ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 234 ความเป็นความตาย(ปลาย)
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจความหมายข้างในนั้น
ฮ่องเต้เริ่มแสดงความไม่พอใจต่อสกุลโอวตั้งแต่ถ้วยชาถ้วยแรกของหวงกุ้ยเฟย มาถึงจุดสูงสุดเมื่อเชิญหวังจิ่วเป่าเข้ามาในเมืองหลวง และโอวหยางหมิงที่อยู่กับองค์ชายใหญ่อยู่ตลอด ก็ยังคงเป็นขุนนางที่ฮ่องเต้ทิ้งไว้ให้องค์ชายใหญ่ เช่นนี้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่องค์ชายห้าเสียชีวิตไป ฮ่องเต้ก็ได้เริ่มวางแผนไว้แล้ว
แต่แค่ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงวางแผนกับสกุลสวีไว้เช่นไร
คิดเช่นนี้ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจได้ว่าเหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอทุกเรื่อง
เขาหวังว่าผ่านเหตุการณ์เรื่องของเด็กไปแล้ว จะสามารถทำให้ฮ่องเต้ประเมินสกุลสวีใหม่ หาคนที่ขัดขวางสกุลโอวเจอ ทำให้ข่าวลือของสกุลสวีสงบลง นางก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องยุ่งวุ่นวายพวกนี้อีก จะได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขสักสองสามวัน
นางถอนหายใจในใจ จากนั้นก็ถามถึงหวังหลัง “ท่านโหวเจ้าคะ ใครคือฆาตกร”
สืออีเหนียงคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน
สวีลิ่งอี๋ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรนาง แต่ตอนที่เขาเล่าเรื่องการตายของหวังหลังเขากลับใช้ภาษาที่กระชับ มีแค่คนที่อยากปิดบังบางอย่างถึงจะพูดจาเช่นนั้น เพราะว่ายิ่งพูดน้อยที่สุดก็จะมีข้อบกพร่องน้อยที่สุด
สวีลิ่งอี๋รู้ว่าภรรยาตัวน้อยของตัวเองคนนี้เป็นคนฉลาด เขาไม่ได้อยากจะปิดบังนาง แต่แค่เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากพูดต่อหน้าไท่ฮูหยิน ทำให้สืออีเหนียงเสียหน้า
“หวังหลังตายที่หอนางโลม” เขามองไปที่สืออีเหนียงแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “คาดว่าฆาตกรคือเริ่นคุน”
สืออีเหนียลุกพรวดขึ้นมา
นางน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ศาลว่าการคือสถานที่แบบใด คือที่ที่ดูแลเยี่ยนจิง ใครที่สามารถเอะอะโวยวายเอาเรื่องได้ ใครที่ต้องคอยระมัดระวัง ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพวกเขา รีบวิ่งมารายงานสวีลิ่งอี๋เช่นนั้น มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน
ไม่แปลกใจที่ตอนนั้นสวีลิ่งอี๋พูดจาคลุมเครือเช่นนั้น
หากไท่ฮูหยินรู้ว่าหวังหลังตายที่หอนางโลม มาตกรคือเริ่นคุน ตัวเองคงจะเสียหน้า
ด้านหนึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของพี่สาวที่ฮ่องเต้นับถือมากที่สุด อีกด้านหนึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นทายาทจวนเม่ากั๋วกงที่ไม่มีอำนาจแต่กลับเป็นสกุลญาติของฮองเฮา ตอนนี้เกรงว่าศาลว่าการคงจะนอนไม่หลับ
“คาดว่าฆาตกรคือเริ่นคุนหมายความว่าอะไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มอย่างขมขื่นให้สืออีเหนียง “ได้ยินศาลว่าการบอกว่า วันก่อนหวังหลังดื่มสุรากับสหายสองสามคนที่หอนางโลม ดื่มไปค่อนข้างมากจึงค้างคืนที่นั่น ทานข้าวกลางวันเสร็จแล้วกำลังจะออกไป เริ่นคุนก็เข้ามาพอดี เขาเห็นบ่าวที่รับใช้หวังหลังก็ยิ้มแล้วพยักหน้า บอกว่ามีเรื่องจะพูดกับหวังหลังสองต่อสอง
หวังหลังยิ้มอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า ระหว่างเรามีอะไรที่พูดตรงนี้ไม่ได้
สุดท้ายสีหน้าของเริ่นคุนก็ซีดลง เตะบ่าวรับใช้คนนั้นออกไปก่อน จากนั้นก็หันไปปิดประตูอย่างแรง
ตอนแรกได้ยินแค่เสียงพูดคุยกันเบาๆ ในห้อง ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังหลังก็เริ่มตะโกนเสียงดังขึ้น
เพราะว่านอกห้องมีบ่าวรับใช้ของหวังหลังและเริ่นคุนเฝ้าอยู่ คนอื่นจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้
เมื่อถึงยามโหย่ว คนในหอนางโลมเห็นว่ามันสายแล้ว จึงเตรียมอาหารและสุราเข้าไปให้
ใครจะรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูหายไปหมดแล้ว พอเปิดประตูออกก็เห็นหวังหลังนอนอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด บ่าวรับใช้คนหนึ่งของสกุลเริ่นกำลังนั่งถือมีดสั้นเปื้อนเลือดอยู่ในมือ
เมื่อเขาเห็นคนเข้ามา ก็ค่อยๆ ยืนขึ้นแล้วบอกว่าหวังหลังติดเงินคุณชายของพวกเขาไม่ยอมคืน คุณชายของพวกเขามาทวงก็ยังไม่ยอมคืนแล้วยังพูดจาน่ารังเกียจเช่นนี้ คุณชายโมโหออกไปแล้ว แต่เขามีปากเสียงกับหวังหลังเพราะความโมโห หวังหลังโมโหแล้วด่าว่าทุบตีเขา ท่ามกลางความโกลาหล เขาจึงพลั้งมือฆ่าคน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณชายของเขา เขาจะยอมไปมอบตัวที่ศาลว่าการ”
สืออีเหนียงตกใจ
ตอนนั้นที่หวังหลังดูถูกบุตรชายขุนนางศาลพลเรือน บอกว่าคนอื่นไม่ยอมใช้หนี้ ตอนนี้เขาถูกฆ่าตาย แล้วยังถูกใช้ข้ออ้างที่ว่าไม่ยอมใช้หนี้ หรือว่าบนโลกใบนี้มีพระเจ้าจริงๆ?
“ชายในหอนางโลมคนนั้นมาแจ้งความด้วยความหวาดกลัว บ่าวรับใช้คนนั้นก็รอคนของศาลว่าการมา” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเอือมระอา “แม้แต่แส้ยังไม่ได้เฆี่ยน เขาก็ยอมรับทุกอย่าง แล้วยังนำหลักฐานการยืมเงินของหวังหลังและเริ่นคุนออกมา”
“แล้วบ่าวรับใช้ที่ไปกับหวังหลังล่ะเจ้าคะ”
“บอกว่าปกติหวังหลังกับเริ่นคุนมักจะไปเที่ยวเล่นด้วยกัน ได้ยินหวังหลังด่าเริ่นคุน พวกเขาก็รู้สึกอึดอัด บ่าวรับใช้ของเริ่นคุนจึงเชิญพวกเขาไปดื่มสุราที่ห้องข้างๆ พวกเขาจึงเดินออกไป จนถึงได้ยินว่ามีคนตาย ศาลว่าการมาจับฆาตกรถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหวังหลัง
แล้วยังถามบ่าวรับใช้ของเริ่นคุน บอกว่าหวังหลังด่าเขาอย่างไม่น่าฟัง เพื่อศักดิ์ศรีของคุณชายพวกเขา จึงหลอกล่อให้บ่าวรับใช้ของสกุลหวังออกไปดื่มสุราห้องข้างๆ
ศาลว่าการยังถามคนในหอนางโลม มีคนเห็นเริ่นคุนออกไปเมื่อยามเซินถึงยามโหย่ว ท่าทีปกติ ไม่มีความผิดปกติอะไร”
“คนเดียวที่น่าสงสัยว่าคือฆาตกร ก็คือบ่าวรับใช้ของเริ่นคุน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำได้แค่สงสัยเท่านั้น!”
สวีลิ่งอี๋ลังเล “แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ศาลว่าการตรวจสอบมีดสั้นเล่มนั้น ในเมื่อเป็นอารมณ์ชั่ววูบแล้วยังฆ่าคนโดยไม่ได้ตั้งใจ หากใช้เก้าอี้หรือว่าแจกันทุบก็เป็นเรื่องปกติ แต่ใช้มีดสั้น มันไม่ปกติ ยิ่งไปกว่านั้นหวังหลังถูกแทงไปสามสิบเจ็ดครั้ง ในนั้นมียี่สิบเอ็ดจุดที่แทงเข้าจุดสำคัญ บอกว่าไม่ได้ตั้งใจฆ่า มันคงทำให้ผู้คนสงสัย”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง
“หากไม่ใช่เพราะบาดแผลถูกแทงพวกนี้ คำพูดของบ่าวรับใช้คนนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยจริงๆ” สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด “ตอนที่ศาลว่าการมารายงานข้า พวกเขาก็ส่งคนไปรายงานที่จวนเม่ากั๋วกงเช่นกัน พวกเราไม่ใช่ผู้เสียหาย เรื่องบางเรื่องจะออกหน้าแทนไม่ได้ คงต้องดูว่าสกุลหวังจะทำเช่นไร!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบหวังหลังอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ฟังจากน้ำเสียงของเขา กลับมีความหมายว่าจะออกหน้าให้หวังหลัง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนใจ แต่สำหรับสืออีเหนียงแล้ว คนอย่างหวังหลังตายไปก็ไม่น่าเสียดาย มันไม่คุ้มที่จะให้ใครไปร้องขอให้เขา หากศาลว่าการหาฆาตกรเจอ นั่นก็หมายความว่าหวังหลังโชคดี หากหาฆาตกรไม่เจอ นั่นก็คือบาปกรรมของเขา
“ท่านโหว ตอนนี้ข้าแค่เป็นห่วงพี่หญิงสิบ” นางบอกสวีลิ่งอี๋เป็นนัย “พี่หญิงสิบพึ่งจะแต่งเข้าไปได้ไม่นาน แล้วยังไม่ได้มีบุตรให้พี่เขยสิบ ตอนนี้พี่เขยสิบก็เสียชีวิตไปเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสกุลหวังจะจัดการพี่หญิงสิบเช่นไรเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ยินยอมออกหน้าให้ก็เพราะว่าสืออีเหนียง
ในเมื่อนางคือภรรยาของตัวเอง เรื่องที่เขาสามารถช่วยได้เขาก็จะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่น มันเกี่ยวข้องกับเรื่องของสกุล คนนอกอย่างเขาจะเข้าไปยุ่งได้เช่นไร
สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้าลำบากใจ “เราเป็นแค่สกุลญาติ… เรื่องนี้ เกรงว่าคงต้องลำบากเจิ้นซิ่ง หากต้องการสิ่งใด ข้าช่วยพูดให้ได้ไม่มีปัญหา”
สืออีเหนียงจะไม่รู้ได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่ได้หมายความเช่นนั้น เมื่อได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้นางก็รีบพูดว่า “ข้าเพียงอยากกลับไปสกุลเดิม ไปรายงานพี่ใหญ่และปรึกษาว่าจะทำเช่นไรเจ้าค่ะ”
สือเหนียงแต่งเข้าไปในสกุลหวัง คนของสกุลหวังจะคิดเช่นไรไม่รู้ หากคนของสกุลหลัวไปเยี่ยมสือเหนียง ถึงแม้ว่าคนของสกุลหวังจะไม่ชอบหน้าสือเหนียง แต่พวกเขาก็ต้องนึกถึงตน
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” สวีลิ่งอี๋พูด “ข้าส่งคนไปรายงานเจิ้นซิ่งตั้งแต่ออกมาจากศาลว่าการแล้ว ตอนนี้เขาคงจะรู้เรื่องแล้ว”
สืออีเหนียงโล่งใจ เห็นว่าตัวเองเอาแต่พูดกับสวีลิ่งอี๋จนลืมเติมน้ำร้อนให้เขา จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปเติมน้ำร้อนลงในอ่างแช่เท้า
สวีลิ่งอี๋พูดกับนาง “คดีของหวังหลังตอนนี้ยังพูดอะไรไม่ได้ เกรงว่าคงจะต้องปวดหัว ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่ต้องพูดอะไร จะได้ไม่ทำให้คนอื่นคิดเองเออเอง ทำให้คนอื่นคิดว่าสกุลสวีแต่งเรื่องขึ้นมา”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แน่นอน”
พวกเขาสองคนปรึกษากันเรื่องที่จะไปแสดงความเสียใจที่จวนสกุลหวัง จากนั้นก็พักผ่อน
เช้าวันต่อมา ทุกคนต่างก็รู้เรื่องของหวังหลัง ก็ถือว่าเรื่องนั้นสงบลงแล้ว
ยามเที่ยง หลัวเจิ้นซิ่งก็มา
สีหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า เข้าไปพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ที่ห้องหนังสือ
“ได้ยินมาว่าฮ่องเต้เรียกหวังจิ่วเป่าเข้ามาในเมืองหลวง เพื่อมาหารือเรื่องการห้ามชาวต่างแดนเข้ามาทำกิจการตามแนวชายฝั่ง หากท่านโหวออกไปตอนนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า
หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนฉลาด
“เจ้าคิดได้เช่นนี้ก็ดี” เขายิ้ม “ข้ายังกลัวว่าเจ้าจะเข้าไปยุ่ง” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากในฝูเจี้ยน ฝั่งพ่อตา เจ้าต้องดูแลเขาหน่อย อย่าให้ใครมายุยงเขาได้”
หลัวเจิ้นซิ่งตกใจ
เขายังคิดไม่ถึงเรื่องนี้
นั่นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ สวีลิ่งอี๋จึงพูดอะไรมากไม่ได้ พูดถึงตรงนี้เขาก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าเห็นว่าเจ้าสีหน้าไม่ค่อยดี เรื่องของสกุลหวังมีอะไรทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”
“วันนี้ข้าไปเยี่ยมน้องหญิงสิบแต่เช้า” หลัวเจิ้นซิ่งมาเพราะเรื่องของสกุลหวัง ตอนนี้สวีลิ่งอี๋ลาออกจากตำแหน่งแล้ว เขาไม่อยากพูดถึงเรื่องของราชสำนักมากเกินไป แน่นอนว่าเขาไม่มีทางทำลายสิ่งดีงามอย่างไม่ควร แต่ต้องพูดเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ เขาจึงทำเป็นคล้อยตามคำพูดของสวีลิ่งอี๋แล้วตอบว่า “เจอกับเจียงฮูหยิน ผู้ดูแลคนหนึ่งของเจียงฮูหยินพึ่งกลับมาจากศาลว่าการ ได้ยินน้ำเสียงของเขา การตายของน้องเขยสิบมีลับลมคมใน เจียงฮูหยินส่งคนไปยังไท่หยวน ไปเชิญอาจารย์ที่คุ้นเคยกับคดีอาชญากรรมมา แล้วยังให้ข้ามาบอกท่านโหว ถามว่าขอเจอกับน้องหญิงสิบเอ็ดได้หรือไม่” พูดจบเขาก็มองมาที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่มีความลังเล
ต้องรู้ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์หญิงฉังหนิง
สือเหนียงเป็นน้องสาว สืออีเหนียงก็เป็นน้องสาวเช่นกัน ทำให้สืออีเหนียงลำบากใจเพื่อสือเหนียง เขาก็ลำบากใจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น หวังหลังคนนั้นยังเป็นคนประพฤติตัวไม่ดี ทำให้สือเหนียงต้องทรมานตั้งมากมาย แต่เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของสือเหนียงตอนนี้ หากสกุลเดิมไม่พูดอะไรเลย เกรงว่าต่อไปนางคงจะยืนอยู่ในสกุลหวังไม่ได้อีกแล้ว
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่ลังเล “เช่นนั้นเจ้าก็ไปปรึกษากับสืออีเหนียงถิด ดูว่าเมื่อไรดี เชิญเจียงฮูหยินมานั่งที่จวน”
เขารู้จักเริ่นคุนเป็นอย่างดี
ความสัมพันธ์ของเขาและฉังหนิงก็ดี
ตอนที่ฮ่องเต้สนับสนุนอย่างลับๆ องค์หญิงฉังหนิงก็มักจะไปหาเขาอยู่บ่อยๆ
ตอนนี้คนของสกุลหวังอยากเจอเขา แน่นอนว่าพวกเขาอยากมาฟังความเห็นของเขา เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าสกุลหวังจะทำเช่นไร หากสามารถเป็นผู้สร้างสันติได้ มันก็คงจะดีกว่าสองสกุลถกเถียงกันจนกลายเป็นตัวตลกให้กับคนในเยี่ยนจิง เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างหวังหลังกับเริ่นคุนก็ไม่ได้ดีมากนัก
เห็นว่าเขารับปากง่ายๆ เช่นนี้ หลัวเจิ้นซิ่งกลับรู้สึกไม่สบายใจ “เช่นนั้น ข้าลองดูก่อนว่าเจียงฮูหยินจะทำเช่นไร หากทำให้สืออีเหนียงลำบากใจเกินไป ก็บอกว่าช่วงนี้ท่านโหวอารมณ์ไม่ดี ไม่ต้อนรับแขก คิดว่าเจียงฮูหยินก็คงจะเข้าใจ”
“ไม่เป็นไร!” หากเจียงฮูหยินทำเกินไป สวีลิ่งอี๋ก็เชื่อว่าสืออีเหนียงจะรับมือได้อย่างแน่นอน