ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 251 วุ่นว่าย(กลาง)
สวีลิ่งอี๋เข้ามาตอนไหน ไม่มีใครสังเกตเห็น
แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาได้ยินอะไรบ้าง ได้ยินมากแค่ไหน
ทุกคนพลันไม่สบายใจ บรรยากาศในห้องหยุดชะงัก
ตงชิงยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม นางกระโดดขึ้นมาราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง ตะโกนกระอึกกระอักว่า “ท่านโหว”
หู่พั่วและปินจวี๋รีบยั้งมือ จากนั้นก็ย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าที่กระวนกระวาย
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้สังเกตเห็น สายตาของเขามองไปที่สืออีเหนียง
นางนั่งอยู่บนเตียงเตา สีหน้าซีดเซียว ดวงตาและจมูกแดง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา
เขาเป็นห่วง
ในห้องของตัวเอง สืออีเหนียงมักจะยิ้มเดินมาต้อนรับเขาเสมอ นางไม่เคยมีท่าทีเศร้าเสียใจเช่นนี้มาก่อน!
สวีลิ่งอี๋มองไปที่สาวใช้สองสามคน
ตงชิงยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าฝั่งซ้ายแดง เห็นได้ชัดว่านางถูกตบอย่างแรง จากนั้นก็มองไปที่หู่พั่ว นางสายตาเป็นประกาย ปินจวี๋ ใบหน้าฝั่งขวาแดงเหมือนตงชิง นึกถึงภาพเมื่อครู่ หู่พั่วกำลังห้ามปินจวี๋เอาไว้
สืออีเหนียงเมตตาทุกคนมาตลอด แล้วนางก็อ่อนแอ จะมีแรงตบแรงขนาดนี้ได้เช่นไร เห็นได้ชัดว่าสาวใช้สองสามคนนี้กำลังทะเลาะกันต่อหน้านาง
ไม่แปลกที่สาวใช้สองคนที่เฝ้าประตูเห็นเขาแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนไป ดูกระวนกระวาย
แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของสืออีเหนียง ตนยื่นมือเข้าไปยุ่งไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะคิดเช่นนี้ แต่สวีลิ่งอี๋ก็ยังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
สาวใช้สองสามคนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกผิด
พฤติกรรมเมื่อครู่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ไม่แปลกที่ท่านโหวไม่พอใจ
สืออีเหนียงลุกขึ้นยืนกอบกู้สถานการณ์ “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ข้าเรียกชุนมั่วกับซย่าอีมารับใช้ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าดีกว่า” จากนั้นก็บอกพวกหู่พั่ว “พวกเจ้าออกไปเถิด”
นางพูดเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็ทำได้แค่พยักหน้าแสร้งทำทีว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น “เรียกชุนมั่วเข้ามาเถิด” จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ให้เวลาสืออีเหนียงได้จัดการเรื่องที่ยังจัดการไม่เสร็จ
หู่พั่วและปินจวี๋เห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ซักถามอะไร พวกนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ย่อเข่าคำนับแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
แต่ตงชิงกลับพึ่งได้สติกลับมา
หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพื่อชื่อเสียงของตัวเอง ฮูหยินอาจจะยอมให้นางไปเป็นสาวใช้ห้องข้างของสวีลิ่งอี๋ แต่หากเป็นเช่นนั้น…
นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรง
แก้มซ้ายที่ถูกปินจวี๋ตบก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะหันหลังกลับได้อีกหรือ
นางส่ายหน้าเบาๆ
คนแรกที่จะไม่ปล่อยตัวเองไป เกรงว่าคงจะเป็นปินจวี๋
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางตะโกนเรียกสวีลิ่งอี๋ที่กำลังหันหลังอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่า “ท่านโหวเจ้าคะ” น้ำเสียงรวดเร็วและตรงไปตรงมาราวกับเทเม็ดถั่วออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ ทำให้ผู้คนไม่ทันได้ตั้งตัว “ล้วนแต่เป็นความผิดของบ่าวเจ้าค่ะ เฉียวอี๋เหนียงตั้งครรภ์ เรือนของท่านโหวว่างเปล่า นายหญิงใหญ่ที่ตรอกกงเสียนจึงอยากจะให้สาวใช้ที่หน้าตาดีของตัวเองมาคอยรับใช้ท่านโหว บ่าวได้ยินมา จึงมาบอกฮูหยินเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ
สืออีเหนียงเคยเล่าเรื่องที่นายหญิงใหญ่อยากให้เขานั้นรับสาวใช้ห้องข้างให้ตนฟังแล้ว ตอนนั้นเขาก็เดาออกอยู่แล้วว่านายหญิงใหญ่ต้องลงมือทำบางอย่างแน่นอน
แต่ว่า ในฐานะสาวใช้คนสนิทของสืออีเหนียงอย่างตงชิง จู่ๆ กลับให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หรือว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอะไรที่ตนไม่รู้? หรือว่า สืออีเหนียงร้องไห้เพราะเรื่องนี้?
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร หากมีเรื่องใด สืออีเหนียงก็คงจะพูดบอกกับเขาด้วยตัวของนางเอง
เขาเดินผ่านนางไปหาสาวใช้อีกคน…พลางส่ายหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตนพูดขนาดนี้แล้ว ตงชิงก็ยังไม่ยอมแพ้…จะพูดอะไรอีก ทำสิ่งใดอีก มันก็คงไม่มีความหมายอะไรแล้ว
ตอนนี้นางแค่หวังว่าตงชิงจะไม่พูดจาโผงผางเช่นนี้ ไว้หน้าคนที่มาจากสกุลหลัวอย่างนาง หู่พั่วและปินจวี๋บ้าง
“เอาล่ะ ตงชิง” นางพูดขัดจังหวะตงชิงเบาๆ “เรื่องนี้ข้าจะปรึกษากับท่านโหวเอง พวกเจ้าออกไปพักผ่อนเถิด!”
เจตนาอยากจะห้ามปรามอย่างชัดเจน
นางยังพูดไม่ทันจบดี หู่พั่วก็วิ่งปรี่เข้ามา
นางก่นด่าตัวเองที่ก่อนหน้านั้นยืนสับสน ตอนนี้จะปล่อยให้ตงชิงพูดเหลวไหลได้เช่นไร จากนั้นก็เดินเข้าไปจับแขนซ้ายของตงชิง “พี่ตงชิง ท่านโหวอยู่ที่นี่ เราออกไปก่อนดีกว่า ปล่อยให้ฮูหยินและท่านโหวพูดคุยกันเองเถิด!” นางพูดพร้อมกับจับแขนตงชิงแน่น ขยิบตาให้ปินจวี๋ บอกให้นางเข้ามาช่วย
ตงชิงอดไม่ได้ที่จะดิ้นขัดขืน “ท่านโหวเจ้าคะ ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็เสียใจเป็นอย่างมาก คิดว่าถึงแม้ว่าจะรับสาวใช้ห้องข้างให้ท่านโหว ก็ควรจะเลือกจากบรรดาสาวใช้ของตัวเอง…”
ปินจวี๋และตงชิงมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมาตั้งห้าปี นางไม่เคยคิดที่จะใช้ความรุนแรง แต่เมื่อได้ยินตงชิงยิ่งพูดยิ่งไม่รู้ความ เมื่อหู่พั่วขยิบตาให้นาง นางก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าแขนอีกข้างของตงชิงอย่างไม่ลังเล
สวีลิ่งอี๋ที่เข้าไปในห้องน้ำแล้วได้ยินเสียงข้างนอก ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เหมือนว่าสืออีเหนียงเคยบอกเขาว่า สาวใช้ที่ติดตามนางมาไม่ได้รับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจเลยจำไม่ได้แล้ว
ตอนนี้มาคิดดู ในเมื่อไม่ได้รับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก เช่นนั้นก็แสดงว่าเป็นคนที่นายหญิงใหญ่มอบให้ตอนแต่งงาน
ไม่แปลกที่กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันหลังออกไปจากห้องน้ำ
“สืออีเหนียง” เขายืนมองสืออีเหนียงจากไกลๆ อยู่หน้าประตูห้องน้ำ สีหน้านิ่งสงบแต่ดูเย็นชา “สาวใช้ไม่เชื่อฟัง ไล่ออกไปก็ได้”
จู่ๆ ก็ออกมาเช่นนี้ แล้วยังพูดกะทันหันเช่นนี้ ทุกคนในห้องล้วนตกใจ
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงไม่เข้าใจความหมายของตัวเอง เขาก็มองไปที่ตงชิง “หากสาวใช้ไม่เชื่อฟังก็ไล่ออกไป ไม่จำเป็นต้องโมโห”
สืออีเหนียงถึงได้เข้าใจขึ้นมา
นางรู้สึกอุ่นใจ
“ขอบคุณท่านโหวเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา “ข้าจะจัดการอย่างเหมาะสม”
นางเข้าใจแล้ว ตงชิง หู่พั่วและปินจวี๋ก็เข้าใจแล้วหมือนกัน
ตงชิงหน้าซีดลงทันที
“ไล่ออกไป…”นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋อย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วพูดเบาๆ “ไล่ออกไป…”
หู่พั่วและปินจวี๋โล่งใจ พวกนางสองคนหันหน้ามามองกัน
ท่านโหวพูดเช่นนี้ ฮูหยินจะจัดการตงชิงเช่นไรก็ได้
*****
เมื่อสวีลิ่งอี๋ออกมาจากห้องน้ำ ในห้องก็กลับมาเงียบสงบเหมือนเดิมแล้ว
สืออีเหนียงนั่งไขว้ขาอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง กำลังมองดูกิ่งไม้ข้างนอกอย่างเหม่อลอย
ได้ยินเสียง นางก็หันหน้ามายิ้มอย่างแผ่วเบา
“กำลังมองอะไรอยู่” สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปนั่งข้างนางแล้วมองออกไปตามทิศทางที่นางมอง
นอกหน้าต่างคือต้นดอกไห่ถัง
“กำลังมองกิ่งไม้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวล “อีกสองวันก็น่าจะออกดอกแล้วกระมัง”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด “ฤดูใบไม้ผลิของเยี่ยนจิงมักจะมาช้า คงจะต้องรอให้ถึงปลายเดือนสองก่อน”
“อ้อ!” สืออีเหนียงพยักหน้า
ในห้องพลันเงียบสงัดอีกครั้ง
พวกเขาสองคนนั่งเงียบๆ เช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง
อารมณ์ของสืออีเหนียงก็ค่อยๆ สงบลง
“ท่านโหวเจ้าคะ” นางพูดเบาๆ “ตงชิงไม่อยากแต่งงานกับว่านต้าเสี่ยน ดังนั้นนางจึงวุ่นวายเช่นนั้น ข้าคิดว่า แตงที่แข็งกระด้างนั้นไม่หอมหวาน ไม่สู้หาข้ออ้างยกเลิกงานแต่งครั้งนี้ไปเสียดีกว่า”
หากเพราะว่าแค่ไม่อยากแต่งงานกับว่านต้าเสี่ยน แล้วเหตุใดตงชิงต้องพูดถึงเขา แล้วเหตุใดหู่พั่วและปินจวี๋ต้องห้ามปรามนางเช่นนั้น…
สืออีเหนียงคงจะลำบากใจมากกระมัง
เขานึกถึงนางที่ร้องไห้จนตาและจมูกแดงขนาดนั้น จึงลูบหัวนางเบาๆ
“หลังจากวันที่สองของเดือนสองผ่านไปแล้ว ต้องเปลี่ยนผู้ดูแลส่วนใหญ่ในลานข้างนอก สาวใช้และท่านป้าในลานข้างในก็เปลี่ยนเสียเถิด!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “สองสามวันนี้เจ้าเขียนรายการมา ถึงตอนนั้นข้าจะให้พ่อบ้านไป๋ไปหาคนมาให้เจ้า หากมีสาวใช้และท่านป้าคนใดที่เจ้าพอใจ เจ้าก็ไปบอกพ่อบ้านไป๋”
“ท่านโหว…”
สืออีเหนียงตกใจ
เขาทำเช่นนี้ เท่ากับว่าให้สิทธิ์นางในการดูแลจัดการผู้คน
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อพี่สามออกไปตอนตอนฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็ต้องเป็นคนดูแลจวนแล้ว เจ้าก็ต้องเป็นคนออกคำสั่ง เปลี่ยนแปลงคำสั่งบ่อยๆ ไม่ดี ออกคำสั่งไม่เป็นยิ่งไม่ดี”
คิดไม่ถึงว่าเขายังจำได้
สืออีเหนียงหัวเราะ “ท่านโหวนึกถึงโรงครัวเล็กใช่หรือไม่เจ้าคะ ไม่ว่าท่านจะพูดเช่นไร ข้าก็ไม่ยอมเปิดมันอีกครั้งแน่นอน”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ
พวกเขาพูดคุยกันเช่นนี้ สืออีเหนียงอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “วันนี้เจ้าเหนื่อยมากแล้ว พักผ่อนเถิด ไม่ต้องไปหาท่านแม่หรอก ข้าจะบอกท่านแม่ว่าเจ้าไม่ค่อยสบาย”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ!” สืออีเหนียงรีบพูดขัด
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “บางครั้งก็ต้องป่วยบ้าง”
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋เดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงมองดูผ้าม่านที่ปลิวไสวสักพักก็ได้สติกลับมา นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
อาหารเย็น นางพยายามทานข้าวต้มชามเล็กๆ ไปครึ่งชาม จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ไปเรียกหู่พั่วมา เล่าเรื่องที่สวีลิ่งอี๋บอกให้นางฟัง “…ต้องรีบตัดสินใจที่ว่างและคน”
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวรู้ความสำคัญของเรื่องนี้ดี” หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มหน้าบาน “จะต้องเขียนรายการก่อนวันที่สองของเดือนสองอย่างแน่นอน ไม่มีทางทำให้ลานข้างนอกล่าช้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้นำเนื้อหั่นฝอย ทอดปลาเหลือง ผัดกะหล่ำปลี และข้าวต้มเข้ามา
“ตอนนี้ทานอะไรลงแล้วใช่หรือไม่!”
หู่พั่วตกใจ จากนั้นก็หัวเราะ “ฮูหยิน ท่านนี่จริงๆ เลย!”
ไม่อยากให้สืออีเหนียงเป็นกังวล นางจึงทานข้าวต้มไปชามหนึ่ง
“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถิด!” สืออีเหนียงไม่อยากบังคับนาง “นำเรื่องนี้ไปบอกปินจวี๋ด้วย ให้นางได้นอนหลับ สองสามวันนี้ทำให้นางลำบากใจแล้ว ไม่ต้องให้นางทำสิ่งใด ให้นางคอยเฝ้าตงชิงไว้ หากคนอื่นถามก็บอกว่าข้าเป็นคนบอกให้นางช่วยเย็บปักถักร้อยสินสอดกับตงชิง ผ่านไปสักสองสามวัน เรื่องพวกนี้เบาลงแล้ว ข้าค่อยหาข้ออ้างบอกว่านางไม่สบาย ส่งกลับจวนสกุลเดิมไปแล้ว จะได้ไม่ทำให้ว่านต้าเสี่ยนเสียหน้า”
หู่พั่วพยักหน้า สายตาของนางหม่นหมอง
หากสตรีมีโรคร้าย ฝ่ายบุรุษสามารถยกเลิกงานแต่งได้
สืออีเหนียงตัดสินใจใช้ข้ออ้างนี้เพื่อให้สกุลว่านยกเลิกงานแต่ง
แต่หากทำเช่นนี้ ต่อไปตงชิงก็คงจะแต่งงานไม่ได้แล้ว
อนาคตที่ดี แต่สุดท้ายกลับมีจุดจบเช่นนี้…
นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
สังเกตเห็นว่า ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงพูดอย่างนิ่งเฉยแต่สีหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจ จึงรู้ว่าในใจของสืออีเหนียงก็ไม่สบายใจเลยยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “อีกสองวันฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของจวนสกุลหลินก็จะมาแล้ว ท่านคิดว่าเราควรจัดเตรียมอย่างไรดีเจ้าคะ”
นึกถึงแม่นางน้อยที่ดื้อรั้นคนนั้น สีหน้าของสืออีเหนียงก็ดูอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย “ชามสังคโลกสีขาว ตะเกียบไม้ไผ่สีเขียว ทำความสะอาดเรือนให้สะอาดสะอ้าน จัดดอกดารารัตน์ไว้บนโต๊ะสองสามดอกก็พอแล้ว”
“แค่นี้ก็พอแล้วหรือเจ้าคะ”
พวกนางสองคนพูดคุยกัน หลินปัวบ่าวรับใช้คนสนิทของสวีลิ่งอี๋ก็วิ่งเข้ามา
“ฮู…ฮูหยิน ท่าน…ท่านรีบนอนลงเถิดขอรับ ไท่ฮูหยินได้ยินว่าท่านไม่สบาย เลยมาเยี่ยมท่านด้วยตัวเองขอรับ…”