ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 242 มีความสุข(กลาง)
ป้าเถาได้ยินก็ตกใจ
“ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ” นางเผลอถามออกมา จากนั้นก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองถามเช่นนั้นออกมา
ช่วงนี้นางกำลังสังเกตสืออีเหนียง สืออีเหนียงเป็นคนฉลาดแต่ถ่อมตัว คนอย่างนาง หากไม่แน่ใจจริงๆ นางไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน
ความคิดนี้วาบขึ้นมา จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสืออีเหนียง
ภายใต้แสงไฟที่อบอุ่น สืออีเหนียงนั่งนิ่งราวกับต้นสน ดวงตาที่เดิมทีเปล่งประกายราวกับดวงดาวมองมาที่นางอย่างเงียบสงัด ทำให้นางนึกถึงบ่อน้ำที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ ทำให้นางรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา…
ท่ามกลางแสงไฟ นางก็เข้าใจในทันที
สืออีเหนียงกำลังให้นางแสดงความคิดเห็น
หากเฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์จริงๆ ตัวเองควรทำเช่นไร
นางได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
ตนเป็นคนเลี้ยงหยวนเหนียงจนโต เป็นแม่นมและยังเป็นคนที่มีพระคุณต่อนาง ยิ่งไปกว่านั้นหยวนเหนียงเป็นคนฉลาด สดใสร่าเริง ทำให้นางแค่เห็นก็ชอบ ในใจของตนนั้น หยวนเหนียงสำคัญมากกว่าสามีของตัวเองและสนิทสนมมากกว่าบุตรชายของตัวเองเสียอีก…แต่คิดไม่ถึงว่า นางจะป่วยตายไปเร็วเช่นนี้ โชคดีที่ยังทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขอย่างจุนเกอเอาไว้ให้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนก็จะต้องดูแลจุนเกอให้ดี ทำให้เลือดเนื้อเชื้อไขของหยวนเหนียงคงอยู่ตลอดไป
แต่ตอนนี้จุนเกอยังเด็ก ต้องการที่พึ่งจากสืออีเหนียง ดังนั้นนางจะคอยช่วยเหลือสืออีเหนียง แต่ว่าสืออีเหนียงต้องปกป้องผลประโยชน์ของจุนเกอ
ป้าเถายิ้มอย่างแผ่วเบา “ฮูหยิน ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนคลอด ต้องใช้เวลากว่าสิบเดือน…ท่านไม่ต้องใจร้อนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองป้าเถา “ข้ากลัวว่าเจ้าจะใจร้อนมากกว่า”
ป้าเถาตัวสั่น
สีหน้าของสืออีเหนียงจริงจัง “ป้าเถา ข้าหวังว่าเจ้าจะจำเป้าหมายที่เจ้าช่วยข้าได้” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “ในเมื่อไม่มีอะไรกระทบต่อจุนเกอ เจ้าก็อย่าได้ทำสิ่งใด”
ป้าเถามองไปที่ความเด็ดเดี่ยวบนใบหน้าของสืออีเหนียง ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตากลับเป็นประกาย จากนั้นนางก็ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องของฮูหยิน บ่าวเป็นคนของฮูหยิน แน่นอนว่าบ่าวต้องฟังฮูหยินอยู่แล้วเจ้าค่ะ” กลัวว่านางจะไม่วางใจ “ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่าเฉียวอี๋เหนียงจะคลอดบุตรชาย แต่ก็ต้องเก่งกว่าคุณชายน้อยสองเสียก่อน”
บอกตามตรง สืออีเหนียงกลัวว่าป้าเถาคิดจะทำอะไรจริงๆ นางคุ้นเคยกับจวนสกุลสวี แล้วยังเป็นคนฉลาด กลัวว่าตัวเองจะป้องกันไม่ได้ ห้ามปรามไม่ได้
เมื่อส่งป้าเถาออกไป นางก็บอกหู่พั่ว “หาวิธีจับตาดูป้าเถาเอาไว้”
หู่พั่วพยักหน้า
ป้าเถาต้องการปกป้องผลประโยชน์ของจุนเกอ แต่นางนั้นต้องการปกป้องผลประโยชน์ของสืออีเหนียง
หากตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับเฉียวเหลียนฝัง คนที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือสืออีเหนียง
คิดเช่นนี้ นางรู้สึกว่าการที่เฉียวเหลียนฝังหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ มันทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ พูดพึมพำ “เฉียวอี๋เหนียงอยากจะทำสิ่งใดกันแน่ ตั้งครรภ์ก็ไม่ยอมบอกพวกเรา”
“นางอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้นางทำเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “ฝนจะตก คนจะแต่งงาน ลูกเป็นของนาง แค่ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเราก็พอ” พูดถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มให้หู่พั่ว “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนั้นให้เฉียวอี๋เหนียง เฉียวอี๋เหนียงสมควรได้รับมัน แต่บางคนกลับไม่สบายใจ”
หู่พั่วไม่เข้าใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านหมายถึงฮูหยินสามหรือเจ้าคะ เกรงว่านางจะพูดเกินความจริงต่อหน้าไท่ฮูหยิน…”
“ไม่หรอก” สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ
ตอนนี้ฮูหยินสามคิดแต่เรื่องที่จะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก คิดแต่จะหาผลประโยชน์จากสกุลสวีก่อนออกไป หากเป็นเมื่อก่อน นางคงจะไม่สบายใจ แต่ว่าตอนนี้ บางทีนางอาจจะคิดหาวิธีให้อี้อี๋เหนียงกลับสกุลเดิม จากนั้นก็นำของขวัญกลับไปเหมือนของเฉียวเหลียนฝัง สำหรับเรื่องที่ของขวัญพวกนี้จะส่งไปถึงสกุลเดิมของอี้อี๋เหนียงหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
คิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้ม “เราไม่ต้องรีบร้อน รอดูเอาเถิด”
******
สืออีเหนียงไม่รีบร้อน แต่กลับมีบางคนรีบร้อน
เช้าของวันต่อมา ท่านป้าสองคนของจวนเฉิงกั๋วกงมาที่นี่ บอกว่ามาส่งของให้เฉียวเหลียนฝังตามคำสั่งของเฉียวฮูหยิน “…ม่านเตียงผืนนั้น ตั้งแต่ฮูหยินได้รับมาก็ยังไม่เคยใช้เลยสักครั้ง แล้วยังเป็นหน้าหนาว บรรดาท่านป้าช่วยกันหาตั้งนานก็หาไม่เจอ ฮูหยินหงุดหงิดรำคาญจึงบอกให้พวกท่านป้าหากันทั้งคืน พอหาเจอแล้วก็ส่งมาที่นี่ทันทีเลยเจ้าค่ะ” พูดจบก็ยกกล่องในมือขึ้นมา
ส่งม่านเตียงมาให้ตอนฤดูหนาว
คงมีแค่เฉียวฮูหยินเท่านั้นที่คิดได้
สืออีเหนียงกลั้นหัวเราะ
เพราะไม่มีคำยืนยันจากหมอหลวง เฉียวเหลียนฝังคงกลัวว่าตัวเองจะเข้าใจผิด จึงไม่กล้าบอกว่าตนนั้นตั้งครรภ์ แต่หากจะเชิญหมอหลวงมาตรวจ ก็ต้องมาบอกนางก่อน วิธีที่ดีที่สุดก็คือกลับไปจวนเฉิงกั๋วกง สามารถให้หมอตรวจแล้วยังสามารถบอกเฉียวฮูหยินและนายหญิงเฉียว แล้วพวกนางยังสามารถให้คำแนะนำนางได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
“ลำบากท่านป้าทั้งสองแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมา “ฝากขอบคุณเฉียวฮูหยินแทนข้าด้วย”
ท่านป้าสกุลเฉียวทั้งสองคนตกใจ
พวกนางไม่คิดว่าสืออีเหนียงจะไม่รอให้พวกนางได้ทันปริปาก ยกถ้วยชาขึ้นมาส่งแขก
ท่านป้าคนหนึ่งรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ตอนที่พวกบ่าวออกมาเฉียวฮูหยินยังบอกอีกว่า ให้พวกบ่าวไปคารวะเฉียวอี๋เหนียงด้วยเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” สืออีเหนียงวางถ้วยชาลงแล้วหยุดชะงัก
ท่านป้าอีกคนหนึ่งก็รีบพูดเสริม “ใช่เจ้าค่ะฮูหยิน เฉียวฮูหยินบอกว่าให้พวกบ่าวไปคารวะเฉียวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ เมื่อวานเฉียวอี๋เหนียงไม่ค่อยสบาย ฮูหยินของเราเป็นห่วงนาง พวกบ่าวมาส่งม่านเตียง เฉียวฮูหยินจึงให้เราถือโอกาสไปเยี่ยมเฉียวอี๋เหนียงเจ้าค่ะ เฉียวอี๋เหนียงเป็นเช่นไรบ่าวจะได้กลับไปรายงาน เฉียวฮูหยินจะได้ทราบเจ้าค่ะ”
ไม่สบายหรือ…คนสกุลเฉียวรู้ว่าเฉียวเหลียนฝังไม่สบาย…
มองดูท่านป้าสองคนที่แน่วแน่ สืออีเหนียงก็ยิ้มออกมา
ข้ออ้างส่งของมาให้เพื่อบอกว่านางตั้งครรภ์ มันคือความคิดของเฉียวฮูหยินหรือว่าเฉียวเหลียนฝังกันแน่ เฉียวฮูหยินอยากจะบอกนางว่าเฉียวเหลียนฝังมีจวนเฉิงกั๋วกงคอยปกป้อง? หรือว่าเฉียวเหลียนฝังกังวลว่าเด็กในท้องจะคลอดออกมาไม่ราบรื่น?
แต่สืออีเหนียงคิดว่ามันคือความคิดของเฉียวฮูหยิน
เพราะสถานการณ์นี้เป็นประโยชน์ต่อเฉียวฮูหยินคนเดียว
ต้องรู้ว่า เฉียวเหลียนฝังนำของขวัญกลับไปเยอะขนาดนั้น แต่สกุลเฉียวกลับนำกล่องของขวัญแปดสีกลับมาให้แค่กล่องเดียว แสดงว่ามีเรื่องอะไรที่สามารถชดเชยแทนได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือหาข้ออ้างว่ามาส่งของให้เฉียวเหลียนฝังเพื่อแพร่กระจายข่าวเรื่องนางตั้งครรภ์ หนึ่งคือสามารถทำให้เฉียวเหลียนฝังสบายใจ สองคือสร้างความสับสน ทำให้ผู้คนคิดว่าที่สกุลสวีมอบของขวัญมากมายเช่นนั้นให้สกุลเฉียวก็เพราะว่าเฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์
แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร สืออีเหนียงก็จะรับมืออย่างใจเย็น ถึงแม้ว่านางจะไม่กล้าพูดว่าตัวเองเป็นคนดี แต่ให้นางทำร้ายเด็กที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ นางทำไม่ลง
แต่การที่สกุลเฉียวทำเหมือนคนอื่นเป็นคนโง่ ลวงหลอกคนอื่นเช่นนี้มันทำให้นางไม่พอใจ
อยากแพร่กระจายเรื่องเฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์ผ่านสกุลเฉียว…
หากตัวเองปล่อยให้พวกนางประสบความสำเร็จง่ายๆ แบบนี้ ยังจะรักษาความน่าเกรงขามของการเป็นฮูหยินของสวีลิ่งอี๋ได้เช่นไรเล่า
เรื่องบางเรื่องสามารถทำเป็นไม่เห็นได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นก้าวเกินขอบเขตแม้แต่ก้าวเดียว
เสียงวางถ้วยชาที่แผ่วเบา ถ้วยชาในมือของสืออีเหนียงถูกวางลงบนโต๊ะ
“พวกเจ้ากลับไปบอกเฉียวฮูหยิน” นางพูดช้าๆ อย่างเป็นขั้นตอน “วันนี้ตอนเช้าเฉียวอี๋เหนียงมาคารวะข้ายังสบายดีอยู่ ไม่ได้ยินนางบอกว่าไม่สบายตรงไหน บอกเฉียวฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อเฉียวอี๋เหนียงแต่งเข้ามาในสกุลสวีแล้ว นางก็คือคนของสกุลสวี ถึงแม้ว่าสกุลสวีของเราจะไม่ใช่สกุลที่ร่ำรวยอะไร แต่หากมีคนเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สาวใช้ก็ต้องเชิญหมอหลวงมารักษา บอกเฉียวฮูหยินว่าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบนางก็ลุกขึ้นพูดกับหู่พั่ว “ส่งท่านป้าทั้งสองคนออกไป อย่าให้พวกนางหลงทางเชียวล่ะ” จากนั้นก็หันหน้าเดินเข้าไปในห้องข้างในโดยไม่หันกลับมามอง
ท่านป้าสองคนยืนตะลึงอยู่ที่นั่น
พวกนางคิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะมีท่าทีแข็งแกร่งขนาดนี้
“ท่านป้าเชิญตามข้ามาเจ้าค่ะ” เดิมทีหู่พั่วก็กังวลเรื่องที่เฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์อยู่แล้ว แต่ตอนนี้เห็นว่าคนสกุลเฉียวข่มเหงคนอื่นแบบนี้ นางยิ่งไม่พอใจ จึงพูดอย่างไม่เกรงใจ “สกุลสวีของเรามีกฎเกณฑ์มากมาย บางที่มีแค่ฮูหยินและคุณหนูที่สามารถเดินได้ บางที่มีแค่สาวใช้และท่านป้าที่สามารถเดินได้ พวกท่านจะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ ทำให้จวนเฉิงกั๋วกงเสียชื่อเสียง”
ท่านป้าทั้งสองคนก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาในสกุลเฉียว ได้ยินหู่พั่วพูดเช่นนี้ พวกนางก็พลันหน้าซีด ในใจเอาแต่บ่นเรื่องที่นายหญิงสามสกุลเฉียวบอกกับเฉียวฮูหยินว่า ฮูหยินหย่งผิงโหวสถานะต่ำต้อย ไม่มีความมั่นใจ จะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าของไท่ฮูหยินและท่านโหวก่อน ไม่มีพวกเขาสองคน นางไม่มีทางกล้าทำให้จวนเฉิงกั๋วกงไม่พอใจ เช่นนี้ถึงให้พวกนางสองคนนำเรื่องที่เฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์ออกมาเผยแพร่ แล้วยังสามารถถือโอกาสตีสนิทกับเฉียวอี๋เหนียง ตอนนี้เฉียวอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้ว หากคลอดบุตรชาย ก็ถือว่ามีหน้ามีตาในสกุลสวี ต่อไปมีเรื่องอะไร ก็สามารภพึ่งพานางได้…นี่พึ่งจะนำม่านเตียงอันล้ำค่าที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมาให้พวกนางนำมาให้เฉียวอี๋เหนียง แต่คิดไม่ถึงว่า กลับถูกนางไล่ออกมาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้
แทบจะเอาหน้ามุดแผ่นดิน!
หู่พั่วเห็นแบบนี้ก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย นางยิ้มแล้วไปหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลับไปที่ห้องโถงตั้งนานแล้ว นางกำลังรอหู่พั่ว เมื่อเห็นนางเข้ามาก็ชี้ไปที่กล่องที่ท่านป้าสกุลเฉียวสองคนนั้นเอามา “เอาไปให้เฉียวอี๋เหนียง จากนั้นก็ถามว่านางสบายดีหรือไม่ หากนางบอกว่าไม่สบาย เจ้าก็ไปบอกผู้ดูแลลานข้างนอก บอกให้พวกเขาไปเชิญหมอหลวงมา หากนางบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร…” นางยิ้ม “เราก็คงจะไปบังคับหมอหลวงมาให้นางไม่ได้”
หู่พั่วยิ้ม ตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงกลับเข้าไปในห้องแล้วปัก ‘ลมหุบเขา’ ต่อ ช่วงนี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย นางพึ่งจะถักได้แค่ไม่กี่ตัว หวังว่าฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วจะไม่ผิดหวัง
ผ่านไปไม่นาน หู่พั่วก็กลับมา
นางยิ้มแล้วยื่นมือให้สืออีเหนียง “ฮูหยิน ป้ายคู่เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะ “ที่เดิม เจ้าไปหยิบเองเถิด”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรีบเดินออกไปลานข้างนอก
หมอหลวงของสำนักหมอหลวงวันปกติต้องทำงาน ไม่สามารถเชิญมาได้ตลอดเวลา เมื่อหมอหลวงอู๋มาถึงก็ยามเที่ยงแล้ว สวีลิ่งอี๋กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าพอดี
เห็นว่าในลานมีท่านป้าต้อนรับที่ประตูเพียงคนเดียว ไม่เห็นสาวใช้และท่านป้าคนอื่นๆ เขาก็ถามด้วยความแปลกใจ “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ท่านป้าคนนั้นรีบพูดว่า “เฉียวอี๋เหนียงไม่ค่อยสบาย ฮูหยินจึงเชิญหมอหลวงมาดูอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว เขาพยักหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปข้างใน
สืออีเหนียงกำลังเย็บปักถักร้อยอยู่บนโต๊ะปักผ้า แสงอาทิตย์ยามเที่ยงส่องเข้ามา ทำให้รูปร่างของนางกลายเป็นสีเหลืองที่อบอุ่น
เขาคลายคิ้วที่กำลังขมวดออกโดยไม่รู้ตัว
“เจินเจี่ยเอ๋อร์และเจี้ยเกอเล่า”
หลังจากเทศกาลโคมไฟ อากาศก็อบอุ่นขึ้น สวีลิ่งอี๋สวมชุดสีน้ำเงิน พับแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะล้างหน้าล้างตา
สืออีเหนียงได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว อีกทั้งยังใกล้ถึงเวลาไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน จึงเก็บอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยแล้วตอบรับ “อยู่เล่นเป็นเพื่อนจุนเกอที่นั่นเจ้าค่ะ”
“เหตุใดเฉียวอี๋เหนียงถึงไม่สบายอีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “พึ่งจะดีขึ้นไม่กี่วัน” พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องชำระกับสาวใช้