ้างก็พอ ข้าไม่ได้ทำร้ายเฉียวอี๋เหนียงจริงๆ เจ้าค่ะ”
นางพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ สืออีเหนียงเองก็คอยพยักหน้าให้นางอยู่หลายครั้ง
ยังดีที่เหวินอี๋เหนียงมาถึงพอดี
“ไอ๊หยา พี่หญิงฉิน มาเช้าจริงเชียว!” นางย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่สดใส ใบหูของนางถูกสวมด้วยต่างหูทองบริสุทธิ์ฝังไพฑูรย์น้ำเงิน พวงต่างหูทิ้งตัวแกว่งไปมาตามการเคลื่อนไหวของนาง ดูงดงามเป็นอย่างมาก
ฉินอี๋เหนียงฝืนยิ้มพลางย่อตัวทำความเคารพตอบกลับเหวินอี๋เหนียง
“วันนี้อากาศดีมาก” เหวินอี๋เหนียงทักทายเล่นกับทุกคน “ช่วงนี้ของปีที่แล้วก็มีแดดเช่นนี้อยู่หลายวัน แต่พอสิ้นเดือนกลับมีฝนตกปรอยๆ ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นเหมือนปีก่อนหรือไม่ สิ้นเดือนนี้คุณหนูสองจะครบสองเดือนแล้วไม่ใช่หรือ ได้ยินมาว่าคุณชายห้าจะตั้งชื่อให้คุณหนูสองว่า ‘ซื่อซิน’ ตอนนี้ตั้งเป็นชื่อนี้แล้วหรือยัง” นางหันไปถามสืออีเหนียง ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบกลับ นางก็ได้พูดขึ้นพึมพำเองว่า “ข้าว่าชื่อนี้ถือว่าดีทีเดียว ‘ซิน’ ‘กลิ่นหอมกรุ่นค่อยๆ เพิ่มพูน องค์จักรพรรดิจึงเสด็จมาเชยชม’ ช่างเป็นชื่อที่ดีจริงๆ”
นางพูดพึมพำคนเดียว โดยที่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของเฉียวเหลียนฝังแม้แต่คำเดียว