ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 264 ไม่ยินยอม(ปลาย)
เยี่ยนหรงยืนตัวตรง ใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าท่าทางสำรวมสงบเสงี่ยม ซิ่วหยวนกำลังพูดอะไรบางอย่างกับเยี่ยนหรง ยกมือขึ้นมาปกปิดรอยยิ้ม สีหน้าประจบประแจง
หู่พั่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “นางกำลังคิดจะทำอะไรกัน”
สืออีเหนียงหันไปมองตามสายตาของหู่พั่ว “จะว่าไปแล้วซิ่วหยวนเองก็ลำบากไม่น้อย เราก็ควรจะเข้าไปทักทายเสียหน่อย!” จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหา
เสียงสนทนาของทั้งสองดังแว่วมาแต่ไกล
“…น้องหญิงเยี่ยนหรงไม่ต้องเกรงอกเกรงใจ ไท่ฮูหยินได้ส่งป้ารับใช้สองคนให้มาช่วยดูแลอี๋เหนียงด้วย ข้าเองก็ว่างอยู่เฉยๆ”
“ข้าก็ไม่อยากจะปิดบัง ชิวอวี่คนสนิทของพี่หู่พั่วช่วยข้าทำถุงเท้าฤดูร้อนตั้งหกคู่แล้ว มากกว่านี้ข้าก็ใช้ไม่หมด ไหนจะลวดลายใหม่ของปีหน้าอีก”
“งั้นข้าทำกระโปรงผ้าทอให้น้องหญิงดีหรือไม่” ซิ่วหยวนก็ยังไม่ยอมแพ้ “อี๋เหนียงเพิ่งจะมอบผ้าทอสีน้ำเงินอ่อนให้ข้ามาหนึ่งพับเป็นรางวัล…”
เยี่ยนหรงก็ได้ตัดบทสนทนาของซิ่วหยวนไป “ในเมื่อเป็นของรางวัลจากอี๋เหนียง พี่ซิ่วหยวนก็เก็บไว้เองเถิด! สองวันก่อนฮูหยินเพิ่งจะให้ผ้าไหมโปร่งบางของหังเจี้ยนมาหนึ่งพับ ผ้าทอใยอีกหนึ่งพับ…” ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นก็เห็นสืออีเหนียงและหู่พั่วกำลังเดินมาพอดี นางจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับรีบขานเรียก “ฮูหยิน” ทิ้งซิ่วหยวนไว้แล้วรีบเดินออกมารับสืออีเหนียงทันที
ซิ่วหยวนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม นางรีบเดินตามหลังเยี่ยนหรงมาแล้วย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง
“ซิ่วหยวนเองหรอกหรือ!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
ซิ่วหยวนยิ้มพร้อมกับรีบอธิบายไปว่า “บ่าวตั้งใจมาให้เหล่าบรรดาพี่หญิงทั้งหลายช่วยสอนการเย็บปักโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
“การเย็บปัก?” เมื่อสืออีเหนียงได้ยินแล้วก็เผยรอยยิ้มออกมา กวาดตามองนางอยู่ครู่หนึ่ง
นางสวมเสื้อกั๊กสีถั่วเขียวซ้อนทับเสื้ออ่าวผ้าแพรต่วนสีขาว ผมสีดำขลับมวยทรงก้นหอย ใบหน้าทาด้วยแป้งบางๆ ดูมีเสน่ห์ต้องตาต้องใจไม่น้อย
ซิ่วหยวนเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก “ฮูหยิน…”
สืออีเหนียงจ้องนางตาไม่กะพริบ “ปกติไม่ค่อยได้สังเกตดีๆ วันนี้พอได้มาดูดีๆ ซิ่วหยวนเจ้าเองก็เป็นสตรีเต็มตัวแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องเอาใจใส่เรื่องเย็บปักถักร้อยแล้วสินะ” พูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในเรือนหลัก “ไม่รู้ว่าหนุ่มบ้านใดจะมีวาสนานี้กัน”
หู่พั่ว เยี่ยนหรงและคนอื่นๆ ก็พากันรีบเดินตามเข้าไปทันที
แต่สีหน้าของซิ่วหยวนนั้นเสียอาการเป็นอย่างมาก
นางติดตามเฉียวเหลียนฝังมายังจวนสกุลสวี นั่นก็เท่ากับว่าได้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนสกุลสวีแล้ว สืออีเหนียงเป็นนายหญิงใหญ่ของจวน แน่นอนว่าจะต้องมีอำนาจตัดสินในการยกนางให้กับบ่าวรับใช้ชายคนไหนก็ได้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา เดินตรงไปยังประตูข้างทางทิศตะวันออกด้วยความรีบร้อน
สืออีเหนียงมองดูแล้วสายตาก็เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย หันไปถามกับเยี่ยนหรงว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือยัง”
เยี่ยนหรงตอบกลับเสียงเบาว่า “กลับมาราวครึ่งก้านธูปได้เจ้าค่ะ พึ่งเข้าเรือนมาก็ถามหาฮูหยินทันที พอรู้ว่าฮูหยินสามเรียกฮูหยินออกไป ก็เลยให้ซย่าอีมาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลานี้คงจะนอนพักผ่อนไปแล้ว…ซิ่วหยวนแอบมาถามเรื่องของท่านโหวอ้อมๆ ว่าท่านโหวกลับมาแล้วหรือยัง บ่าวเองก็พยายามอ้างสารพัดเหตุผลมาปฏิเสธ…” เมื่อเล่าจนถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางเหมือนกำลังตั้งคำถามอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงชะงักฝีเท้าลง
ลมยามค่ำคืนพัดใบไม้สั่นไหวเสียงดัง ซู่ซู่ แต่ลมที่ปะทะมานั้นไม่ได้มีความหนาวเย็นแต่อย่างใด
“หากนางมาซักถามอีก เจ้าก็พยายามขวางและรั้งไว้” น้ำเสียงของสืออีเหนียงค่อนข้างทุ้มต่ำ เสียงพูดของนางผสมเข้ากับเสียงลมพัด ฟังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไรนัก “แต่หากเป็นเฉียวอี๋เหนียง…เจ้าไม่ต้องขวางแม้แต่นิดเดียว!”
เยี่ยนหรงอึ้งไปชั่วขณะ
สืออีเหนียงหมุนตัวเดินตรงเข้าไปในห้องโถง
เยี่ยนหรงรีบเดินตามหลังไปติดๆ
หู่พั่วได้เข้าไปเปิดม่านของห้องชั้นในรอสืออีเหนียงตั้งแต่แรกแล้ว
“พี่สะใภ้สามเรียกเจ้าไปทำอะไร” สวีลิ่งอี๋กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงเงยหน้าขึ้นมาดูด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“มีเรื่องปรึกษาหารือกันนิดหน่อยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับอย่างคลุมเครือ “ท่านโหวกลับมาตั้งแต่ตอนไหนหรือเจ้าคะ”
“เพิ่งกลับมาถึง…”
เมื่อสามีภรรยากล่าวทักทายกันเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องชำระ ตอนออกมาจากห้องชำระสวีลิ่งอี๋ก็ได้ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้ว เขากำลังนอนเอนหลังอ่านตำราอยู่ เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงผลัดผ้าเสร็จเรียบร้อย เขาก็ได้วางหนังสือตำราลงเพื่อเตรียมตัวนอนหลับ และได้พูดขึ้นว่า “การตรวจทานบัญชีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว วันนี้พี่สามมาปรึกษาหารือกับข้า ว่าจะเตรียมออกเดินทางในวันที่สิบหกเดือนสองนี้”
“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ!” สืออีเหนียงปีนขึ้นบนเตียง “บัญชีค่าใช้จ่ายประจำวันตรวจสอบชัดเจนแล้ว เหลือก็แต่บัญชีของห้องเก็บของ ทั้งหมดสามสิบหกเล่ม แต่ตรวจทานไปแค่สิบสองเล่มเท่านั้น”
“มีอะไรผิดหรือ” สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นพลางเอนตัวลงนอน “นอกจากมรดกที่สืบทอดกันมาและส่วนที่ฝ่าบาททรงประทานให้ ที่เหลือเจ้าก็ตัดสินเองได้เลย ซานหยางเป็นพื้นที่แร้นแค้น วันข้างหน้าหากกลับเมืองหลวงแล้ว ทุกคนต่างก็มีฐานะทางสังคมของตัวเอง…อนาคตในวันข้างหน้าของพวกเขายังอีกยาวไกล”
“ความหมายของท่านโหวข้าเข้าใจดี” สืออีเหนียงขยับหมอนให้เข้าที่เข้าทาง จากนั้นก็เอนตัวนอนลง “บัญชีของห้องเก็บของตรวจทานค่อนข้างล่าช้า แต่ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้” นางตัดสินใจเล่าเรื่องที่สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ แอบไปนัดพบย่วนเจี่ยเอ๋อร์แล้วถูกคุณนายใหญ่สกุลกานเห็นเข้าจึงได้มาแจ้งเรื่องนี้ให้กับฮูหยินสามให้สวีลิ่งอี๋ฟัง พร้อมกับเล่ารายละเอียดการถกเถียงกันระหว่างตนและฮูหยินสาม รวมไปถึงบทลงโทษที่ตนลงโทษสวีซื่อฉิน
สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าทำได้ถูกต้อง กักบริเวณให้เขาได้พิจารณาไตร่ตรองในความผิดของตัวเอง เพื่อให้เขาสามารถถอนตัวออกห่าง และยังสามารถทำให้เขาได้ใช้เวลาพิจารณาตัวเองเงียบๆ คนเดียว” พูดจบหว่างคิ้วของเขาก็ขมวดแน่น “ที่ผ่านมาข้าเห็นเขาเชื่อฟังไม่ออกนอกลู่นอกทางมาโดยตลอด ใครจะไปนึกว่าเขาจะกล้าทำเรื่องพวกนี้ออกมาได้”
“ไม่ว่าอวี้เกอจะเชื่อฟังแค่ไหน อย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อมเขาว่า “หลักการบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพร่ำสอนอย่างละเอียดถี่ถ้วน อวี้เกอฉลาดหัวไวมีไหวพริบ เจอเขาแล้วก็ไม่ต้องดุด่าต่อว่า มีอะไรก็พูดกันดีๆ เขาไม่ใช่เด็กที่จะไม่รับฟังคำสอนของผู้ใหญ่”
สวีลิ่งอี๋ตอบ “อืม” เบาๆ จากนั้นก็ได้พูดถึงย่วนเจี่ยเอ๋อร์ขึ้นมา “…เป็นเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ กลัวก็แต่เด็กจะรู้สึกแย่ ข้าว่าหากไม่ได้จริงๆ ก็ควรไปเจอกานฮูหยินเสียหน่อย อย่างไรเสียเด็กก็ยังเล็ก ไปปรึกษาหารือกับนางจะได้ให้เรื่องนี้จบไปแต่โดยดี ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของอวี้เกอเขา”
“ข้าว่ารอดูความเคลื่อนไหวของทางฝั่งพี่สะใภ้สามก่อนดีกว่าหรือไม่!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ไม่แน่บางทีฮูหยินสามกับคุณนายใหญ่สกุลกานอาจจะเจรจากันถูกคอก็ได้เจ้าค่ะ แล้วเราค่อยมาจัดการเรื่องนี้อีกทีก็ยังไม่สาย”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องคุณชายสามว่าจ้างนักวางแผนขึ้นมา “…หม่าจั่วเหวินแนะนำมา ข้าเองก็ได้เจอหน้าแล้ว เป็นคนมีน้ำใจ ประสบการณ์มากมาย รอบรู้เรื่องประเพณีสังคม เรื่องเกี่ยวกับภาษีที่นาและการเงินก็เชี่ยวชาญไม่น้อย เพียงแต่ว่าข้ายังมีความกังวลใจอยู่เล็กน้อย อยากจะโยกย้ายนายหน้าซ่งของที่ทำการนายหน้าไปเป็นผู้ดูแลของพี่สาม มิเช่นนั้น หากพี่สะใภ้สามตีโพยตีพายขึ้นมา ข้ากลัวว่าพี่สามจะต้านไม่ไหว”
“ผู้ดูแลเรือนไหนไม่ใช่คนสนิทของตัวเองบ้างเล่า” สืออีเหนียงพูดขึ้นอย่างนิ่มนวลและอ่อนโยน “เรื่องนี้ท่านต้องปรึกษาหารือกับคุณชายสามให้เสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะถูก คุณชายสามจะได้ไม่เกิดปมในใจเจ้าค่ะ”
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล…”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงค่อยหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินอี๋เหนียงก็ได้มาหา นางมายกน้ำชาแสดงความเคารพต่อสืออีเหนียง ถึงแม้ว่าสีหน้าจะเต็มไปด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจแต่กลับเงียบปากไม่ยอมพูดอะไร เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงจะไปคารวะทักทายไท่ฮูหยินแล้ว จึงได้พูดโพล่งออกไปว่า “ฮูหยิน ข้า…ข้าทำรองเท้ามอบให้ฮูหยินสักคู่หนึ่งดีหรือไม่!”
ต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงไม่สะดวกใจจะปฏิเสธ จึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉินอี๋เหนียงก็อย่าลำบากตัวเองจนเกินไป”
ฉินอี๋เหนียงดีอกดีใจราวกับเด็กน้อยที่ได้ซองแดงก็ไม่ปาน “ไม่ลำบาก ไม่ลำบากเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มให้นาง จากนั้นก็ตรงไปหาไท่ฮูหยินพร้อมสวีลิ่งอี๋
ก็เจอเข้ากับฮูหยินสามและป้ากานที่มาลาไท่ฮูหยินพอดี บอกว่าตนจะต้องติดตามคุณชายสามไปทำงานที่นอกเมืองหลวงตามคำสั่งแล้ว และต้องมอบหมายการตรวจสอบบัญชีให้กับชิวหลิง
แน่นอนว่าไท่ฮูหยินจะต้องอนุญาตอยู่แล้ว
นางออกไปแต่เช้ากลับมาก็มืด มาถึงยังต้องโมโหไปยกใหญ่
สวีซื่อฉินเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องที่นายหญิงใหญ่สกุลกานจะให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานกับเขา ฟังแล้วก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้ง ส่วนสวีซื่อเจี่ยนก็คอยแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงถามขึ้นด้วยความคลุมเครือไปสองครั้ง ฮูหยินสามก็เอาแต่พูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ข้ากำลังคุยเรื่องนี้กับพี่สะใภ้ใหญ่อยู่!”
สืออีเหนียงจึงไม่กล้าจะถามไปมากกว่านี้
ผ่านไปสองวัน ในที่สุดการตรวจทานหนังสือบัญชีของห้องเก็บของก็เสร็จสิ้น ถึงแม้ว่าในหนังสือบัญชีทุกๆ เล่มจะมีส่วนที่ไม่สามารถตรวจสอบได้สองถึงสามข้อ แต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนตรงและถูกต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย
สืออีเหนียงรับฟังด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย และได้สั่งให้หู่พั่วนำหนังสือบัญชีเหล่านี้ไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเองไม่ได้เปิดดู เพียงแต่ถามนางว่า “มีส่วนที่สูญเสียจำนวนมากหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” นางรู้ว่าจิตใจของไท่ฮูหยินนั้นใสสะอาดดุจเรือนกระจก สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา “แค่สูญเสียไปเพียงเล็กน้อย ไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “น้ำที่ใสสะอาดจนเกินไปจะไม่มีปลามาแหวกว่าย แต่ก็ไม่ควรให้ปลาเหล่านั้นกินหญ้าจนหมด”
พูดจบทุกคนก็พากันหัวเราะขึ้นมา
ป้ากานเดินตามฮูหยินสามเข้ามาด้านใน
ใบหน้าของฮูหยินสามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สีหน้าท่าทีกระปรี้กระเปร่าดูมีชีวิตชีวา เปลี่ยนไปจากอารมณ์โมโหฉุนเฉียวก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเดินเข้าประตูมาก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ผลักภาระนี้ให้กับน้องสะใภ้สี่แล้ว” อารมณ์จิตใจของนางดูปิติเป็นอย่างยิ่ง
สืออีเหนียงแอบรู้สึกแปลกประหลาดใจ หลังจากที่นางได้มอบหมายทุกอย่างจนเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้หู่พั่วรีบไปสืบสาวราวเรื่องทันที “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หู่พั่วกลับมาเรียนว่า “ย่วนเจี่ยเอ๋อร์สกุลกานหมั้นหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายเป็นผู้บังคับกองพันอวี๋หลินเว่ย รับตำแหน่งฐานะบรรดาศักดิ์จากรุ่นสู่รุ่นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรีบไปเปิดหนังสือ ‘เก้าแคว้นแห่งต้าโจว’ ออกมาดู
อวี๋หลินเว่ยมีแม่น้ำเซอเหยียนสุ่ยอยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก ส่วนทางฝั่งทิศเหนือมีแม่น้ำมั่วสุ่ย ไหลผ่านทางตอนใต้จนบรรจบกับแม่น้ำซานช่าชวน…
แต่สืออีเหนียงจดจ่อเพียงบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น ‘ห่างจากฝ่ายปกครองมณฑลหนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบลี้’
สืออีเหนียงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งหัวใจขึ้นมาทันที
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ทำสัญลักษณ์ตรงเนื้อหาของอวี๋หลินเว่ยบนตำรา ‘พงศาวดารแห่งภูมิศาสตร์’
“นำไปส่งให้คุณชายน้อยสอง!”
แววตาของหู่พั่วมืดมนลงในทันที นางรีบรับเล่มตำรามา ขานรับด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำพลางย่อตัวทำความเคารพแล้วตรงไปยังห้องลี่จิ่งเซวียนทันที
เมื่อข่าวถูกกระจายออกไป รอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสามก็หายไปทันควัน คนที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือสวีซื่อฉิน ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่เป็นคนที่พูดน้อย แต่ตอนนี้กลายเป็นคนเงียบขรึมไม่ยอมพูดจา ใบหน้าท่วมท้นไปด้วยความเศร้าที่ไร้เดียงสา พลอยทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกใจหายไปตามๆ กัน
สวีซื่ออวี้เองก็นิ่งไปในทันที
เขาไม่ออกจากเรือน วันๆ ก็เอาแต่คัดอักษร
การที่ฮูหยินสามริเริ่มทำตัวเป็นคนไม่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางมีความสุขกับการเดินทางไกลจึงทำให้นางเพิกเฉยหรือไม่ หรือเป็นเพราะเรื่องบานปลายมาจนถึงตรงนี้และไร้ซึ่งทางเลือกแล้ว หลังจากที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของบุตรชาย นางกลับไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทีอะไรออกมาทั้งสิ้น ท่าทีที่แสดงต่อหน้าสืออีเหนียงยังคงแข็งข้อไม่ยอมถอย “จับโจรต้องมีหลักฐาน คงจะให้พี่สะใภ้ใหญ่มาชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ทำลายชื่อเสียงเด็กๆ ในตระกูลของเราเสียหายไปหมด!”
สืออีเหนียงอยากจะพูดคุยถามไถ่นางเสียหน่อยว่าจัดเตรียมข้าวของสำหรับเดินทางไปถึงไหนแล้ว
จู่ๆ ฮูหยินสามก็ดูเหมือนว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันควัน “เก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เพียงแค่รอให้เกี้ยวขุนนางมาถึงเท่านั้น”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน คุณนายใหญ่สกุลหลัวที่ตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวและฮูหยินสามถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินสามก็ลุกขึ้นขอตัวก่อน คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็หันมายิ้มพร้อมกับถามสืออีเหนียงว่า “รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักของเรือนแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“ราบรื่นดีเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเชื้อเชิญคุณนายใหญ่สกุลหลัวไปนั่งที่เตียงเตา “ตอนแรกไท่ฮูหยินยังเป็นห่วงและกังวลว่าข้าจะไม่คุ้นชิน จึงให้ป้ารับใช้ที่ประจำอยู่ที่ห้องปีกทิศตะวันตกกลับเรือนไป ส่วนนางก็คอยฟังอยู่ที่ห้องปลายสุดของทิศตะวันออก ฟังอยู่สองวันเห็นจะได้ จากนั้นก็ให้ข้าไปรายงานที่โถงบุปผาแทน จะได้ไม่ต้องมานั่งฟังเสียงที่ดังวุ่นวายจนปวดหัวไปหมด”
“ดีแล้ว เช่นนั้นก็ดีแล้ว” คุณนายใหญ่สกุลหลัวได้ยินแล้วก็รู้สึกดีใจแทนนาง “เพราะตอนอยู่จวนเดิมเจ้าก็ไม่เคยคลุกคลีมาก่อน ข้ายังเอาแต่เป็นห่วงเจ้าอยู่เลย!”
“ยังดีที่ข้าได้ฝึกฝนเรียนรู้จากฮูหยินสามมาระยะหนึ่งแล้ว” สืออีเหนียงพูดจาคลุมเครือ นางยิ้มพร้อมกับหันไปรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้มาวางตรงหน้าคุณนายใหญ่สกุลหลัว “พี่สะใภ้ใหญ่มาหาข้ามีเหตุอันใดหรือเจ้าคะ”
“คุณหนูสี่ป่วยมาสักพักหนึ่งแล้ว” คุณนายใหญ่สกุลหลัวพูดขึ้นเสียงเบา “เมื่อวานนี้ข้าเพิ่งได้รับจดหมาย อยากจะนัดกับเจ้าไปเยี่ยมนางเสียหน่อย”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ป่วยเป็นโรคอะไรหรือ เจอนางตอนเดือนอ้ายยังเห็นดีๆ อยู่เลย”
“โรคคอพอกเป็นพิษ” คุณนายใหญ่สกุลหลัวตอบกลับ “เห็นว่าผอมแห้งจนแค่โดนลมพัดก็แทบจะปลิว”
สืออีเหนียงหันไปสั่งหู่พั่วให้รีบไปเตรียมของฝากและรถม้า ส่วนตนและคุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ได้ไปคารวะไท่ฮูหยิน นางเองก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งให้สาวใช้ไปเรียนเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ด้วย จากนั้นก็พากันเดินทางไปหาซื่อเหนียงทันที
ตกดึกหลังจากที่สวีลิ่งอี๋กลับจากนอกเรือนมา ก็ได้ตรงไปคารวะไท่ฮูหยินทันที หลังจากกลับไปที่เรือนแล้วก็เห็นว่าในห้องนั้นเงียบสงบ จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า “ฮูหยินยังไม่กลับมาอีกหรือ”
“ฮูหยินยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ!”
ลี่ว์อวิ๋นเข้าไปช่วยสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปรินชามาให้เขาพลางเชิญเขาไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างในห้องชั้นใน
สวีลิ่งอี๋เพิ่งยกถ้วยชาขึ้นมาจิบไปคำเดียว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอก
เขาขมวดคิ้วแน่นพลางเปิดม่านห้องชั้นในออกมาดู ก็เห็นเงาคนสวมชุดสีน้ำเงินอ่อนพุ่งเข้ามาทันที
“ท่านโหว…”