ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 243 มีความสุข(ปลาย)
สืออีเหนียงยืนคุยกับสวีลิ่งอี๋อยู่หน้าประตูห้องชำระ “บอกว่าเมื่อวานไปจวนเฉิงกั๋วกงแล้วรู้สึกไม่สบาย ข้าก็พึ่งจะรู้เจ้าค่ะ จึงรีบบอกให้หู่พั่วไปเชิญหมออหลวงอู๋ที่รักษาเฉียวอี๋เหนียงครั้งก่อนมาดูนาง”
“หากไม่ไหวจริงๆ ก็ให้นางไปรักษาตัวอยู่ที่จวนบนเขาลั่วเย่ว์เถิด!” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เย็นชา “ในจวนมีเด็กๆ หากติดเข้าจะทำเช่นไร”
“หมอหลวงยังไม่ได้ตรวจ แต่ท่านโหวกลับจัดการที่รักษาตัวของอี๋เหนียงเสียแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม “รอผลออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่าเจ้าค่ะ!”
พวกเขากำลังคุยกัน หูพั่วก็มาพอดี “ฮูหยิน หมอหลวงอู๋มาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตอบรับ ยิ้มให้สวีลิ่งอี๋แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ท่านโหวไม่อยู่ที่จวน ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว เช่นนั้นท่านโหวก็ไปถามไถ่สถานการณ์เองเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ล้างหน้าล้างตาแล้วไปที่ห้องโถง
ถึงแม้ว่าจะห่างกันแค่ห้องเดียว แต่สืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงดีใจที่เกินจริงของหมอหลวงอู๋ “ท่านโหว ยินดีด้วยขอรับ ฮูหยินมีข่าวดีแล้วขอรับ”
“หา!” เสียงตกใจของสวีลิ่งอี๋มีกลิ่นอายของความดีใจ จากนั้นก็กระซิบถามบางอย่างกับหมอหลวงอู๋เบาๆ
สืออีเหนียงนั่งครุ่นคิดอยู่บนเตียงเตา
ป้าเถากับนางคิดเหมือนกัน ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงคลอดใช้เวลาตั้งหลายเดือน ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวเองยังแต่งเข้ามาได้ไม่นาน ยังไม่มีจุดยืนที่มั่นคง เช่นไรก็ไม่ควรให้คนของตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องหาวิธีโยนมันเทศร้อนนี้ออกไป!
หัวของนางหมุนอย่างรวดเร็ว ผ้าม่านถูกเปิดออก สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“สืออีเหนียง เฉียวอี๋เหนียงมีข่าวดี”
สืออีเหนียงยังคงรวบรวมสติไม่ได้ นางจึงพูดตามหมอหลวงอู๋ว่า “ยินดีกับท่านโหวด้วยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะแล้วพูดว่า “เราไปเยี่ยมนางกันเถิด”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบรับแล้วออกไปกับสวีลิ่งอี๋ “พอดีเลย ประเดี๋ยวเราต้องไปเรือนไท่ฮูหยิน ไปบอกให้นางได้ดีใจ”
สวีลิ่งอี๋อืตอบ “อืม” เบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาอารมณ์ดีไม่น้อย
เฉียวเหลียนฝังกำลังนอนอยู่บนเตียง เห็นพวกเขาเดินเข้ามา นางก็รีบลุกขึ้นนั่ง “ท่านโหว ฮูหยิน!”
นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เขินอาย
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปนั่งข้างเตียง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
เฉียวเหลียนฝังก้มหน้าลง นางหน้าแดงแต่ไม่ปริปากพูดอะไร
ซิ่วหยวนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดแทรก “อี๋เหนียงแค่ไม่อยากทานอะไรเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่!” เฉียวเหลียนฝังปฏิเสธซ้ำๆ แต่สายตากลับเอาแต่มองสืออีเหนียง ราวกับกลัวว่าสืออีเหนียงจะโกรธ ต้องรู้ว่า สืออีเหนียงพึ่งแต่งเข้ามา แต่นางก็ทุบโรงครัวเล็กในลานของบรรดาอี๋เหนียงออกไปหมด
สวีลิ่งอี๋เหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้
ตอนนั้นทำโรงครัวเล็กนั้นขึ้นมา ก็เพราะว่าหยวนเหนียง นางไม่อยากทานข้าวหม้อเดียวกับบรรดาอี๋เหนียงสองสามคน ต่อมาเกิดเรื่องขึ้นมากมาย บรรดาอี๋เหนียงย้ายเข้ามา แต่หยวนเหนียงกลับย้ายไปอยู่ที่โถงเตี่ยนชวน แต่โรงครัวนั้นยังเอาไว้ให้บรรดาอี๋เหนียงใช้ ต่อมาสืออีเหนียงแต่งเข้ามา ทุกคนล้วนแต่ไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน ไม่ค่อยได้ใช้โรงครัวในลาน สืออีเหนียงจึงรวมโรงครัวสองโรงเข้าด้วยกัน ส่วนโรงครัวของบรรดาอี๋เหนียงใช้แค่ต้มน้ำ…ได้ยินเฉียวเหลียนฝังพูดเช่นนี้ เขาก็เหลือบไปมองสืออีเหนียง
โรงครัวนั้นก็ไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ของเฉียวเหลียนฝังไม่ธรรมดา ควรจะดูแลนางสักหน่อย
แน่นอนว่าสืออีเหนียงรู้ความหมายในคำพูดของเฉียวเหลียนฝัง แล้วก็เดาความคิดของสวีลิ่งอี๋ออก
ตอนที่คลอดเด็กสองสามคนออกมา หรือตอนที่จวนเกิดลมพายุ หรือตอนที่สกุลสวีช่วยให้องค์ชายเจ็ดได้รับตำแหน่ง ใครจะมีอารมณ์ไปสนุกกับการเป็นพ่อคน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้สวีลิ่งอี๋เติบโตขึ้นเป็นคนมีประสบการณ์แล้ว ถึงแม้ว่าจะมีลมพายุ เขาก็ไม่กลัวเหมือนตอนนั้น มีความดีความชอบและมีชื่อเสียง พักผ่อนอยู่ที่จวน มีเงินมีเวลาแล้วค่อยเป็นพ่อคน ส่วนใหญ่คือเพลิดเพลินมากกว่ารับผิดชอบ อารมณ์ของเขาไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกที่มีต่อการตั้งครรภ์ของเฉียวเหลียนฝังก็ย่อมแตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าตนจะเข้าใจ แต่ก็เห็นด้วยไม่ได้
ไม่มีอะไรเหมือนเดิมไปตลอด มันคือข้อห้ามของคนที่มีอำนาจ
“อี๋เหนียงสบายดีก็ดีแล้ว” สืออีเหนียงเผชิญหน้ากับสายตาของพวกเขาสองคนอย่างสงบนิ่ง “อี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์ ว่ากันว่าชอบทานของเปรี้ยวของเผ็ด ข้าจะบอกให้ย้ายของดองมาไว้ที่เรือนของอี๋เหนียงให้หมด”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้าลง
เม้มริมฝีปากสีแดงแน่น น้ำตาคลอเบ้า ทำท่าทีน้อยใจ
ถึงแม้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจของเขากลับตกใจ
สืออีเหนียงเป็นสตรีที่ฉลาด ด้วยนิสัยของนาง นางไม่มีทางไม่รู้ว่าตัวเองหมายความว่าอะไร…แต่นางกลับปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
เป็นเพราะนางกลัวว่าเฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์แล้วจะไปกระทบกับตำแหน่งของนาง? หรือเป็นเพียงเพราะว่าหึงหวง?
แต่อยู่ต่อหน้าเฉียวเหลียนฝัง ไม่ใช่ที่ที่ควรพูด
เขายิ้มแล้วยืนขึ้น พูดกับเฉียวเหลียนฝัง “ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิด ข้าจะไปเรือนไท่ฮูหยินกับฮูหยิน จะได้ไปบอกข่าวให้นางดีใจ”
แน่นอนว่าเฉียวเหลียนฝังฟังความหมายในคำพูดของสืออีเหนียงออก
นางอดไม่ได้ที่จะตกใจ
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะปฏิเสธท่านโหว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าท่านโหวไม่พูดอะไรสักคำ!
เฉียวเหลียนฝังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่สวีลิ่งอี๋
เห็นสีหน้าที่อ่อนโยนของเขา สายตาที่เป็นประกาย ไม่มีท่าทีไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
มือที่ถูน้ำมันทาเล็บสีชมพูของนางก็กำหมัดแน่น
พยายามลุกไปส่งสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงด้วยสายตาที่แดงก่ำ
สวีลิ่งอี๋ห้ามนางไว้ “ตอนนี้เจ้าไม่สะดวก ไม่ต้องพิธีตองมากนัก”
เมื่อวานท่านแม่บอกนางว่า สามเดือนแรกอันตรายที่สุด บอกนางว่าต้องนอนให้มากๆ เฉียวเหลียนฝังก็เป็นห่วงเด็กที่อยู่ในท้องของตัวเอง เห็นสวีลิ่งอี๋พูดแบบนี้ นางก็ไม่พยายาม บอกให้ซิ่วหยวนไปส่งพวกเขาแทน
สืออีเหนียงไม่อยากให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างพวกเขาสองคน
หลังจากออกมาจากลานของเฉียวเหลียนฝังนางก็พูดตรงๆ “ท่านโหว ข้าเข้าใจความหมายของท่าน แต่โรงครัวเล็กมีไว้แค่ต้มน้ำไม่ทำอะไร เรื่องนี้ข้าเป็นคนพูดเอง นี่ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย ลิ้นของข้ายังไม่ทันเข้าปากแต่ท่านจะให้ข้ากลืนน้ำลายเพราะเฉียวอี๋เหนียง…ท่านโหวคือคนที่บังคับบัญชานายทหารกว่าพันนาย ท่านคงจะรู้ข้อเสียของการเปลี่ยนแปลง หากท่านสงสารเฉียวอี๋เหนียงจริงๆ ไม่สู้ให้เงินนางเพิ่มดีกว่า แต่หากจะให้เปิดโรงครัวใหม่เพื่อนาง ไม่ว่าเช่นไรข้าก็ไม่เห็นด้วยเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
ในความทรงจำของเขา การที่สตรีทำอะไร ส่วนใหญ่จะดึงเรื่องที่ยุ่งยากและไร้สาระออกมาปกปิดจุดประสงค์ของตัวเอง มีไม่กี่คนที่เหมือนสืออีเหนียงที่พูดอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ มาลองคิดดูแล้ว สิ่งที่นางพูดก็มีเหตุผล เรื่องนี้ตนนั้นทำไม่เหมาะสมจริงๆ
“เจ้าพูดถูก เรื่องนี้ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ทำตามที่เจ้าบอกเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนที่ไม่ยอมรับฟัง ไม่ใช่คนที่เอาแต่ยืนกรานในความคิดของตัวเอง
สืออีเหนียงเห็นว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายแล้ว นางก็ไม่พูดอะไรอีก ยิ้มแล้วบอกว่า “ขอบคุณที่ท่านโหวเข้าใจในความลำบากใจของข้าเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ไปที่เรือนไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
ไท่ฮูหยินรู้เรื่องนี้ก็ดีใจเป็นอย่างมาก
บอกให้ป้าตู้นำสมุนไพรบำรุงร่างกายไปให้เฉียวเหลียนฝัง
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณแล้วถือโอกาสปรึกษาไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ ข้ายังเด็ก ไม่มีประสบการณ์ ไม่รู้ว่าจะสามารถดูแลเฉียวอี๋เหนียงได้ดีหรือไม่ สำหรับคนของเฉียวอี๋เหนียง ส่วนใหญ่ก็เป็นสาวใช้ที่ไม่เคยแต่งงานยิ่งไม่รู้เรื่องพวกนี้ ท่านช่วยข้าส่งท่านป้าที่มีประสบการณ์ไปดูแลเฉียวอี๋เหนียงสักสองคนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะได้ไม่เป็นห่วง”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจในใจ
นางเป็นบุตรีของอนุภรรยา จะเทียบกับหยวนเหนียงไม่ได้ ตอนที่หยวนเหนียงแต่งเข้ามา นายหญิงใหญ่ส่งคนติดตามที่มีความสามารถของสกุลหลัวมาตั้งหลายคน
ในเมื่อสืออีเหนียงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเดิม เช่นนั้นตนก็ช่วยนางเถิด!
คิดเช่นนี้ ไท่ฮูหยินก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย รีบพูดว่า “ข้าจะให้ป้าตู้เลือกคนที่มีความสามารถของเรือนข้าไปดูแลเฉียวอี๋เหนียงสักสองคน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มีคนของไท่ฮูหยินอยู่ในลาน หากเกิดอะไรขึ้นมา ก็จะได้มีคนเป็นพยาน
“เช่นนั้นเรื่องการต่อเติมเรือนก็คงต้องหยุดไปก่อน” ไท่ฮูหยินบอกสวีลิ่งอี๋ “รอสามเดือนแรกผ่านไปแล้วค่อยว่ากันอีกที!”
ตามธรรมเนียมแล้ว ตั้งครรภ์สามเดือนแรกต้องระมัดระวังมากที่สุด
“ข้าก็คิดเช่นนี้ขอรับ” สวีลิ่งอี๋พูด “เลื่อนไปเดือนหกก็ไม่เป็นอะไรขอรับ เดือนหกกลางวันนานกว่ากลางคืน จะได้ต่อเติมเร็วขึ้น”
“ไม่ได้รอย้ายเข้าไปอยู่ จะต่อเติมเมื่อไรก็เหมือนกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แต่แค่ไม่รู้ว่าหินพวกนั้นจะคืนได้หรือไม่”
เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้
หลังจากนั้นทุกคนก็รู้เรื่องที่เฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์ พากันมาแสดงความยินดีกับสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง ราวกับว่าสืออีเหนียงตั้งครรภ์เองเสียอีก สืออีเหนียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่เมื่อคิดว่า บุตรทุกคนของสวีลิ่งอี๋ล้วนนับว่าเป็นบุตรของนางตามทฤษฎี นางจึงเข้าใจความหมายข้างในนั้นขึ้นมา
*****
พวกเขาสองคนออกมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋บอกให้บ่าวรับใช้ไปรายงานพ่อบ้านไป๋ “…เรื่องสร้างเรือนรอให้ถึงเดือนหกแล้วค่อยเลือกวันฤกษ์งามยามดีลงมือสร้างใหม่ ส่วนหินที่มาถึงแล้วก็ย้ายไปเก็บที่จวนบนเขาลั่วเย่ว์ก่อนชั่วคราว!”
สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วไปเตรียมของขวัญ “…จากนั้นก็เรียกป้าเถามาหาด้วย บอกให้นางนำของขวัญพวกนี้ไปให้จวนเฉิงกั๋วกง เล่าเรื่องข่าวดีของเฉียวอี๋เหนียงให้เฉียวฮูหยินและนายหญิงเฉียวฟัง พวกนางจะได้ไม่เป็นห่วง”
เงยหน้าขึ้นก็เห็นสวีลิ่งอี๋มองนางด้วยสีหน้าที่งงงวย
“อ้อ วันนี้ตอนเช้า ตอนที่เฉียวฮูหยินส่งท่านป้าสองคนนำของมาให้ถามถึงเรื่องนี้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงอธิบาย “ตอนนี้ในเมื่อรู้เรื่องแล้ว ตามหลักแล้วก็ควรไปรายงานเฉียวฮูหยินเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ถามด้วยความสงสัย “เฉียวฮูหยิน? เฉียวฮูหยินส่งคนนำของมาให้?”
ตั้งแต่เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาเป็นอนุภรรยา นอกจากนายหญิงสามสกุลเฉียวแล้ว คนอื่นในสกุลเฉียวก็ไม่เคยมาหานาง
“ส่งสิ่งใดมา”
“ม่านเตียงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยตอบ “ม่านเตียงที่วาดด้วยหมึกสีดำ นายท่านเฉียวกั๋วกงนำกลับมาจากเซวียนถงแต่เฉียวฮูหยินไม่เคยกล้าใช้ พอได้ยินว่าเฉียวอี๋เหนียงถูกใจ จึงให้ท่านป้าพากันหาทั้งคืนจนหาเจอ นำมาให้นางตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
“นางขอม่านเตียงจากเฉียวฮูหยิน?” สวีลิ่งอี๋พูดเบาๆ ด้วยสีหน้าที่แปลกเล็กน้อย “เฉียวฮูหยินส่งคนมาถามสถานการณ์ของเฉียวอี๋เหนียงตั้งแต่เช้า?”
สืออีเหนียงพยักหน้า แต่กลับเห็นเส้นเลือดใหญ่ของสวีลิ่งอี๋
เหตุใดจู่ๆ ถึงอารมณ์เสียเล่า หรือเพราะว่าเฉียวเหลียนฝังขอสิ่งของจากเฉียวฮูหยิน เลยรู้สึกว่าตัวเองเสียศักดิ์ศรี? หรือเพราะว่าม่านเตียงนี้มีชื่อเสียง? อาจจะเป็นสินบนของเฉิงกั๋วกง...สวีลิ่งอี๋กลัวว่าสกุลสวีจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง?
นางครุ่นคิด ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ก็แค่ม่านเตียงผืนเดียว หากคิดว่าเฉียวอี๋เหนียงรับไว้ไม่เหมาะสม ประเดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ส่งไปให้ ก็นำม่านเตียงส่งคืนกลับไปด้วยก็ได้!”
นางไม่พูดยังจะดีกว่า เพราะยิ่งพูดสีหน้าของสวีลิ่งอี๋ก็ยิ่งแย่ลง สุดท้าย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว
สืออีเหนียงเห็นว่ามันผิดปกติ นางจึงลุกขึ้นรินชาให้สวีลิ่งอี๋ “ท่านโหวมีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จา อย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับตบโต๊ะเสียงดัง ทำให้ถ้วยชากระเด้งขึ้นมา “เหลวไหล!