ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 253 ยุ่งยาก(ต้น)
แสงยามเย็นสาดส่องลงมาบนม่านเตียง อบอุ่นและเงียบสงบ มีเสียงเคาะกลองเบาๆ เป็นจังหวะดังมาจากระยะไกล ทำให้บรรยากาศเงียบสงบมากขึ้น
สวีลิ่งอี๋เอียงหูฟังการเคลื่อนไหว
มีแค่เสียงหายใจเบาๆ แต่กลับไม่มีเสียงพลิกหน้าหนังสือ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาลืมตาขึ้น ก็เห็นสืออีเหนียงกำลังมองหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจวอย่างเหม่อลอย
ถูกคนจากสกุลเดิมของตัวเองทำร้าย ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ใจกว้างมากแค่ไหน เกรงว่าก็คงจะรู้สึกเสียใจ แล้วอีกอย่างสืออีเหนียงยังเด็ก นางไม่เคยเจอเรื่องอะไร…
เขาพลิกตัวเบาๆ
หรือว่าต้องพูดปลอบประโลมนาง?
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร หากตัวเองพูดแทงใจนาง สืออีเหนียงจะรู้สึกเสียหน้าหรือรู้สึกลำบากใจหรือไม่
เขาครุ่นคิดแล้วตัดสินใจที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง
เรื่องบ้างเรื่อง ต้องไตร่ตรองเอง คนอื่นบอก อาจจะฟังไม่เข้าใจ อย่างมากตนก็ต้องคอยดูนาง คอยตักเตือนนาง
เมื่อตัดสินใจแล้วจิตใจก็สงบลง พลันรู้สึกง่วงงุนขึ้นมา ไม่นานก็ผล็อยหลับไปแต่กลับถูกปลุกตื่น ได้ยินเสียงตีกลองดังแว่วอยู่ พอกวาดสายตาดูรอบๆ ก็เห็นสืออีเหนียงที่นอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา ผ้าห่มเลื่อนลงมาอยู่ตรงเอว ช่วงไหล่ออกมาอยู่ข้างนอกผ้าห่ม
อากาศหนาวขนาดนี้!
สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นมาห่มผ้าให้นาง
ภายใต้แสงไฟ สืออีเหนียงขมวดคิ้วเบาๆ มีหยดน้ำตาพราวอยู่บนขนตางอน ราวกับน้ำค้างบนต้นดอกไห่ถัง เต็มไปด้วยเสน่ห์
สวีลิ่งอี๋หยุดชะงัก จ้องมองนางอยู่นาน จับมือที่ขาวและเรียวยาวแต่เยือกเย็นราวกับน้ำค้างที่วางอยู่บนผ้าสีแดงเบาๆ เอนตัวลงไปกระซิบข้างหู “เงียบ”
สืออีเหนียงจิตใจสับสน มือถือหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจวแต่กลับไม่อยากอ่าน แต่ก็ไม่อยากวางมันลง ทำเพียงแค่ถือไว้เฉยๆ ในมือ เพราะอย่างน้อยก็ดูมีอะไรทำ แต่หากวางมันลงก็ยิ่งไม่มีอะไรทำ
กำลังเหม่อลอยก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างเงียบๆ สายตาของนางค่อยๆ พร่ามัว
นางไม่อยากให้สวีลิ่งอี๋สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของตัวเอง จึงพลิกตัวหันหลังให้เขาแล้วหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลลงบนหมอน…รู้สึกเวียนหัวและสับสนไปหมด
ทันใดนั้นก็มีคนกระซิบข้างหูนางว่า “เงียบ”
นางตกใจแล้วลุกขึ้นนั่งทันที
“ใครกัน”
จับเสื้อผ้าที่หน้าอกของตัวเอง มองไปทางต้นเสียงด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องว่า “โอ๊ย” สวีลิ่งอี๋จับคางแล้วเบิกตากว้างมองไปที่นาง
สืออีเหนียงตกใจ
จากนั้นก็ได้สติกลับมา
“ท่านโหว…ท่าน ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ” ยื่นมือออกไปจับคางของเขาเบาๆ จากนั้นก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเขาถูกกระแทกตรงนั้น ตัวเองไปจับมันคงเจ็บมากกว่าเดิมจึงดึงมือกลับมา “ข้าไม่รู้ว่าท่าน…”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางกระโดดขึ้นมาราวกับสัตว์ตัวน้อยที่หวาดกลัว สีหน้าหวาดหวั่นมองไปรอบๆ…เห็นว่าเป็นตัวเอง นางก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ฝืนยิ้มแล้วถามตนเป็นอะไรหรือไม่
เหตุใดจู่ๆ ถึงหวาดกลัวเล่า
สายตาของสวีลิ่งอี๋เฉียบแหลม พลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนบ่าย…
และสืออีเหนียงถึงรู้สึกถึงความเย็นที่ปลายนิ้วของตัวเอง
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาไม่ค่อยพอใจ นางก็รู้สึกไม่สบายใจ
เจตนาดีห่มผ้าให้แต่กลับถูกกระแทงคาง เป็นใครก็คงโมโหกระมัง
นางยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ท่านโหว…” จากนั้นก็ชี้ไปที่คางของเขา “ท่าน ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นอะไร” สวีลิ่งอี๋นอนลง “รีบนอนเถิด”
เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ใครจะนอนหลับลง โดยเฉพาะสืออีเหนียง นางตัวหนาวเย็น แต่สวีลิ่งอี๋กลับแผ่ความร้อนออกมาราวกับเตาเผา นางอดไม่ได้ที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้เขา
ตัวที่หนาวเย็นค่อยๆ ขยับเข้ามา นอกจากสืออีเหนียงแล้วยังจะมีใครอีก
ความไม่พอใจเมื่อครู่ก็หายวับไปทันที
สวีลิ่งอี๋นึกถึงความหวาดกลัวตอนที่นางตื่นขึ้นมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้านาง
สืออีเหนียงตื่นแล้ว อย่างน้อยตอนนี้นางก็รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
เห็นสวีลิ่งอี๋มองมาที่ตัวเอง นึกถึงพฤติกรรมเมื่อครู่ของตัวเอง นางจึงยิ้มให้เขาอย่างรู้สึกผิด
ตอนนี้ผมของสืออีเหนียงยุ่งเหยิง ตาแดงบวมช้ำแต่สีหน้ากลับอ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ ไม่มีความตกใจและหวาดกลัวเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
สวีลิ่งอี๋จิตใจสั่นไหว เขาปัดผมที่อยู่ตรงแก้มของนางเบาๆ “เมื่อครู่ทำไมถึงกลัวเล่า”
ท่าทีของเขาอ่อนโยน มีกลิ่นอายของความรักและเอ็นดู แต่มันกลับทำให้สืออีเหนียงพูดไม่ออก
นางคงจะบอกว่าตัวเองถูกคนจับได้หรือไม่
นางจึงก้มหน้าลง “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ แค่จู่ๆ ท่านก็พูดเช่นนั้น ข้าเลยตกใจ”
ทำท่าทีเหมือนไม่อยากพูดเรื่องนี้
แล้วทำไมถึงต้องสั่นกลัว
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “อี๋เหนียงห้าสบายดีหรือไม่”
สืออีเหนียงตกใจ
เหตุใดจู่ๆ ก็พูดถึงอี๋เหนียงห้า
“สบายดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบ “ท้วมขึ้นไม่น้อย สีหน้าก็ดูดี เย็บปักถักร้อยให้เด็กในท้องที่เรือนทุกวัน” แล้วก็คิดว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่ไม่มีเรื่องอะไรแล้วหาเรื่องคุย นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านโหวมีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
ดูเหมือนว่าตัวเองจะเดาผิดแล้ว
“อ้อ ไม่มีอะไร” สวีลิ่งอี๋พูดส่งๆ “ก็แค่นึกขึ้นมาได้จึงถาม” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “ข้าคิดว่าเจ้าพักผ่อนที่เรือนสักห้าหกวันเถิด หากมีคนถามก็บอกว่าเป็นหวัด โรคนี้จะแพร่เชื้อติดคนอื่น”
เขาเปลี่ยนเรื่องเร็วเกินไป ผ่านไปครู่หนึ่งสืออีเหนียงถึงได้เข้าใจความหมายของเขา
ก็ดีเหมือนกัน บอกว่าตัวเองเป็นหวัดแล้วเอาไปติดตงชิง เหตุผลเช่นนี้ ถึงแม้ว่าป้าเถาอยากจะพูดอะไร ก็จะได้รับมือได้ แล้วอีกอย่าง ส่งนางออกไปให้เร็วที่สุดตนจะได้สบายใจ อยู่ที่เรือนของตนเช่นนี้นั้นไม่สบายใจราวกับมีหนามมาทิ่มแทง แล้วยังสามารถขจัดความเคลือบแคลงใจที่มีต่อตัวเองได้ เฉียวเหลียนฝังพึ่งจะตั้งครรภ์ตัวเองก็ไม่สบายเช่นนี้ คนที่เจตนาไม่ดีก็จะได้ไม่คิดมาก
นางครุ่นคิดแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ “ข้าอยากเอาสมุดทาสของตงชิงคืนให้นางแล้วส่งนางกลับไปอวี๋หัง”
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
เขาคิดว่าสืออีเหนียงจะให้สกุลหลัวเป็นคนจัดการตงชิง เช่นนี้เพื่อให้มีคำอธิบายให้สกุลสวี สกุลหลัวต้องลงโทษตงชิงอย่างแรง ถึงตอนนั้นตงชิงไม่ตายก็ต้องทรมาน จุดจบไม่ต้องคิดก็รู้ ในขณะเดียวกันก็สามารถเตือนบรรดาผู้ติดตามของนายหญิงใหญ่และสืออีเหนียง แล้วยังสามาถแก้ตัวให้ตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้
คิดดูแล้ว สืออีเหนียงยังใจอ่อนเกินไป
แต่ว่า คิดว่านี่คือความต้องการของสืออีเหนียง เขาก็เห็นด้วย “เจ้ากำหนดวันแล้วบอกพ่อบ้านไป๋ก็ได้ เขาจะจัดการส่งนางกลับไปตามที่เจ้าบอก”
นี่คือความเข้าใจผิด
สืออีเหนียงคิดว่า ในเมื่อตงชิงไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ห้าปีของพวกนาง เช่นนั้นนางก็จะคิดว่าไม่เคยมีห้าปีนั้น ส่งนางกลับไปอยู่กับครอบครัวของนางอย่างปลอดภัย ต่อไปนางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองอีกต่อไป!
แต่ตอนนี้นางเป็นห่วงฝั่งไท่ฮูหยิน “ทำให้ท่านแม่เป็นห่วงเช่นนี้ไม่ค่อยดี...” นางไม่สบายใจ
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋พูด “มีข้าอยู่”
แต่ในใจกลับนึกถึงรอยยิ้มที่ตกใจของท่านแม่ตอนที่ตัวเองบอกว่าสืออีเหนียงไม่สบาย…
ท่านแม่คงจะเดาออกว่าสืออีเหนียงไม่ได้ป่วยจริงๆ บางทีอาจจะคิดว่าการป่วยของสืออีเหนียงเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ของเฉียวเหลียนฝัง ไม่เช่นนั้น นางไม่มีทางบอกให้ป้าตู้ไปบอกตานหยางที่กำลังจะคลอดว่าสืออีเหนียงไม่สบาย แล้วยังพาลูกสะใภ้สองคนมาเยี่ยมนาง ทำท่าให้กำลังใจและสนับสนุนสืออีเหนียง
คิดได้เช่นนี้ เขาก็แอบหัวเราะ
แต่กลับไม่รู้ว่าสืออีเหนียงไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น ที่นางเสียใจก็เพราะว่าเรื่องของผู้ติดตามจากสกุลเดิมทั้งนั้น
สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียงแน่น
ถึงแม้ว่าจะเป็นแม่ลูก แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับภรรยาของตัวเอง เรื่องที่ควรจะปิดบังก็ควรปิดบัง
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ท่านแม่ชอบเจ้าจะตาย!” เขาหัวเราะเบาๆ “หากเจ้ารู้สึกไม่สบายใจ หายป่วยแล้ว ก็ไปคารวะนางด้วยท่าทีสดใส ต่อไปกตัญญูต่อนางก็พอแล้ว”
อ้อมกอดของสวีลิ่งอี๋ช่างอบอุ่น ขจัดความหนาวเย็นของตัวนางออกไปทีละเล็กทีละน้อย
“เช่นนั้น ข้าป่วยวันเดียวดีหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงพึมพำ “ประเดี๋ยวฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ก็จะมาที่จวนแล้ว แล้วท่านยังบอกว่าจะเปลี่ยนคนในเรือนของข้า แล้วยังมีเรื่องของสือเหนียง อีกทั้งก็ใกล้จะจัดงานศพแล้ว ถึงแม้ว่าศาลว่าการยังไม่ตัดสินคดี แต่ก็ต้องให้คนสกุลหวังนำศพกลับไปประกอบพิธี…มีเรื่องอีกตั้งมากมาย!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด” เขาก้มหน้าลงจูบหน้าผากนาง รู้สึกว่าคนที่อยู่ในอ้อมกอดอ่อนนุ่มราวกับต้นหลิวในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้คนรักใคร่และเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะล้วงเข้าไปสัมผัสส่วนโค้งที่งดงามภายใต้เสื้อผ้าของนาง แล้วยังกัดใบหูเย้าหยอกนาง “ทำให้ตาหายบวม”
บรรยากาศค่อนข้างคลุมเครือ
สืออีเหนียงหน้าแดงขึ้นมาทันที
รู้สึกว่ามือที่อยู่บนตัวของนางร้อนราวกับไฟ
นางหลับตาลงราวกับกำลังหลบหนี
“ข้า…ข้าไม่สบาย…”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ก้มหน้าไปเห็นใบหน้าสีขาวราวกับหิมะที่แดงก่ำของนาง ขนตายาวราวกับปีกผีเสื้อที่สั่นไหวเบาๆ ท่าทีหวาดกลัวและเขินอาย
เขาห้ามใจตัวเองไม่อยู่ แต่ก็กลัวทำให้นางตกใจ
“อ๋อ ไม่สบายหรือ ไม่สบายตรงไหน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ข้าขอดูหน่อย” จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนมือลงไป…
สืออีเหนียงตกใจ “ท่านโหว…” นางดึงผ้าห่มขึ้นมา
แต่กลับไม่ดิ้นรั้นและไม่ขัดขืน แค่ดูกระวนกระวาย เขินอาย ไม่สบายใจ
สายตาของสวีลิ่งอี๋ก็พลันร้อนผ่าวขึ้นราวกับไฟทันที
“เงียบหน่อย!” น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความพอใจที่ตัวเองก็ยังไม่สังเกต…
*****
เช้าวันต่อมา เหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงก็มา
สวีลิ่งอี๋ออกไปลานข้างนอกแล้ว สืออีเหนียงนอนอยู่บนเตียง นางหน้าแดงราวกับมีไข้
พวกนางสองคนเห็นเช่นนี้ก็ขยันขันแข็งขึ้นมา ทั้งยกชาทั้งยกน้ำ
สืออีเหนียงรับมือไปอย่างไม่มีชีวิตชีวาสองสามประโยค กำลังจะบอกให้พวกนางออกไป เจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและสวีซื่อเจี้ยก็มาเยี่ยมนาง
เพราะบอกคนอื่นว่าเป็นหวัด พวกเด็กๆ จึงแค่ถามไถ่อยู่ไกลๆ สองสามประโยค
เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอไม่ค่อยเท่าไร แต่สวีซื่อเจี้ยกลับน้ำตาคลอเบ้า มองนางแล้วเรียกนางว่า “ท่านแม่”
จุนเกอเดินเข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมเขา “ท่านแม่ไม่สบาย เจ้าอย่าส่งเสียงดัง นางจะยิ่งไม่สบายกว่าเดิม!”
สวีซื่อเจี้ยกลั้นน้ำตาไว้แล้วพยักหน้า
สืออีเหนียงรู้สึกผิด บอกให้หู่พั่วไปเอาลูกกวาดมาให้พวกเด็กๆ สวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนก็มาแล้ว สืออีเหนียงก็ต้องพูดกับพวกเขาสองสามประโยค จากนั้นก็มีเหล่าสะใภ้และท่านป้าที่มีหน้ามีตามาเยี่ยมนาง เช้าวันนี้กลายเป็นวันที่แสนวุ่นวาย สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันเหนื่อยกว่าป่วยจริงๆ เสียอีก
หู่พั่วเห็นว่ามันผิดปกติ ห้ามคนที่มาเยี่ยมไว้นอกประตูทั้งหมด สืออีเหนียงจึงทานอาหารกลางวันได้อย่างสบายใจ
นางกำลังจะงีบหลับ คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็มาพอดี
สืออีเหนียงหันไปมองหน้าหู่พั่ว
“ข่าวแพร่กระจายเร็วมาก!”
รีบบอกให้ลี่ว์อวิ๋นเชิญคุณนายใหญ่สกุลหลัวเข้ามา
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเข้ามาเห็นสืออีเหนียงนอนอยู่บนเตียงกลางวันแสกๆ เช่นนี้ นางก็ตกใจ “เจ้าเป็นอะไรไป”
ดูเหมือนนางจะเข้าใจผิด
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วถามนางว่า “พี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวถอนหายใจ “เมื่อวานยามเที่ยงสกุลหวังนำศพของท่านเขยสิบกลับไปแล้ว นับวันแล้วบอกว่าอีกห้าวันจะจัดงานศพ”
สืออีเหนียงรีบพูดว่า “เช่นนั้นคดีนี้ตัดสินอย่างไรเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น “บ่าวรับใช้ของสกุลเริ่นคนนั้นถูกตัดสินประหารหลังฤดูใบไม้ร่วง”
เช่นนั้นก็หมายความว่า ความพยายามของเจียงฮูหยินไร้ประโยชน์
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คิดไว้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินผลลัพธ์ สืออีเหนียงก็เงียบไปครู่หนึ่ง