ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 240 ออกหน้า(ปลาย)
บรรดาท่านป้าเดินผ่านสวีลิ่งอี๋ คนหนึ่งเดินออก คนหนึ่งเดินเข้า
สวีลิ่งอี๋ถามด้วยความสงสัย “ทำอะไรกันอยู่”
สืออีเหนียงเล่าเจตนาของคุณนายใหญ่สกุลหลัวให้เขาฟัง “…ส่งคนไปให้พี่สะใภ้ใหญ่ ให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า หยิบภาพวาดที่สวีลิ่งควนวาดออกมา เล่าให้สืออีเหนียงฟังว่าจะวางอิฐที่ใด ตรงไหนวาดอะไร ตรงไหนแกะสลักดอกไม้
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะคิดว่ามันพิถีพิถันมากเกินไป แต่เมื่อเห็นท่าทีพอใจของสวีลิ่งอี๋แล้ว นางจึงทำท่าทีคล้อยตามเขา พยักหน้าและตอบรับ “เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นวันที่หกของเดือนสองก็เริ่มลงมือเลย” สวีลิ่งอี๋พูด “ถึงเดือนสี่เดือนหห้าก็จะได้ย้ายเข้าไป”
ถึงตอนนั้นต้องจัดพิธีไว้ทุกข์สามปีของหยวนเหนียงพอดี บรรดาญาติๆ ก็จะมารวมตัว พวกเด็กๆ จะได้ไม่ต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนเช่นนี้
“ทำตามที่ท่านโหวบอกเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เก็บภาพวาด วันต่อมาก็บอกให้พ่อบ้านไป๋ไปซื้อดิน หินและไม้มาเตรียมไว้ สืออีเหนียงพาพวกเด็กๆ เล่น ในขณะเดียวกันก็สังเกตการเคลื่อนไหวของจวนเม่ากั๋วกง ท่านป้าที่ถูกส่งไปที่นั่นมักจะมารายงานให้นางฟัง
“คุณนายใหญ่พาพวกบ่าวไปที่จวนเม่ากั๋วกง ผู้ดูแลพวกนั้นเห็นเช่นนี้ก็รีบจัดที่อยู่ให้พวกบ่าว เรื่องอื่นไม่ถามเลยแม้แต่น้อย ท่าทีราวกับกลัวว่าจะมีปัญหา จะว่าไปแล้วจวนเม่ากั๋วกงก็เป็นสกุลขุนนาง เหตุใดถึงได้ไม่มีคนจงรักภักดี บ่าวคิดว่าสกุลนี้ต่อไปคงจะยกให้คุณนายสิบเป็นคนดูแล” ประโยคสุดท้าย แน่นอนว่าพูดเอาใจสืออีเหนียง
สืออีเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ มอบเงินให้นางหนึ่งตำลึง
ท่านป้าพวกนั้นก็ยิ่งขยันขันแข็งมากกว่าเดิม ผลัดกันมารายงานสืออีเหนียง พูดอะไรเยอะแยะมากมาย คิดว่ายิ่งพูดเยอะก็ยิ่งดี ราวกับว่าสิ่งที่ตัวเองพูดเท่ากับความห่วงใยที่ตัวเองมีต่อสือเหนียง แม้กระทั่งเรื่องที่แม่ครัวสกุลหวังชอบขโมยอาหารกลับมา สืออีเหนียงก็รู้หมด
“วันนี้เจียงฮูหยินจะไปเยี่ยมใต้เท้าจังที่กรมอาญา แต่กลับถูกสะใภ้หยวนเป่าจู้ห้ามเอาไว้ แล้วยังพูดเกลี้ยกล่อมตั้งมากมาย บ่าวฟังไม่เข้าใจ” ท่านป้าคนนั้นยิ้มและประจบสอพลอ “บ่าวเห็นว่าหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดา จึงไปแอบสืบมา ที่จริงแล้วนางเคยอ่าน ‘เด็กน้อยเรียนรู้ฉงหลิน’ มาก่อนเจ้าค่ะ” นางพูดเน้นราวกับภาคภูมิใจในตัวเอง
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
ยามที่ตงชิงและปินจวี๋ติดตามนางมา ตนก็เคยสอนพวกนางอ่าน ‘เด็กน้อยเรียนรู้ฉงหลิน’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลเจียง บ่าวรับใช้อ่านหนังสือออก นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ท่านป้าคนนั้นเห็นว่าสืออีเหนียงไม่มีปฏิกิริยาอะไร นางก็ผิดหวัง
สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วบอกให้สาวใช้รินชาให้ท่านป้าคนนั้นอีกครั้ง
การฟังเรื่องซุบซิบนินทา วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของสกุลอื่นกับบ่าวรับใช้ไม่ใช่มาตรฐานของฮูหยินที่ดี แต่ว่าความขัดแย้งของสกุลหวังนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้เขารู้เราถึงจะเอาชนะได้ บางทีการฟังพวกนางพูดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่สลักสำคัญอันใด แต่อาจจะสามารถได้รับข้อมูลสำคัญที่คาดไม่ถึง ดังนั้นนางมักจะบอกให้พวกนางเล่าเรื่องสกุลหวังให้ตัวเองฟัง อย่างเช่น ให้สาวใช้รินชาให้ใหม่ คือการบอกพวกนางว่ายังมีเวลา เจ้ามีเรื่องใดก็พูดออกมา
ท่านป้าคนนั้นรับชามา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บ่าวยังได้ยินมาอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงทำสีหน้าใคร่รู้
ท่านป้าคนนั้นเห็นเช่นนี้ก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวได้ยินสาวใช้ของเจียงฮูหยินบอกว่า สะใภ้หยวนเป่าจู้ เดิมทีไม่ได้รับใช้เจียงฮูหยิน นางมาจากบ้านเกิดที่เล่ออาน มาส่งของให้ฮูหยินของนายท่านฮั่นหลินตามคำสั่งของนายท่านจอหงวน[1] ต่อมาสกุลหวังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นายท่านฮั่นหลินจึงให้สะใภ้หยวนเป่าจู้คอยอยู่ช่วยเจียงฮูหยิน ว่ากันว่าสะใภ้หยวนเป่าจู้นั้นดื้อรั้น แล้วยังเคยเถียงกับเจียงฮูหยิน ถึงแม้ว่าเจียงฮูหยินจะรำคาญนาง แต่เพราะว่าเห็นแก่หน้าของนายท่านฮั่นหลินและนายท่านจอหงวน จึงยอมให้นางเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแปลกใจ แต่ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
ถึงแม้ว่าสกุลเจียงจะไม่ชอบหวังหลังเพียงใด แต่เจียงฮูหยินก็เป็นลูกสะใภ้ของสกุลเจียง มักจะมีคนถือว่าเจียงฮูหยินก็คือสกุลเจียง มักจะมีคนที่ไม่กล้าปฏิเสธคำขอร้องของเจียงฮูหยินเพราะว่าเห็นแก่หน้าของสกุลเจียง แต่นางคิดไม่ถึงว่าป้าหยวนคนนั้นคือคนของเจียงซง อีกทั้งยังคิดไม่ถึงว่าเจียงไป่จะหาข้ออ้างแบบนี้ส่งคนมาอยู่กับเจียงฮูหยิน
ดูเหมือนว่าสะใภ้หยวนเป่าจู้ผู้นี้ เป็นคนสำคัญของสกุลเจียง
ผิวเผินแล้วสกุลเจียงทำเป็นไม่สนใจการกระทำของเจียงฮูหยิน แต่แท้จริงแล้วพวกเขาสนใจอยู่เสมอ
ท่านป้าคนนั้นเห็นว่าเรื่องที่ตัวเองเล่าเป็นเรื่องที่สืออีเหนียงไม่รู้ นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แต่บ่าวคิดว่าสิ่งที่สะใภ้หยวนเป่าจู้พูดค่อนข้างมีเหตุผล สตรีออกไปนั่นมานี่ล้วนมีแต่ความยากลำบาก ไปถึงกรมอาญาเกรงว่าจะไม่ค่อยดี มีใครที่ไหนกันเล่าอยู่ดีๆ จะอยากไปขึ้นศาล!” พูดจบก็ลอบสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียง
ท่านป้าอย่างพวกนางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เคยเห็นอะไรมาก่อน สกุลหลัวและสกุลหวังกำลังทำสงครามกันอยู่ พวกนางคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ จะมองไม่ออกได้เช่นไร
เห็นสืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ สายตาของท่านป้าคนนั้นก็ทอดมองตรง นางครุ่นคิด ทุกคนล้วนแต่บอกว่าฮูหยินไม่ค่อยชอบเจียงฮูหยิน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง ต่อไปก็คงไม่ต้องไว้หน้าเจียงฮูหยินผู้นั้นแล้ว จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวยังได้ยินมาว่า สองสามวันมานี้เจียงฮูหยินกำลังทำความสะอาดกล่องของฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
หรือว่าสกุลญาติพวกนั้นแตะต้องสิ่งของของฮูหยินผู้เฒ่า?
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางก็ส่ายหน้า
คงจะไม่ใช่! แอบขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ยังพอไหว แต่หากแตะต้องของของฮูหยินผู้เฒ่า ทำเช่นนี้สามารถแจ้งความได้…
นางกำลังครุ่นคิด ท่านป้าคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่า เจียงฮูหยินนำของที่ฮูหยินผู้เฒ่าทิ้งไว้ให้คุณนายสิบไปจำนำเจ้าค่ะ”
อาจจะไม่ได้ทิ้งไว้ให้สือเหนียง
มีคำที่ว่า ‘ไม่มีเงินก็ไม่มีทางชนะคดี’
การที่เจียงฮูหยินขาดแคลนเงินคงจะเป็นเรื่องจริง
หลังจากที่ท่านป้าคนนั้นออกไปแล้ว นางก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…สะใภ้หยวนเป่าจู้กล้าห้ามปรามเจียงฮูหยิน ข้าคิดว่าคงเป็นเพราะใต้เท้าเจียงไป่เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีของคนสกุลเจียงที่มีต่อสวีลิ่งอี๋… คิดว่าหากเจียงฮูหยินอยากจะคืนความยุติธรรมให้หวังหลัง คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ถือว่าทำดีได้ดี” ตอนที่สืออีเหนียงส่งท่านป้าไป เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้รับข่าวเช่นนี้ “แต่เจียงซงส่งสะใภ้หยวนเป่าจู้มาที่เยี่ยนจิงตอนนี้ แล้วยังเป็นคนมีความสามารถเช่นนี้…” เขาพึมพำ “เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแต่งงานของจุนเกอ”
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนี้
ช่วงไว้ทุกข์ของจุนเกอกำลังจะสิ้นสุดลง คนที่เล่ออานส่งสตรีนางหนึ่งมาหาฮูหยินของเจียงไป่ แล้วยังไม่รีบกลับไป ถูกเจียงไป่ส่งไปอยู่กับเจียงฮูหยิน
สืออีเหนียงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
นางคิดไกลกว่านี้เสียอีก
หากเป็นตัวเอง ก็คงจะส่งคนเช่นนี้มาก่อนเหมือนกัน ประการแรกคือส่งมาทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ในเยี่ยนจิง ประการสองคือส่งมาสืบสถานการณ์ของจุนเกอ เพราะว่าทั้งสองสกุลแค่แลกหนังสือผูกดวงกันแต่ยังไม่ได้มีพิธีอะไร
“ท่านคิดว่าข้าควรจะไปหาเจียงฮูหยินดีหรือไม่เจ้าคะ”
เรื่องของเด็กคือเรื่องหนึ่ง ท่าทีของผู้ใหญ่ก็คืออีกเรื่องหนึ่ง
“ไม่จำเป็น” สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้า “สกุลอย่างพวกเขา เจ้าไม่ต้องสนใจ หากเจ้าขยันขันแข็งเกินไปพวกเขาอาจคิดว่าเจ้าไม่จริงใจหรือว่ามีเจตนาไม่ดี เราแสร้งทำเป็นไม่รู้ดีกว่า!”
สืออีเหนียงหัวเราะแล้วถามสวีลิ่งอี๋ “ของต่อเติมเรือนจะส่งมาเมื่อใดเจ้าคะ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงต้องห่อข้าวของด้วยผ้า เราอยู่เช่นนั้นคงจะไม่ค่อยสะดวก ท่านคิดว่า เราควรจะย้ายไปอยู่ที่อื่นหรือไม่เจ้าคะ”
“พรุ่งนี้จะมีก้อนหินเข้ามา” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด “ลิ่งควนนั้นอยู่ที่สวนดอกไม้…หรือว่า ไปปรึกษากับท่านแม่ ขอย้ายไปอยู่ที่เรือนของท่านแม่ก่อน”
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดถึงเรือนของหยวนเหนียง
นางยิ้มแล้วพยักหน้า พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นม่านขยับ ใบหน้าของหู่พั่วปรากฏอยู่ตรงม่าน
สืออีเหนียงพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋อย่างสงบนิ่งอีกสองสามประโยค แล้วหาข้ออ้างปลีกตัวออกมาจากห้องข้างใน
หู่พั่วอยู่ในห้องโถง
นางกำมือแน่น เดินไปรอบห้องด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
หรือว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับตงชิง
สองวันก่อนสกุลว่านส่งหนังสือผูกดวงมาให้ บอกว่าดวงชะตาเข้ากันได้ดี สืออีเหนียงกำลังจะบอกให้ป้าเถาเลือกวันจัดพิธี แต่ได้ยินลี่ว์อวิ๋นบอกว่าตงชิงไม่เพียงแต่ไม่ดีใจแล้วยังเป็นกังวล กลัวว่าแต่งออกไปแล้วจะปรับตัวไม่ได้ ราวกับว่ากลัวการแต่งงาน
นางกระแอมเบาๆ
หู่พั่วได้ยินก็มองออกมา เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็รีบวิ่งเข้ามา ลากสืออีเหนียงไปที่ห้องปีกทิศตะวันออก แล้วยังไล่สาวใช้ที่อยู่หน้าประตูออกไป จากนั้นก็กระซิบกระซาบกับสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ เกรงว่าเฉียวอี๋เหนียงจะมีแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจไปชั่วครู่ ก่อนที่จะได้สติกลับมา
“เจ้าหมายความว่า นางตั้งครรภ์แล้วหรือ”
เมื่อก่อนสวีลิ่งอี๋ไม่ค่อยอยู่ที่จวน แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่จวนตลอด เฉียวเหลียนฝังก็ยังอายุน้อย ตั้งครรภ์จึงเป็นเรื่องธรรมดา
“เช้าวันนี้ยังมาคารวะข้าแต่เช้า” นางขมวดคิ้ว “แต่ไม่ได้พูดอะไร เจ้าฟังผิดหรือไม่”
ตามหลักแล้วตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ดี หากเป็นเรื่องจริง เพราะเหตุใดนางถึงต้องปิดบัง ถึงอย่างไรก็ต้องให้หมอหลวงมายืนยัน ต้องรู้ว่า อีกไม่นานก็ถึงวันที่นางต้องรับใช้ท่านโหวเข้านอนแล้ว หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น มันคงจะได้ไม่คุ้มเสีย
“ป้าเถาให้เราสังเกตวันระดูของเรือนนั้นตลอด” หู่พั่วหน้าแดง “เมื่อก่อนชุดชั้นในของเฉียวอี๋เหนียง จูหรุ่ยเป็นคนซักให้ แต่เดือนนี้ซิ่วหยวนกลับเป็นคนซักให้ ตอนแรกจูหรุ่ยก็ไม่เข้าใจ กลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี ทำให้เฉียวอี๋เหนียงไม่ชอบ จึงไปถามซิ่วหยวน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า มันผิดแปลกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ในเมื่อนางไม่พูด เราก็ทำเป็นไม่รู้เห็นเถิด ประเดี๋ยวท่านโหวถามแล้วเราจะตอบไม่ได้ ทำให้เรื่องมันวุ่นวายเสียเปล่า”
หูพั่วได้ยินเช่นนี้ก็ลังเล “เช่นนั้นเราต้องบอกป้าเถาหรือไม่เจ้าคะ…”
“ข้าบอกนางเอง!” สืออีเหนียงพูด “นางชอบคิดมาก ประเดี๋ยวจะคิดอะไรได้อีก ไท่ฮูหยินอยากจะมีลูกหลานเยอะๆ หากเรือนของข้ามีใครเป็นอะไรไป มันไม่ใช่เรื่องดี”
เฉียวเหลียนฝังไม่พูดอะไร ทำให้นางมีโอกาสเยอะกว่า ตนกลัวว่าป้าเถาจะลงมือทำอะไรให้เดือดร้อน ต้องรู้ว่า บนโลกใบนี้ไม่มีกำแพงที่ลมผ่านไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าเฉียวเหลียนฝังจะมีบุตรชาย แต่จากสถานการณ์บุตรชายของสวีลิ่งอี๋ตอนนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร
“เจ้าค่ะ!” หู่พั่วตอบรับ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน เฉียวอี๋เหนียงมาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ นางขยิบตาให้หู่พั่ว
“เชิญนางเข้ามา” นางยิ้มแล้วบอกสาวใช้คนนั้น จากนั้นก็ไปที่ห้องโถงกับหู่พั่ว
ซิ่วหยวนประคองเฉียวเหลียนฝังเดินเข้ามา
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ท้องของนาง
หรือว่านางตั้งครรภ์แล้วจริงๆ ถึงได้ระมัดระวังตัว ต้องมีคนคอยประคับประคองแบบนี้
————————–
[1]จอหงวนคือชื่อตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับ 1 ในการสอบคัดเลือกข้าราชการของจีนแผ่นดินใหญ่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์