ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 24 เยี่ยนจิง (กลาง)
ตอนที่นายท่านใหญ่คนก่อนของสกุลหลัวรับตำแหน่งอยู่ที่เยี่ยนจิง เขาได้สร้างเรือนสี่หลังไว้ที่ตรอกเหล่าจวินถังในหวงหวาฟังที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ต่อมานายท่านสองของสกุลหลัวมารับตำแหน่งในเมืองหลวง เรือนหลังนั้นจึงเอาให้เขาอยู่
ต่อมาสามพี่น้องกลับมารายงานตัวที่กระทรวงขุนนางที่เยี่ยนจิง และแน่นอนว่าเรือนหลังนั้นไม่พออยู่
แต่เพราะว่านายหญิงสามมีเรือนสามหลังที่เป็นสินสอดอยู่ที่ตรอกเฉียนถังในเหรินโซ่วฟัง นายท่านสามจึงย้ายไปอยู่ที่นั่น
เช่นนี้ นายท่านใหญ่กับนายท่านสองถึงเบียดอยู่ที่เดียวกัน
นายท่านสองและภรรยาไม่เพียงแต่จะต้องย้ายออกไปจากเรือนหลัก ไปอยู่กับบุตรสาวที่เรือนข้างหลัง แม้แต่หลัวเจิ้นต๋านายท่านสามและภรรยาของเขาก็ต้องเอาลานข้างนอกให้หลัวเจิ้นซิ่งและภรรยาของเขา แค่ฟังก็วุ่นวาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเคลื่อนย้าย และนายท่านใหญ่คิดถึงบุตรชาย ลูกสะใภ้ก็เลยได้มาด้วย แล้วยังต้องไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษา หากสอบไม่ผ่านขึ้นมา จะอยู่ที่นี่สักห้าหกปีก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่เบียดอยู่ด้วยกันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี เขาจึงขอให้นายท่านสอง ซื้อเรือนสามหลังที่ตรอกกงเสียนในเป่าต้าฟัง
ดังนั้น นายหญิงใหญ่ที่ลงจากรถม้ามองดูต้นไหวที่สูงใหญ่สองต้นที่อยู่หน้าเรือน นางจึงมีสีหน้าไม่ค่อยดี
“เรือนหลังนี้ซื้อมาเท่าไร”
เรือนในตรอกเหล่าจวินถังของหวงหวาฟังเป็นของสาธารณะ ทุกคนต่างมีสิทธิ์อยู่อาศัย เดิมทีวงศ์สกุลสองรับราชการอยู่ที่จิงจง ดังนั้นจึงเอาเรือนหลังนี้ให้พวกเขาอยู่ แต่ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวง เช่นนี้คนบ้านนั้นก็ควรต้องย้ายออกมาสิ…ทำไมคนอื่นถึงต้องอยู่เรือนข้างนอก หรือว่าพวกเขาคิดว่าเรือนหลังนี้เป็นของตัวเองเช่นนั้นหรือ
หลัวเจิ้นซิ่งรู้ว่าท่านแม่ของตัวเองกำลังคิดอะไร เขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ทรัพย์สินเป็นของนอกกาย เราอยู่อย่างสุขสบายก็พอแล้วขอรับ”
นายหญิงใหญ่มองดูบุตรชาย สีหน้านางก็ค่อยๆ ดีขึ้น “ลูกๆ หลานๆ ไม่ได้ยินเสียงเรียกของพ่อแม่ ซิ่งเกอ นี่คือท่าทีของลูกผู้ชายที่ไม่ย่อท้อ ข้ามีบุตรชายเช่นเจ้า ทรัพย์สินก็เป็นของนอกกายจริงๆ”
หลัวเจิ้นซิ่งตอบกลับ “ลูกไม่ได้ดีอย่างที่ท่านแม่พูดขอรับ!”
นายหญิงใหญ่ยิ้มและไม่พูดไม่จา แต่สายตาที่มองบุตรชายของนางเต็มไปด้วยความภูมิใจ จากนั้นก็ให้เขาพยุงตัวเองเดินเข้าไป
ภรรยาของหลัวเจิ้นซิ่ง คุณนายใหญ่สกุลกู้อุ้มซิวเกอบุตรชายของเขาและพาอี๋เหนียงหก ลูกสะใภ้ และบ่าวรับใช้ มายืนรอที่หน้าประตูฉุยฮวา
เมื่อเห็นนายหญิงใหญ่ นางก็รีบเข้ามาต้อนรับ ซิวเอกก็กางแขนออกด้วยความตื่นเต้นแล้วตะโกนเรียก“ท่านย่า ท่านย่า”
นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มออกมาอย่างปิดไม่อยู่อีกต่อไป
นางรีบเดินไปข้างหน้า เอื้อมมือออกไปอุ้มซิวเกอเข้ามาไว้ในอ้อมแขน “ซิวเกอเด็กดี คิดถึงท่านย่าหรือไม่”
“คิดถึงขอรับ!” ซิวเกอวัยสี่ขวบตอบกลับมา กอดคอของนายหญิงใหญ่ไว้แน่น และเอาหน้าแนบคางของนาง
“เด็กดี” นายหญิงใหญ่ตบหลังหลานชายเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
อี๋เหนียงหกและคนอื่นๆ พากันเข้ามาคารวะนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่ตอบรับอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็อุ้มซิวเกอเดินเข้าไปข้างใน
คุณนายใหญ่รีบยื่นมือไปรับซิวเกอมา “ท่านแม่ ท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ ให้ข้าอุ้มซิวเกอเถิดเจ้าค่ะ!”
“ข้ายังไม่ถึงขั้นแค่เด็กคนเดียวก็อุ้มไม่ได้!” นายหญิงใหญ่อุ้มซิวเกอไว้แน่น ราวกับว่ากลัวใครจะมาแย่งเขาออกไปจากอ้อมแขนของตัวเอง
มือที่ยื่นออกไปของคุณนายใหญ่จึงพยุงแขนของนายหญิงใหญ่แทน “ลูกพยุงท่านเข้าไปนะเจ้าคะ” นางพูดและเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับนายหญิงใหญ่
บ่อปลาทอง ชั้นวางดอกไม้ โต๊ะและเก้าอี้หิน ต้นไม้ที่สูงใหญ่กว่าชายคาบ้าน แล้วยังมีหน้าต่างที่มีกระดาษสีแดงติดอยู่…ถึงแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว แต่ในเรือนอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น
มองออกไปอีก มีชายสวมเสื้อกั๊กสีฟ้าลายดอกไม้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่ใต้ชายคาเรือนหลัก
ผมของเขาสีดำ ผิวสีขาว ดวงตาเป็นประกาย รูปร่างสูงใหญ่ ดูจากไกลๆ ท่าทางไม่ธรรมดา ราวกับชายหนุ่มอายุเพียงสามสิบเจ็ดสามสิบแปด ช่างหล่อเหลา
เมื่อมองเห็นนายหญิงใหญ่ เขาก็พยักหน้าเบาๆ ยิ้มและทักทายว่า “มาแล้ว!”
นายหญิงใหญ่หรี่ตาลง เอาซิวเกอให้คุณนายใหญ่อุ้มแล้วเดินไปที่บันไดช้าๆ ย่อคำนับนายท่านใหญ่และเรียกเขาว่า“ท่านพี่”
ชายคนนี้ก็คือหลัวหวาจงนายท่านใหญ่ของสกุลหลัว
สืออีเหนียงยังคงจำความตกใจตอนที่นางเจอกับเขาครั้งแรกได้ นางคิดตัวเองจะได้เจอกับชายเฒ่าที่น่าเกรงขาม…ใครจะรู้เล่าว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนที่หล่อเหลา
นายท่านใหญ่เอ่ยถามภรรยาของตัวเองอย่างสุภาพ “ระหว่างทางปลอดภัยดีหรือไม่”
นายหญิงใหญ่คำนับและตอบกลับอย่างเคารพ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “อ้างชื่อเสียงของบุตรเขย ระหว่างทางเลยไม่ได้มีปัญหาอันใด”
นายท่านใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ส่งเสียง “อืม” เบาๆ ราวกับว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากไปกว่านี้ จากนั้นก็มองไปที่อู่เหนียงและสืออีเหนียงที่อยู่ด้านหลังนายหญิงใหญ่
พวกนางรีบเดินเข้าไปคำนับนายท่านใหญ่
นายท่านใหญ่มองดูพวกนางด้วยความตกใจ “ทำไมถึงได้โตเร็วเช่นนี้!”
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว สืออีเหนียงก็เอาเขาเข้าไปจัดอยู่ในกลุ่มของลูกเศรษฐีที่ขาดความรับผิดชอบ
นายหญิงใหญ่ได้ยินก็สายตาเย็นชาวาบขึ้นมา ป้าสวี่เห็นเช่นนี้ นางก็แอบถอนหายใจ จากนั้นก็รีบเข้าไปคำนับนายท่านใหญ่ทันที “คารวะนายท่านใหญ่เจ้าค่ะ!” เพื่อให้เขามองมาที่นางแทน
นายท่านใหญ่พยักหน้าให้ป้าสวี่เบาๆ และพูดกับนายหญิงใหญ่ “ทุกคนเหนื่อยกันแล้ว เข้าไปพักผ่อนเถิด!” พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินนำเข้าไปในเรือน
ทุกคนล้วนเดิมตามเขาเข้าไป
ทุกคนนั่งลงตามลำดับ สืออีเหนียงจึงได้มีโอกาสสังเกตของตกแต่งในเรือน
เครื่องเรือนสีดำ ผ้าม่านสีเขียว ดอกฤดูใบไม้ผลิสีเหลืองวางอยู่บนโต๊ะ ต้นฟู่กุ้ยเขียวขจีที่มุมห้อง ภาพวาดลายครามบนผนัง ทำให้เรือนเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและน่าสนใจ
สาวใช้สองสามคนยกชาขึ้นมาเบาๆ
จู่ๆ นายท่านใหญ่ก็ถามว่า “ทำไมสือเหนียงไม่มาด้วยล่ะ”
บรรยากาศในห้องพลันเงียบลง
นายหญิงใหญ่ยิ้มด้วยความเคารพ “โรคหอบหืดของนางกําเริบอีกแล้ว จึงไม่ได้พามาด้วยเจ้าค่ะ!”
นายท่านใหญ่ขมวดคิ้ว “บอกว่าดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงได้กําเริบอีก”
“สองสามปีมานี้ดีบ้างไม่ดีบ้าง ที่ข้ามาเยี่ยนจิงครั้งนี้ ข้าก็คิดว่าจะหาหมอดีๆ ไปรักษานาง” ท่าทางของนายหญิงใหญ่ไม่สะทกสะท้าน “ปล่อยไว้เช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี จะว่าไป ปีนี้นางก็สิบห้าแล้ว ต้องเริ่มหาคู่ครองแล้ว หากเขารู้ว่านางมีโรคนี้อยู่ เกรงว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดี”
นายท่านใหญ่พยักหน้าแล้วไม่พูดถึงสือเหนียงอีก แต่กลับถามอู่เหนียงว่า “การเขียนพู่กันของเจ้าเป็นเช่นไรแล้วบ้าง”
อู่เหนียงยืนขึ้นและตอบกลับอย่างเคารพ “เรียนท่านพ่อ ท่านแม่คอยสอนลูกฝึกเขียนเสมอเจ้าค่ะ”
นายท่านใหญ่มองไปที่นายหญิงใหญ่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่ของเจ้าเรียนหนังสือกับท่านตาของเจ้ามาตั้งแต่เด็ก นางเขียนพู่กันดีกว่าข้าเสียอีก เจ้าได้รับคำแนะนำจากท่านแม่ จะต้องรู้จักหวงแหน”
อู่เหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ก็ยิ้มขึ้นมา
จากนั้นนายท่านใหญ่ก็ถามสืออีเหนียง “ส่วนเจ้ายังเอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ในเรือนทุกวัน?”
สืออีเหนียงลุงขึ้นมาตอบกลับเขาด้วยความเคารพเหมือนอู่เหนียง “เจ้าค่ะ”
“ทำไมสีหน้าของเจ้าถึงแย่เช่นนี้ เมาเรือหรือ” นายท่านใหญ่มองหน้าสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ!”
“เมาเรือไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขึ้นฝั่งแล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้น!” นายท่านใหญ่หัวเราะ “เช่นนั้นวันหลังปักรองเท้าให้ข้าสักคู่ ให้ข้าดูว่าฝีมือปักของเจ้าเป็นเช่นไรแล้ว!”
สืออีเหนียงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม “เจ้าค่ะ”
นายท่านใหญ่มองนางแล้วส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า “อายุแค่นี้ ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ถามคำตอบคำ ระมัดระวังตัวมากเกินไปแล้ว!”
สืออีเหนียงหน้าแดงพูดไม่ออก
“เอาล่ะ” นายหญิงใหญ่พูดออกมา “ลูกๆ ไม่ได้เจอท่านนาน แต่ท่านกลับดุพวกนาง ใครจะกล้าผ่อนคลาย!”
นายท่านใหญ่ยิ้มและอยากจะพูดอะไรต่อ แต่กลับมีสาวใช้เข้ามารายงาน “นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ คุณชายใหญ่ คุณนายใหญ่ คุณหนูใหญ่ส่งคนมาคารวะนายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ!”
ทุกคนในห้องต่างตกใจ
นายหญิงใหญ่พึ่งจะมาถึงไม่นาน คนของคุณหนูใหญ่ก็มาถึงแล้ว…คุณชายใหญ่ส่งคนไปรายงานคุณหนูใหญ่เช่นนั้นหรือ
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่หลัวเจิ้นซิ่ง
หลัวเจิ้นซิ่งก็ตกใจ เขาพูดกับนายหญิงใหญ่ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ส่งคนไปรายงานพี่หญิง”
นายหญิงใหญ่มองไปที่นายท่านใหญ่
นายท่านใหญ่ก็ส่ายหน้า “ข้าคาดว่าพวกเจ้าต้องใช้เวลาสี่หรือห้าวันกว่าจะถึง…”
เช่นนั้นก็แสดงว่านางเฝ้าสังเกตเหตุการณ์ที่นี่อยู่ตลอด!
สีหน้าของนายหญิงใหญ่เคร่งขรึม นางบอกกับป้าสวี่ “เร็วเข้า รีบไปต้อนรับเข้ามา!”
ป้าสวี่ตอบรับและรีบออกไป ไม่ว่าจะเป็นนายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่ คุณชายใหญ่ หรือคุณนายใหญ่ ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม ไม่มีความรู้สึกดีใจที่ได้เจอกับญาติพี่น้องเลยสักนิด และทันใดนั้นในห้องก็เริ่มอบอวลไปด้วยความไม่สบายใจ
เด็กน้อยอ่อนไหวที่สุด ซิวเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของท่านแม่ตัวเองมองดูนายท่านใหญ่ จากนั้นก็มองไปที่นายหญิงใหญ่ด้วยท่าทางหวาดกลัว
อู่เหนียงเห็นเช่นนี้ นางจึงยิ้มและพูดเบาๆ “ท่านแม่ พี่หญิงใหญ่ช่างกตัญญูเสียจริง…นางตั้งหน้าตั้งตารอการมาของท่าน!”
นายหญิงใหญ่ยิ้ม “นางติดข้าตั้งแต่เด็ก!”
“ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่หญิงใหญ่จะเป็นเช่นไร!” อู่เหนียงยิ้มและพูดคุยกับนายหญิงใหญ่ “ว่าไปแล้ว ตอนที่พี่หญิงใหญ่แต่งงานข้ายังเด็กอยู่เลย…”
นางพูดยังไม่ทันจบ ป้าสวี่ก็พาหญิงที่สวมเสื้อกั๊กยาวลายดอกสีขาวเดินเข้ามา
หญิงผู้นี้ดูเหมือนจะอายุแค่สามสิบห้าสามสิบหกปี ผมสีดำหวีเป็นมวยอย่างเรียบร้อย เผยให้เห็นหน้าผากที่แวววาว
อู่เหนียงรีบหยุดพูดทันที
นางคุกเข่าและก้มหัวลงกับพื้น “บ่าวเถาซื่อ คารวะนายท่านใหญ่ คารวะนายหญิงใหญ่”
นายหญิงใหญ่นั่งตัวตรงแล้วอุทานเบาๆ นางพูดด้วยสีหน้าตกใจ “ที่แท้ก็เป็นป้าเถา!”
“บ่าวเองเจ้าค่ะ!” ป้าเถายืดตัวขึ้นแล้วก้มหัวให้กับนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่อีกสามครั้งดัง ปึกๆๆ จากนั้นก็พูดว่า “บ่าวคารวะนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่แทนฮูหยิน”
นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปพยุงป้าเถาลุกขึ้นด้วยตัวเอง “หยวนเหนียงของข้าสบายดีหรือไม่” ยังพูดไม่ทันจบนางก็น้ำตาคลอ
“สบายดีๆ สบายดีเจ้าค่ะ” ป้าเถาก็น้ำตาคลอ จับมือนายหญิงใหญ่ไว้แน่น “ฮูหยินสบายดี! แต่ว่าไม่ได้เจอนายหญิงใหญ่นานหลายปีแล้ว นางคิดถึงท่านเป็นอย่างมาก”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ นางก็น้ำตาหลั่งไหลออกมาราวสายฝน ทำให้ป้าเถากระวนกระวาย “บ่าวพูดผิดเองเจ้าค่ะ ทำให้นายหญิงใหญ่เสียใจ”
ป้าสวี่พูดปลอบอยู่ข้างๆ “นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทำไมนายหญิงใหญ่ถึงร้องไห้ล่ะเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่รีบเอาซิวเกอให้แม่นมที่อยู่ข้างๆ อุ้ม หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้าให้นายหญิงใหญ่ด้วยตัวเอง “น้ำตาแห่งความดีใจ น้ำตาแห่งความดีใจ ถึงแม้ว่าท่านจะดีใจ แต่ท่านก็ไม่ควรทำให้พวกเราตกใจเช่นนี้”
อู่เหนียง สืออีเหนียงและอี๋เหนียงหกก็รีบเข้าไปปลอบ “นายหญิงใหญ่อย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่รับผ้าเช็ดหน้าของคุณนายใหญ่มาเช็ดน้ำตาตัวเองด้วยความเขินอาย จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า “ข้าแก่แล้ว มักจะชอบรู้สึกเศร้า”
ทุกคนพากันหัวเราะ
ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินฝากบอกบ่าวให้มาเชิญนายหญิงใหญ่ไปที่จวนตอนบ่ายพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าท่านสะดวกหรือไม่ หรือท่านอยากเปลี่ยนเวลาหรือไม่เจ้าคะ”