ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 235 ถกเถียง(ต้น)
สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้าไปลาไท่ฮูหยินกับหลัวเจิ้นซิ่ง แล้วไปที่ตรอกกงเสียน
คุณนายใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ยืนรออยู่หน้าประตูฉุยฮวา เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามานางก็น้ำตาไหล “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้เช่นไร” จากนั้นก็คิดว่ามันไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกัน จึงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ไปที่เรือนหลักกับหลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่
นายท่านใหญ่นั่งอยู่ข้างเตียงนายหญิงใหญ่ เฉียนหมิงและอู่เหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง หลัวเจิ้นเซิงและคุณนายสี่ยืนอยู่ข้างหลังนายท่านใหญ่ ทุกคนล้วนแต่ทำสีหน้าเคร่งเครียด ทำให้บรรยากาศดูหดหู่
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา นายท่านใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองสืออีเหนียง “มาแล้วหรือ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ แต่สีหน้าของนายหญิงใหญ่กลับสับสน ทำเป็นมองไม่เห็นสืออีเหนียง ท่าทีเหม่อลอย ไม่รู้ว่านางกำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่
หลัวเจิ้นซิ่งและสืออีเหนียงเดินเข้าไปคำนับนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่
อู่เหนียงเดินเข้ามาจับมือสืออีเหนียง “เช่นนี้จะทำอย่างไร ลูกหลานก็ไม่มี”
คุณนายสี่ยกเก้าอี้มา “คุณหนูสิบเอ็ดทานข้าวแล้วหรือยัง นั่งพักก่อนเถิด” จากนั้นก็ย้ายเก้าอี้มาให้หลัวเจิ้นซิ่งที่มากับสืออีเหนียง
อู่เหนียงถึงได้มีสติกลับมา นางยิ้มแล้วพูดว่า “ดูข้าสิ เอาแต่เป็นห่วงน้องหญิงสิบ ลืมไปว่าน้องหญิงสิบเอ็ดจะทานข้าวแล้วหรือยัง…”
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเกรงใจกัน
สืออีเหนียงรีบพูดทันที “ข้าคิดว่าทุกคนคงจะยุ่ง จึงทานข้าวมาแล้วเจ้าค่ะ”
อู่เหนียงพยักหน้า
นายท่านใหญ่ก็พูดว่า “ทุกคนมาครบแล้ว เจิ้นซิ่ง เจ้าไปศาลว่าการมาแล้ว เจ้าเล่าสิว่ามันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
หลัวเจิ้นซิ่งเล่าเรื่องนี้อีกครั้ง
นายท่านใหญ่ได้ฟังก็สีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็ส่งเสียงเย้ยหยัน “…เห็นได้ชัดว่าเริ่นคุนเป็นคนฆ่าคนแล้วให้บ่าวรับใช้เป็นแพะรับบาป เรื่องพวกนี้ข้าเจอมานักต่อนักแล้ว” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ในเมื่อคุณนายสกุลหวังอยากเจอเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็พูดกับคุณนายสกุลหวังดีๆ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้เริ่นคุนลอยนวลเช่นนี้”
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เจ้าค่ะ”
เฉียนหมิงท่าทางอึกอัก
นายท่านใหญ่สังเกตไม่เห็น แต่นายหญิงใหญ่ที่เหม่อลอยอยู่ตลอดกลับพูดขึ้นมาว่า “ฟัง ฟังเฉียนหมิง…” ถึงแม้ว่าจะพูดออกมาอย่างยากลำบาก แต่นางก็พูดได้อย่างชัดเจน
ทุกคนตกใจแล้วมองไปที่เฉียนหมิง
เฉียนหมิงเองก็ตกใจเช่นกัน เขายังไม่ได้สติกลับมา
นายท่านใหญ่นึกถึงความเฉลียวฉลาดของเฉียนหมิง ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “ใช่สิ ใช่สิ เฉียนหมิง เจ้าฉลาดอยู่แล้ว เรื่องนี้เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
อู่เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย มองไปที่สามีของตัวเองด้วยรอยยิ้มที่ภาคภูมิใจ
ที่หลัวเจิ้นซิ่งเชิญเฉียนหมิงมาด้วยก็เพราะว่าอยากให้เขามาช่วยออกความคิดเห็น แต่เพราะว่านายท่านใหญ่ไม่พูดอะไร เขาจึงไม่กล้าทำเกินขอบเขตตัวเอง ตอนนี้ทั้งนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่ล้วนแต่บอกให้เฉียนหมิงช่วยออกความคิดเห็น จึงพูดด้วยความชอบใจ “น้อยเขยห้า ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าน้อยเขยสิบตายเช่นไร แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของน้องหญิงสิบ เกรงว่าคงต้องการความช่วยเหลือจากเราถึงจะผ่านพ้นไปได้ คนที่นั่งอยู่ที่นี่ไม่ใช่คนนอก มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เคยเห็นเจ้าเป็นคนนอกอยู่แล้ว”
เฉียนหมิงเป็นเพียงบุตรเขย แน่นอนว่าเขาย่อมมีความระมัดระวัง แต่ในใจของเขานั้นอยากจะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ต้องรู้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เกี่ยวข้องกับสกุลหวังของจวนเม่ากั๋วกงและสกุลหลัวแห่งอวี๋หัง แต่ยังเกี่ยวข้องกับสกุลเจียงแห่งเล่ออาน องค์หญิงฉังหนิง สกุลสวีของจวนหย่งผิงโหว แล้วยังเกี่ยวข้องกับสกุลเจียงแห่งตงหยาง…สำหรับคนอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สำหรับเขาแล้วนี่คือโอกาส หากจัดการได้ดี ตัวเองสามารถเป็นที่จดจำของคนในสกุลเหล่านี้ แต่หากจัดการได้ไม่ดี ก็มีหย่งผิงโหวยืนรับหน้าให้ไม่ใช่หรือ
ถึงแม้ว่าเขาจะคิดเช่นนี้ แต่เขากลับไม่พูดไม่จา เพราะว่ากำลังรอโอกาสที่เหมาะสม ตอนนี้หลัวเจิ้นซิ่งพูดขนาดนี้แล้ว แน่นอนว่าเขาต้องพูดออกมา แสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดสิ่งที่คิดไว้ในใจตั้งนานแล้ว “ข้าคิดว่าเรื่องนี้นั้นซับซ้อนอย่างมาก ในฐานะสกุลเดิมของน้องหญิงสิบ เราจะตามหาฆาตกรตัวจริงก่อนหรือว่าหาวิธีช่วยน้องหญิงสิบก่อนเล่า…หวังหลังตายไปแล้ว แน่นอนว่าคนของสกุลหวังกำลังเสียใจ กำลังวุ่นวาย แต่เมื่อสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะพิจารณาเรื่องลูกสะใภ้ที่เป็นม่ายและเรื่องลูกหลาน”
ภายในห้องพลันเงียบสงัด
เฉียนหมิงพูดอย่างอ้อมค้อม แต่ทุกคนเข้าใจดี เขากำลังเตือนทุกคนว่า อย่าพึ่งสนใจว่าใครเป็นคนฆ่าหวังหลัง ช่วยสือเหนียงก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“แต่ว่าหวังหลัง…” นายท่านใหญ่ยังคงลังเล
หลัวเจิ้นซิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าหวังหลังตายเพราะอะไร เขาก็รู้สึกกังวล เห็นท่าทีที่คลุมเครือของบิดาก็พลันนึกถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋บอกให้เขาช่วยดูนายท่านใหญ่ อย่าให้นายท่านใหญ่ถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือ จึงพูดโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น “หวังหลังตายเช่นไรเป็นเรื่องของศาลว่าการและสกุลหวัง ในฐานะสกุลเดิมของน้องหญิงสิบ เราต้องให้ความสำคัญกับชีวิตในอนาคตของน้องหญิงสิบ”
นี่คือคำพูดที่เฉียนหมิงต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นจวนเม่ากั๋วกงหรือว่าองค์หญิงฉังหนิง ล้วนทำให้พวกเขาไม่พอใจไม่ได้ แต่ก็จะไม่สนใจเรื่องนี้ไม่ได้ หากทำอะไรอย่างไม่มีจุดหมาย บางทีอาจจะทำให้จวนเม่ากั๋วกงและองค์หญิงฉังหนิงไม่พอใจ แล้วยังจัดการเรื่องของสือเหนียงไม่ได้ คนที่ตายก็ตายไปแล้ว ไม่สู้สนใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่ คิดหาวิธีช่วยสือเหนียงดีกว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หมายความของข้าก็คือวันนี้เราก็ไปไว้อาลัยให้เป็นพิธี” เฉียนหมิงพูดอย่างไม่รีบร้อน “ให้ความมั่นใจกับน้องหญิงสิบ ส่วนเรื่องของอนาคต ก็ต้องดูว่าสกุลหวังจะทำเช่นไรต่อไป”
หลัวเจิ้นซิ่งมองไปที่นายท่านใหญ่
นายท่านใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ
ทันใดนั้น ก้อนหินที่กองสุมอยู่ในใจของทุกคนก็ตกลงมาบนพื้น
“เช่นนั้นก็เตรียมตัว ไปจวนสกุลหวัง” หลัวเจิ้นซิ่งลุกขึ้นยืน
ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนตาม
คุณนายใหญ่กลับพูดว่า “น้องหญิงห้ากำลังตั้งครรภ์ ให้นางอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ที่จวนเถิดเจ้าคะ”
นายท่านใหญ่พยักหน้า จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็ไปเยี่ยมอี๋เหนียงเถิด สองสามวันนี้นางเอาแต่พูดถึงเจ้า”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่นายหญิงใหญ่
เห็นนายหญิงใหญ่หลับตาลงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
แต่นางไม่กล้าที่จะล่าช้า ตอบกลับ “เจ้าค่ะ” เบาๆ แล้วรีบไปที่เรือนของอี๋เหนียงห้า
อี๋เหนียงห้านางก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง น้องหญิงหกดูแลข้าเป็นอย่างดี ซานหูก็มาเยี่ยมข้าบ่อยๆ แล้วยังมีคุณนายสี่ นางกำลังช่วยข้าตัดเสื้อ…” พูดจบก็ทำสีหน้าเศร้า “คิดไม่ถึงว่าสือเหนียงอายุแค่นี้ก็กลายเป็นม่าย ต่อไปนางคงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พวกเจ้าอยู่ที่เยี่ยนจิงเหมือนกัน หากไม่มีอะไรทำก็ต้องไปเยี่ยมนางบ่อยๆ”
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเห็นว่าสีหน้าของนางดีกว่าครั้งก่อนไม่น้อยก็วางใจ จากนั้นพลันนึกถึงอคติที่สือเหนียงมีต่อนาง จึงพูดอย่างคลุมเครือว่า “ประเดี๋ยวเราจะไปไว้อาลัยที่สกุลหวัง ท่านพ่อบอกให้ข้ามาหาท่าน ข้าอยู่นานไม่ได้ หากท่านมีเรื่องอันใดหรือว่าขาคแคลนสิ่งใดก็บอกให้อี๋เหนียงหกไปรายงานข้า”
“เช่นนั้นเจ้ารีบไปเถิด” อี๋เหนียงห้าพยักหน้าแล้วไปส่งนางที่ประตู “เจ้าเป็นเด็ก อย่าให้คนอื่นต้องรอ”
สืออีเหนียงรีบเดินไปที่เรือนหลักเพื่อขึ้นรถม้าพร้อมกับทุกคนที่ประตูฉุยฮวา
รถม้าของสกุลหลัวมีแค่คันเดียว อู่เหนียงนั่งเสลี่ยงมา สืออีเหนียงพาสาวใช้มาด้วยตามกฎของสกุลสวี ดังนั้นจึงนั่งรถม้าคันใหญ่และคันเล็กมาสองคัน คนที่ไปสกุลหวัง นอกจากหลัวเจิ้นซิ่ง หลัวเจิ้นเซิง เฉียนหมิงแล้วยังมีคุณนายใหญ่ สืออีเหนียง คุณนายสี่ หากนั่งรถม้าเป็นคู่สามีภรรยา สืออีเหนียงและเฉียนหมิงก็จะไม่มีที่นั่ง จึงต้องแบ่งเป็นชายและหญิง
คุณนายสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่นั่งรถม้าคันหนึ่ง ข้าและคุณหนูสิบเอ็ดนั่งอีกคันหนึ่ง ส่วนท่านเขยห้านั่งกับคุณชายสี่ของเราดีหรือไม่เจ้าคะ”
แบ่งเช่นนี้สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
ทุกคนไม่คัดค้าน คุณนายสี่ประคองสืออีเหนียงขึ้นรถม้า รถม้าของสกุลหลัวอยู่ข้างหน้า รถม้าคันใหญ่ของสืออีเหนียงอยู่ตรงกลาง คันเล็กตามมาข้างหลัง มุ่งตรงไปจวนสกุลหวัง
ระหว่างทาง คุณนายสี่พูดคุยกับสืออีเหนียง
“คุณนายสิบจะลำบากก็ลำบากตรงที่แต่งงานกับสกุลขุนนาง!”
สืออีเหนียงนึกถึงเมื่อครู่ที่คุณนายสี่เป็นคนจัดแจงรถม้าด้วยตัวเอง แล้วยังประคองตัวเองขึ้นรถม้า นางก็ตกใจ รับรู้ได้ว่านางอยากจะพูดบางอย่างกับตน
เจ้ามอบมะละกอให้ข้า ข้ามอบหยกที่สวยงามตอบแทนเจ้า
ในเมื่อนางไว้หน้าตนเมื่ออยู่ต่อหน้าอี๋เหนียง ตนก็ไม่ควรทำให้นางเสียหน้า
สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วมองคุณนายสี่ ทำท่าทีตั้งใจฟัง
คุณนายสี่ยิ้ม “สกุลขุนนาง ให้ความสำคัญกับบุตรหลาน ให้ความสำคัญกับตำแหน่ง” นางพูด “ตอนนี้น้องเขยสิบไม่อยู่แล้ว แล้วยังไม่มีทายาทเป็นของตัวเอง ต่อไปจะทำเช่นไร เกรงว่าสุดท้ายก็ต้องไปขอร้องท่านโหว คุณหนูสิบเอ็ดเองก็ต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ”
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าคุณนายสี่จะพูดเช่นนี้
เมื่อวานสืออีเหนียงลองคิดดูแล้ว
ไม่ว่ายุคไหนล้วนต้องมีความสามาร สกุลหลัวต้องช่วยให้สือเหนียงมีสิทธิที่จะรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และสือเนียงจะรับใครมาเลี้ยงในนามของตัวเอง จะเลี้ยงเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับสกุลหลัว หากสกุลหลัวช่วยสือเหนียงไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ ชะตากรรมของสือเหนียงก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่น
แต่เฉียนหมิงเตือนสติทุกคนได้ทันเวลา สกุลหลัวต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และคุณนายสี่ก็กำลังเสนอวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ล้วนแต่เป็นคนฉลาด เจอกับปัญหาก็ใจเย็น พิจารณาอย่างรอบคอบ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าจ้องมองคุณนายสี่
คุณนายสี่มองมาที่นางด้วยสายตาที่มีรอยยิ้ม
วิธีที่ดีที่สุดในการพูดคุยกับคนฉลาดก็คือการพูดตรงๆ
“แต่ปัญหาคือ เมื่อวานท่านโหวพึ่งจะลาออกตำแหน่ง” เรื่องนี้ สืออีเหนียงไม่ค่อยมั่นใจ
สวีลิ่งอี๋ให้ความสำคัญกับสกุลของตัวเองมากกว่าอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้เขากำลังซ่อนความสามารถของตัวเองเอาไว้อยู่ คงไม่ออกหน้าให้สืออีเหนียง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีความคับข้องใจระหว่างสกุลสวีและสกุลหวัง
คุณนายสี่พึ่งจะได้ยินเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ลาออกจากตำแหน่งเป็นครั้งแรก จึงทำสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพยักหน้าให้นาง เน้นย้ำอีกครั้งว่า “เมื่อวานท่านโหวพึ่งจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบ สีหน้าของคุณนายสี่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ไม่มีสิ่งใดคงเดิมได้ตลอด คุณหนูสิบเอ็ดไม่ต้องเสียใจไป” นางรีบปลอบใจสืออีเหนียง “มีป่าเขา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีฟืน ยิ่งไปกว่านั้นท่านโหวอายุยังน้อย องค์ชายสองสามพระองค์ก็กำลังเติบโต ยังมีโอกาสอีกตั้งมากมาย” นางพูด “ได้ยินมาว่าท่านโหวเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ จะได้ถือโอกาสนี้พักผ่อน คุณหนูก็จะได้ไม่ต้องลำบาก ถือเป็นเรื่องที่ดี”
หากเป็นเมื่อก่อน สืออีเหนียงคงคิดแค่ว่าคุณนายสี่นั้นไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้นางมองคุณนายสี่เปลี่ยนไปแล้ว
จัดการเรื่องราวได้ชำนาญเช่นนี้ พูดจาได้เหมาะสมเช่นนี้ หลัวเจิ้นเซิงได้แต่งงานกับนาง เขาช่างมีวาสนาเสียจริง
สืออีเหนียงนึกถึงหลัวเจิ้นเซิงที่ไร้ความสามารถ ก็เสียดายและเห็นใจนาง
“ขอบพระคุณพี่สะใภ้สี่เจ้าค่ะ!” นางเอ่ยขอบคุณคุณนายสี่ด้วยความจริงใจ “ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ให้ท่านโหวได้มีโอกาสผักผ่อนเสียบ้าง”