ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 260 ข้อสรุป(กลาง)
สวีลิ่งอี๋กลับมาเมื่อยามเซินของวันต่อมา
“เรียบร้อยแล้ว” เขาเจอสืออีเหนียงก็บอกว่า “เด็กเลี้ยงในนามของหวังหลัง”
เร็วขนาดนี้…
สืออีเหนียงถามด้วยความแปลกใจ “ท่านโหวทำได้เช่นไรเจ้าคะ” แล้วสังเกตเห็นว่าแม้เขาจะหน้าตาสะอาดสะอ้าน แต่ริมฝีปากกลับแห้งกร้าน อีกทั้งยังสวมเสื้อผ้าที่สวมออกไปเมื่อวาน บนตัวมีกลิ่นสุราเหม็นๆ นางจึงสงสัยว่าเมื่อวานเขาไม่ได้นอนหลับพักผ่อนแล้วคงดื่มสุราที่สกุลหวังไปไม่น้อย จึงระงับความตกใจแล้วบอกให้สาวใช้ไปตักน้ำเข้ามารับใช้เขาล้างหน้าล้างตา “ท่านโหวดื่มสุรามาหรือเจ้าคะ ให้โรงครัวทำน้ำแกงแก้เมาหรือต้มน้ำแกงไก่มาให้ท่านดื่มดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋พูด “แค่ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อวาน เจ้าปูเตียงให้ข้างีบสักหน่อยเถิด”
ทุกคนเดินอยู่รอบตัวเขา ในที่สุดก็รับใช้เขาเข้านอน เดิมทีสืออีเหนียงคิดว่ารับใช้เขาเข้านอนแล้วค่อยถามถึงสถานการณ์ แต่ใครจะรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กลับเป็นคนพูดออกมาก่อน
“ท่านกั๋วกงเป็นคนหูเบา แต่เขาไม่ใช่คนไม่รู้อะไร พอข้าบอกเขาอย่างชัดเจน เขาก็เห็นด้วยทันที”
ไม่มีทางง่ายดายขนาดนี้
หากง่ายดายขนาดนี้ หรือว่าหลัวเจิ้นซิ่งพูดไม่เป็นเช่นนั้นหรือ!
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางไม่เชื่อ ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องบางเรื่องหลัวเจิ้นซิ่งไม่รู้ พูดไม่ตรงประเด็น บวกกับสกุลญาติพวกนั้นเอะอะโวยวายอยู่ข้างๆ ท่านกั๋วกงจึงคิดไม่ได้และไม่เข้าใจ”
“ต้องรู้ว่า สืบทอดตำแหน่งคือความเมตตาของราชวงศ์ แต่ผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งกลับเป็นเรื่องของสกุลหวัง ตอนนี้เขามีลูกสะใภ้ เขาสามารถรับหลานมาเลี้ยงได้ แต่หากเขารับบุตรชายมาเลี้ยง อนาคตยังต้องดูว่าบุตรชายจะมีทายาทให้หวังหลังหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น หวังหลังก็จะไม่ใช่ทายาทสืบทอดแล้ว หากให้สือเหนียงเป็นคนที่รับเด็กมาเลี้ยง หนึ่งคือสามารถสืบทอดตำแหน่ง สองคือบุตรชายของตัวเองก็คือบิดาของกั๋วกงคนต่อไป เช่นนั้นก็สามารถจัดพิธีศพที่ดีกว่านี้ได้ มิฉะนั้น ต่อไปคงต้องมอบตำแหน่งกั๋วกงให้บุตรบุญธรรม แต่ไม่ใช่หวังหลังที่เป็นบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง”
“สุดท้ายท่านกั๋วกงบอกว่าเขารักและเอ็นดูบุตรชายของตัวเองมากกว่า พอข้าพูดอธิบายออกไป เขาก็เห็นด้วยทันที”
สืออีเหนียงเข้าใจในทันที
การใช้เรื่องทายาทสืบทอดและเรื่องพิธีศพมาเกลี้ยกล่อมท่านกั๋วกง ก็คงมีแค่คนที่เกิดในสกุลขุนนางอย่างสวีลิ่งอี๋เท่านั้นที่คิดได้ เมื่อเขาเป็นคนพูดออกมา ท่านกั๋วกงถึงฟังเข้าหู
หลัวเจิ้นซิ่งนั้นอายุยังน้อย คุณสมบัติของเขาก็ยังน้อยเกินไป
“ลำบากท่านโหวแล้วเจ้าค่ะ” นางถือโอกาสเอ่ยชื่นชมเขา จากนั้นก็พูดเรื่องของเฉียวเหลียนฝัง “…บอกว่าอยากเจอนายหญิงสามสกุลเฉียว ข้าถามท่านป้าสองคนที่คอยดูแลนางแล้ว ท่านป้าสองคนนั้นบอกว่าเฉียวเหลียนฝังร่างกายแข็งแรงดี พบปะแขกคงไม่น่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ…”
หลังจากที่สืออีเหนียงบอกว่าเฉียวเหลียนฝังอยากเจอท่านแม่ของตัวเอง รอยยิ้มที่แผ่วเบาของสวีลิ่งอี๋ก็มลายหายไปราวกับหมอกยามเช้าภายใต้แสงอาทิตย์ เมื่อสืออีเหนียงพูดว่าเฉียวเหลียนฝังสามารถพบปะแขกได้ สีหน้าของเขาก็เรียบเฉยแล้วพูดขัดจังหวะสืออีเหนียง “นางตั้งครรภ์อยู่ อยู่ดูแลร่างกายที่จวนให้มากๆ แล้วไปมาหาสู่กับคนพวกนั้นให้น้อยๆ เสียหน่อย”
ทำให้สืออีเหนียงที่ยังพูดไม่ทันจบก็หยุดนิ่งทันที
นางยังไม่ทันได้สติกลับมา สวีลิ่งอี๋ก็นอนลงแล้วพูดว่า “ไม่ได้ไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยินตั้งหลายวันแล้ว เจ้าอย่าลืมปลุกข้าตื่นยามโหย่ว” ทำท่าทีว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก
มีสาวใช้เข้ามารายงานพอดี “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ เฉียวอี๋เหนียงมาแล้วเจ้าค่ะ”
นางหันไปมองสวีลิ่งอี๋ เขาหลับตาแล้ว “อย่าลืมปลุกข้าตื่นยามโหย่ว”
เขาพูดอย่างนิ่งสงบ แต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่น
สืออีเหนียงจึงเดินออกไปที่ห้องโถง
“ท่านโหว…” เห็นว่าสืออีเหนียงออกมาคนเดียว เฉียวเหลียนฝังก็มีสีหน้าผิดหวัง นางอดไม่ได้ที่จะยื่นคอออกไปมองด้านหลังของสืออีเหนียง
“ท่านโหวพึ่งจะพักผ่อน” สืออีเหนียงยิ้ม “เฉียวอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดก็บอกข้าได้เหมือนกัน”
เฉียวเหลียนฝังหาข้ออ้างไม่ได้จึงพูดว่า “ข้าแค่จะมาถามเรื่องที่ข้าขอครั้งก่อน เรื่องที่ให้ท่านแม่มาเยี่ยมข้า…”
สวีลิ่งอี๋พูดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว
สืออีเหนียงพูดอย่างอ้อมค้อม “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ควรพักผ่อนอย่างสงบ”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็เบิกตากว้าง ทำท่าทีไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ข้า…ข้าอยากเจอท่านโหวเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่สนใจ นางหันตัวออกเปิดทางให้ทันที
เฉียวเหลียนฝังเห็นเช่นนี้ก็ลังเล ทำสีหน้าตกใจและสับสนอยู่นาน จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่ควรรบกวนเวลาพักผ่อนของท่านโหว ข้าขอตัวกลับไปก่อน”
สืออีเหนียงพยักหน้า บอกให้สาวใช้ออกไปส่งเฉียวเหลียนฝัง ส่วนตัวเองเดินกลับเข้าไปในห้อง นั่งเย็บปัก ‘ลมหุบเขา’ ที่ยังทำไม่เสร็จบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง
ผ่านประตูข้างทางทิศตะวันออกไปแล้ว ซิ่วหยวนก็ถามเฉียวเหลียนฝังเบาๆ “คุณหนู เมื่อครู่ทำไมท่านไม่เข้าไปถามล่ะเจ้าคะ”
เฉียวเหลียนฝังหัวเราะอย่างเย้ยหยันเบาๆ “สืออีเหนียงเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม ในเมื่อนางกล้าปล่อยให้ข้าเข้าไปถาม แสดงว่านางมีวิธีรับมืออยู่แล้ว หากข้าบุ่มบ่ามเข้าไปถามเช่นนั้น ก็หลงกลนางน่ะสิ”
ซิ่วหยวนได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่ามันมีเหตุผล จึงพยักหน้าซ้ำๆ
เฉียวเหลียนฝังบอกนาง “เจ้าฉลาดกว่านี้หน่อย เราต้องหาโอกาสเจอท่านโหวตามลำพังอีกครั้ง”
ซิ่วหยวนตอบรับ
แต่น่าเสียดายที่วันต่อมาสวีลิ่งอี๋เอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องลานข้างนอก ไม่ต้องพูดถึงเฉียวเหลียนฝัง แม้แต่สืออีเหนียงก็เห็นเขาแค่เช้าและเย็น
เมื่อถึงวันที่หกเดือนสองก็มีข่าวแพร่สะพัดออกมาว่า สวีลิ่งหนิง คุณชายสามได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอที่มณฑลซานหยาง
พอข่าวนี้แพร่ออกมาก็ก่อเกิดความโกลาหล
สวีลิ่งอี๋พึ่งจะสูญเสียตำแหน่งแม่ทัพทหารทั้งห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาค ขุนนางระดับสามไป ฮ่องเต้กลับแต่งตั้งคุณชายสามสกุลสวี ถึงแม้ว่าจะเป็นตำแหน่งเล็ก ขุนนางระดับเจ็ด แต่มันก็เป็นตำแหน่งขุนนาง
ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ในความเห็นของฮ่องเต้
ทันใดนั้น ก็มีรถม้าเคลื่อนมาจอดจนเต็มหน้าประตูจวนสกุลหลัว คนหลั่งไหลมาแสดงความยินดีอย่างไม่ขาดสาย
ฮูหยินสามกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนเป็นครั้งแรก สีหน้าของนางดูสดชื่นมีชีวิตชีวา สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีแดง สั่งให้สาวใช้และท่านป้าชงชาต้มน้ำ ยกสุราทำอาหารทุกวัน ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก มีหน้ามีตาอย่างที่สุด แล้วยังหาเวลาไปหาไท่ฮูหยิน “คุณชายสามเป็นคนฉลาดเจ้าค่ะ แต่เรื่องชีวิตประจำวันกลับไม่ค่อยรู้เรื่อง ออกไปไกลขนาดนั้น ข้าจะไม่เป็นห่วงได้เช่นไร”
ไท่ฮูหยินพูด “เรือนของเขายังมีอี้อี๋เหนียงไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ให้นางไปด้วย”
ฮูหยินสามแอบกังวลในใจ แต่กลับไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “นางคนนั้นก็ไม่รู้เรื่องเจ้าคะ เมื่อก่อนในหนึ่งเดือนรับใช้ท่านพี่ไม่ถึงสามวัน”
“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ” ไท่ฮูหยินพยักหน้า นางทำสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเป็นภรรยาของเขา เรื่องพวกนี้เจ้าก็เป็นคนจัดการเองเถิด”
“คุณชายสามโตมากับท่าน นิสัยของเขาท่านรู้ดีที่สุด” ฮูหยินสามยิ้ม “เดิมทีอยากจะหาคนมารับใช้เขาเพิ่ม แต่เขาตาสูง คนนี้ คนนั้นก็ไม่พอใจ เรื่องนี้ถึงได้ล่าช้าเช่นนี้ ตอนนี้ต้องออกไปแล้ว ยิ่งเลือกคนที่เหมาะสมไม่ได้” จากนั้นก็หน้าแดง “ข้ายังเป็นห่วง คิดๆ ดูแล้ว คิดว่าตัวเองควรไปกับเขา แต่ก็กลัวว่าจะไม่มีใครรับใช้ท่าน…” พูดจบก็แอบเหลือบมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว จึงพยักหน้า “ข้าไม่ได้อายุเจ็ดสิบแปดสิบเดินไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ต้องการให้เจ้ามาคอยรับใช้ดูแล แต่หากเจ้าไปแล้วก็จะไม่มีใครดูแลจวน…”
ที่พวกนางสองคนพูดมากันตั้งเยอะแยะ ก็แค่อยากให้พูดถึงเรื่องนี้
ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ หากพูดถึงคนดูแลจวน จวนของเราก็มีคนฉลาดอยู่คนหนึ่งแล้วเจ้าค่ะ”
“หา?” ไท่ฮูหยินเลิกคิ้ว
“น้องสะใภ้สี่ไงเล่าเจ้าคะ!” ฮูหยินสามปิดปากหัวเราะ “นางอ่านหนังสือก็ออก ช่วงนี้คอยช่วยข้าดูแลจวน เพียงแค่แนะนำเล็กน้อยก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ข้าเห็นว่านางเป็นคนมีความสามารถ เหตุใดท่านถึงไม่ให้นางลองดูล่ะเจ้าคะ”
“นางหรือ?” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ยังอายุไม่ถึงสิบห้าเลย…”
นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
ฮูหยินสามรีบพูดว่า “ความสามารถไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเจ้าค่ะ กานหลัวยังได้เป็นสมุหนายกตั้งแต่อายุเพียงสิบสองปี แล้วอีกอย่าง อีกไม่กี่เดือนนางก็สิบห้าแล้ว…” นางพยายามพูดจาหว่านล้อม
ไท่ฮูหยินลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็เห็นด้วย “เช่นนั้นตอนนี้ก็ให้นางลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็แปลกใจ กลัวว่าไท่ฮูหยินจะเปลี่ยนใจจึงบอกให้ชิวหลิงไปเชิญสืออีเหนียงมา “…ข้าไม่ได้พูดเกินจริง ท่านลองถามประเดี๋ยวก็รู้เจ้าค่ะ”
หลังจากที่สืออีเหนียงมาแล้ว ไท่ฮูหยินจึงเอ่ยถามนาง แน่นอนว่าสืออีเหนียงต้องปฏิเสธ แต่ฮูหยินก็พยายามรับรอง ทุกคนปฏิเสธกันไปๆ มาๆ สืออีเหนียงจึงฝืนรับป้ายคู่และกุญแจมาอย่างไม่เต็มใจ “…พี่สะใภ้สามจะออกเดินทางเมื่อไรหรือ ช่วงนี้ต้องคอยชี้แนะข้าสักหน่อยนะเจ้าคะ”
ฮูหยินสามราวกับยกก้อนหินออกจากอก พูดด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องเป็นห่วง ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางข้าจะต้องมอบหน้าที่นี้ให้เจ้าอย่างเหมาะสม ไม่มีทางปล่อยให้เจ้ากระวนกระวายไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแน่นอน” จากนั้นก็จับมือสืออีเหนียงแล้วขอตัวลาไท่ฮูหยิน ตรงไปยังโถงบุปผาของส่วนรายงาน
ท่านป้าผู้ดูแลที่จวนต่างเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว แต่พวกนางแค่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่าฮูหยินสามไม่ได้จากไปอย่างเศร้าโศก แต่กลับยอมปล่อยวาง พวกนางก็เก็บความดูถูกนางไว้ในใจ ใบหน้ายิ้มแย้ม พากันส่งนางด้วยความยินดี บรรยากาศครึกครื้นกลมเกลียวกัน
หู่พั่วและจู๋เซียงก็มาด้วย หู่พั่วช่วยดูแลบุคลากร ส่วนจู๋เซียงช่วยดูแลเรื่องเงินและข้าวของ พวกนางสองคนตรวจสอบบัญชีกับบรรดาท่านป้า สืออีเหนียงและฮูหยินสามนั่งฟังรายงานอยู่ในห้องข้างใน ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานฮูหยินสาม “คุณนายใหญ่สกุลซ่งมาเจ้าค่ะ”
ชิวหลิงวางสิ่งของที่อยู่ในมือลงแล้วบอกให้สาวใช้ไปต้อนรับที่เรือนหลักของฮูหยินสาม
ฮูหยินอธิบายให้สืออีเหนียงฟัง “น้องหญิงบุตรสาวอนุของข้าเอง คิดว่าน่าจะรู้ว่าพี่เขยได้รับตำแหน่ง จึงมาแสดงความยินดี” แต่นางไม่ไปต้อนรับ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า
ผ่านไปไม่นานก็มีคนมารายงานว่ามีใครมาบ้าง
ฮูหยินสามให้สาวใช้ไปดูบ้าง ให้ป้ากานไปชงชาบ้าง ตัวเองไปต้อนรับเองบ้าง ถึงยามที่ต้องจุดตะเกียงแล้วแต่ก็ยังตรวจบัญชีรายวันไปได้แค่ครึ่งเดียว ฮูหยินสามจึงบอกให้คนไปตรวจดูลานข้างนอก คนกลับมารายงานว่าสวีลิ่งหนิงและสวีลิ่งอี๋ยังดื่มสุราอยู่ลานนอก พวกนางสองคนจึงทานข้าวเย็นอย่างง่ายๆ แล้วตรวจบัญชีรายวันต่อ จนถึงยามไฮ่ถึงตรวจสอบเสร็จ
พวกนางนัดกันจัดการบัญชีคลังเก็บของพรุ่งนี้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ต้องตรวจบัญชีแล้วยังต้องตรวจสิ่งของ จากนั้นก็ทานอะไรตอนกลางคืนแล้วแยกย้ายกันไป
ในเมื่อพวกเขาจะย้ายออกไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งลูกๆ ไว้ที่นี่
ฮูหยินสามกลับไปถึงเรือนก็บอกให้สามีคิดหาวิธี
สวีลิ่งหนิงดื่มสุราไปไม่น้อย เขาจับมือฮูหยินสาม “เจ้าไปกับข้าก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา!”
ฮูหยินสามหน้าแดง พูดบ่นคุณชายสาม จากนั้นก็สะบัดมือออกแล้วเรียกบ่าวรับใช้เข้ามา “ไปเรียกคุณชายน้อยสองคนมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเขา”
บ่าวรับใช้รีบวิ่งออกไป
คุณชายสามกอดฮูหยินสามจากด้านหลัง “ไปกันเถิด เรากลับเข้าไปข้างในกัน”
ลมหายใจที่ร้อนผ่าวรินรดอยู่ที่คอ ฮูหยินสามตัวอ่อนลง
คุณชายสามหัวเราะอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็อุ้มฮูหยินสามเข้าไปข้างใน…ผ่านไปครึ่งชั่วยามก็เรียกสาวใช้ให้ตักน้ำเข้ามารับใช้
“คุณชายน้อยมาแล้วหรือยัง”
ฮูหยินสามหน้าแดงราวกับปัดแก้ม
สาวใช้ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ยังเลยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามตกใจ จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปหาอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง สาวใช้ก็กลับมารายงาน “บอกว่าคุณชายน้อยไม่อยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ หาทุกที่แล้วก็หาไม่เจอ”
ฮูหยินสามตกใจจนเหงื่อตก “ไปหาอีกครั้ง ส่งคนไปหาอีกสองสามคน”
ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่า สองสามวันมานี้สวีซื่อฉินไม่ได้มาคารวะนาง
ใบหน้าที่แดงก่ำก็พลันซีดเซียวลงทันที