ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 232 ความเป็นความตาย(ต้น)
พระราชพิธีอันตระการตา ดอกไม้ไฟในท้องฟ้ายามราตรีช่างงดงาม แต่ในฐานะผู้ที่มาเข้าร่วม สืออีเหนียงหวังว่าเรื่องนี้จะจบลงโดยเร็ว นางไม่ได้เป็นคนที่มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้เช่นเดียวกับฮ่องเต้และฮองเฮา และไม่ได้รับความเมตตาเป็นพิเศษเหมือนไท่ฮูหยิน ต้องยืนดูดอกไม้ไฟด้วยความหิวโหยท่ามกลางลมหนาวช่างเป็นเรื่องน่าเศร้า ยิ่งไปกว่านั้นในใจก็เอาแต่คิดถึงสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ที่อยู่ที่จวน
กว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลานี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาทรงกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักด้านใน ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไป ตลอดทางมีแสงไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน ผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ต้องเปลี่ยนเส้นทางอ้อมไปกว่าครึ่งชั่วยามกว่าจะกลับถึงจวน ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปหมด มีเพียงสวีลิ่งอี๋ที่ยังคงมีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่า
หู่พั่วเดินตามคุณชายสามและฮูหยินสามมาต้อนรับสืออีเหนียง เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็รีบเข้าไปต้อนรับนาง ประคองนางพลางพูดเสียงเบาว่า “ฮูหยินวางใจได้ คุณชายทั้งสามพักผ่อนอยู่ที่ห้องของไท่ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถอนหายใจยาว นางรวบรวมสมาธิแล้วพาไท่ฮูหยินกลับห้อง เมื่อนางเห็นทั้งสามคนด้วยตาของตัวเองจึงวางใจแล้วกลับมาที่เรือนกับสวีลิ่งอี๋
นางรีบบอกเขาทันทีเรื่องที่หวงกุ้ยเฟยถูกตำหนิและเรื่องที่ได้พบกับฮูหยินของเริ่นคุนนามว่าเจียงจิ่นขุย
เรื่องของเจียงจิ่นขุย สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้คงทำอะไรไม่ได้ ทุกคนต่างก็เกี่ยวข้องกัน ย่อมต้องมีวันที่ได้พบเจอกัน ประพฤติตัวให้เหมาะสมก็พอแล้ว” ส่วนเรื่องที่หวงกุ้ยเฟยถูกตำหนิเขาก็เพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะบอกเป็นนัยๆ ถึงฝ่ายตุลาการ แต่อย่างไรก็ตามวันที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่งถึงจะหมดเทศกาล ก่อนหน้าวันนั้นฮ่องเต้ไม่ควรแสดงท่าที ต่อให้มีเรื่องอันใดก็ควรจะดำเนินการหลังจากนั้นสามวัน”
สืออีเหนียงพยักหน้า จัดเตียงแล้วพักผ่อนพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
เช้าวันรุ่งขึ้นไปหาไท่ฮูหยิน ได้พบกับสวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ที่มาคารวะไท่ฮูหยิน พวกเขายิ้มแล้วเล่าเรื่องที่อยากจะปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ออกไปดูโคมไฟ “…ยังกลัวว่าพวกเจ้าจะไม่เชื่อฟัง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสุภาพบุรุษที่รักษาสัญญา เมื่อวานก็อยู่จวนไม่ได้ออกไปไหน” ไม่ได้บอกว่านี่เป็นความคิดของสวีซื่ออวี้
เมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังก็ตกใจ
สวีซื่อฉินใบหน้าแดงก่ำ “เดิมเป็นความผิดของพวกเราเอง คำพูดของอาสะใภ้สี่ทำให้ข้ารู้สึกละอายใจจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน”
สวีซื่ออวี้เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย
ฮูหยินสามก็พาสวีซื่อเจี่ยนมาคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินเก็บความสงสัยไว้ในใจ รอจนฮูหยินสามไปแล้ว นางก็ให้เด็กๆ ไปเล่นกันที่ห้องจุนเกอ แล้วจึงถามสืออีเหนียงว่า “…เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่มาปรึกษาข้า”
สืออีเหนียงบอกถึงเหตุและผล “…เพราะว่าได้สัญญากับเด็กๆ ไว้แล้วหากกลับคำก็จะสูญเสียความเชื่อถือ แต่ถ้าหากไม่รับปากเรื่องก็จะยิ่งรุนแรง” จากนั้นนางก็บอกไท่ฮูหยินเกี่ยวกับการวางแผนในเวลานั้น
นางเลือกที่จะบอกเจตนาของตัวเองในเวลานี้
เทศกาลโคมไฟจะจัดถึงวันที่สิบเจ็ดเดือนหนึ่ง ยังเหลือเวลาอีกสองวันก่อนที่เทศกาลโคมไฟจะสิ้นสุดลง หากสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ล้มเลิกแผนการนี้จริงๆ เช่นนั้นคำพูดนี้ของนางก็เหมือนกับเล่าเรื่องให้ไท่ฮูหยินฟัง ให้ไท่ฮูหยินรู้สึกขบขัน แต่หากสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ยังไม่ล้มเลิกแผนการนี้ สองวันสุดท้ายจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ประการที่หนึ่งคนที่คอยจับตาดูพวกเขาเห็นว่าพวกเขาอยู่ในจวนอย่างเชื่อฟังมาตลอดจึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง ประการที่สองเวลาที่ทุกคนตกลงกันไว้คือช่วงเทศกาลโคมไฟ ไม่ได้กำหนดวันเวลาที่แน่นอน หากพวกเขาออกไปก็ไม่ถือว่าผิดคำสัญญา ในทางกลับกันสืออีเหนียงใช้ประโยชน์จากตรงนี้คิดหาวิธีป้องกันในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง จากนั้นก็นำเรื่องราวมาเล่าให้ไท่ฮูหยินฟัง ประการแรกก็เพื่อไม่ให้ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเด็กๆ ประการที่สองเมื่อไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีวิธีจัดการกับเด็กๆ ประการที่สามเมื่อนำเรื่องนี้บอกแก่ไท่ฮูหยินแล้ว หากเกิดเหตุพลาดพลั้งขึ้นตัวเองก็จะปัดความรับผิดชอบได้
ไท่ฮูหยินได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย
ถึงอย่างไรสืออีเหนียงก็พึ่งเข้ามาใหม่ มีบางเรื่องที่ไม่สามารถล้ำเส้นได้ เช่นนี้ก็ดี ทั้งเป็นการเห็นแก่หน้าเด็กๆ แต่ก็ไม่ถึงกับปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจ สืออีเหนียงพิจารณาอย่างรอบคอบเช่นนี้ ไท่ฮูหยินจึงได้รู้สึกวางใจ
“ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี” นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจ “ในเมื่อพวกเขาอยากจะออกไปเที่ยวเช่นนี้…” นางกำชับป้าตู้ “ไปเรียกพ่อบ้านไป๋เข้ามา ให้เขาส่งคนไปดูแลคุณชายทั้งสามออกไปเดินเล่นที่ตลาดโคมไฟ”
ผลลัพธ์นี้ทำให้สืออีเหนียงประหลาดใจมาก รีบให้หู่พั่วไปบอกข่าวนี้กับสวีซื่อฉินและคนอื่นๆ
เมื่อได้รับข่าวเด็กๆ ก็พากันวิ่งออกมากล่าวขอบคุณพลางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ จุนเกอผละตัวออกจากอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน “ข้าก็อยากไป ข้าก็อยากไป!”
สวีซื่อเจี้ยดึงกระโปรงสืออีเหนียง ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ
ใครๆ ก็ไปได้ ยกเว้นจุนเกอ แปดถึงเก้าในสิบส่วนไท่ฮูหยินไม่มีทางตกลงแน่ๆ
นางครุ่นคิดพลางกอดสวีซื่อเจี้ย ได้ยินเสียงที่หนักแน่นของไท่ฮูหยิน “เจ้าไปอยู่ที่เรือนกับท่านแม่และน้องห้าของเจ้า”
จุนเกอเบ้ปากด้วยความผิดหวัง หันไปมองสืออีเหนียงแต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ
สืออีเหนียงทำเป็นมองไม่เห็น
ก้มหน้าแต่หางตากลับเหลือบไปเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของสวีซื่ออวี้
******
เมื่อรู้ถึงการตัดสินใจของไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ให้พ่อบ้านไป๋ส่งคนไปเพิ่ม ให้ทำหน้าที่อย่างระมัดระวัง คุณชายสามก็พยักหน้าเล็กน้อย “เด็กผู้ชายอ่านหนังสือหมื่นเล่มก็ไม่สู้เดินทางพันลี้ ควรจะออกไปเดินเล่นให้มากๆ ”
แต่ฮูหยินสามกลับกังวลใจ ใบหน้าซีดเผือก “ข้างนอกวุ่นวายไปหมด หากไปชนโน่นชนนี่เข้าจะทำอย่างไร ข้าว่าอยู่ที่เรือนจะดีกว่า ให้ท่านอาห้าของพวกเจ้าซื้อดอกไม้ไฟมาจุดในจวนก็ได้เหมือนกัน”
เมื่อสวีลิ่งควนได้ฟังดังนั้นก็อาสาไปกับพวกเขาด้วยความฮึกเหิม “มีข้าอยู่ วางใจได้!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำพูดของฮูหยินสามจึงได้ถูกเมิน สวีลิ่งควนพาสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้ และสวีซื่อเจี่ยนไปดูโคมไฟบนท้องถนน ส่วนจุนเกอกับสวีซื่อเจี้ยทำขนมบัวลอยอยู่ที่เรือนกับสืออีเหนียง
สวีซื่อเจี้ยมีความสุขมาก ปั้นแป้งบัวลอยเป็นรูปร่างต่างๆ ทำแล้วทำอีกไม่ยอมหยุด
จุนเกอกลับเบ้ปากอย่างไม่มีความสุข
สืออีเหนียงพูดปลอบเขาว่า “เจี่ยนเกอบอกว่าเขาโตขนาดนี้แล้วแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ไปดูดอกไม้ไฟ ตอนที่อายุเท่าเจ้าเขายังไม่กล้าคิดที่จะออกไปดู เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครได้ทำเช่นนี้ แต่เจ้านั้นแตกต่างพี่ใหญ่ พี่สอง และพี่สามของเจ้าได้ออกไปเที่ยวเล่นแล้ว ถือเป็นแบบอย่างให้กับเจ้า รอให้เจ้าโตเท่าพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้นก็จะได้ออกไปเที่ยวเล่นแล้ว”
เมื่อจุนเกอได้ฟังก็ตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” จากนั้นก็ไปปั้นแป้งบัวลอยกับสวีซื่อเจี้ยด้วยความดีใจ
“เจ้าทำผิดแล้ว บัวลอยเป็นรูปกลมๆ” เขาพยายามจะบอกให้สวีซื่อเจี้ยทำให้ถูกต้อง
แต่สวีซื่อเจี้ยกลับไม่สนใจเขา อยากจะปั้นอย่างไรก็ปั้น
เด็กควรจะมีความคิดแตกแขนง หากคนที่พูดประโยคนี้คือสวีซื่ออวี้ สืออีเหนียงอาจจะถามว่า ‘ใครว่าบัวลอยต้องปั้นเป็นทรงกลม’ แต่ว่าคนที่พูดประโยคนี้คือจุนเกอ ภายภาคหน้าเขาจะต้องรับตำแหน่งสืบทอด การอยู่ในกฎเกณฑ์เป็นเรื่องดี จึงได้แต่ปล่อยให้ผ่านไป
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบหัวสวีซื่อเจี้ย “เขายังไม่รู้ความ ต้องค่อยๆ สอน”
จุนเกอเห็นนางพูดเข้าข้างตัวเอง ก็ยิ้มพลางพยักหน้า
ตอนบ่ายพวกเขาต้มขนมบัวลอยกินกันในห้องครัวเล็กๆ ที่เรือนของสืออีเหนียง อี๋เหนียงทั้งสามจะมาหรือไม่มาก็ได้สืออีเหนียงไม่ได้บังคับ แต่คนในเรือนตัวเองได้กินกันทุกคน
เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด นางมาตามกลิ่นหอม พาสาวใช้เรือนของตนมากินด้วย พูดขึ้นมาว่า “หากคุณหนูใหญ่อยู่ที่นี่จะคึกคักขนาดไหนกันเชียว”
สืออีเหนียงรีบเอ่ยขึ้นว่าไท่ฮูหยินได้กำชับพ่อบ้านไป๋ไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าจะส่งคนไปรับเจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมา
จุนเกอได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก
ฉินอี๋เหนียงพาสาวใช้เข้ามา “ได้ยินว่าที่นี่มีขนมบัวลอย”
สืออีเหนียงให้ลี่ว์อวิ๋นไปยกเก้าอี้มาให้ฉินอี๋เหนียง จากนั้นก็ไปตักขนมบัวลอยมา
ทุกคนต่างพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง ส่วนทางด้านเฉียวเหลียงฝังนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ตอนเย็นสวีลิ่งอี๋กลับมาจากจวนซุ่นอ๋อง นำถ้วยชากระเบื้องเคลือบสีขาวที่ใส่ชาเถี่ยกวนอินมาด้วย พิงหมอนอิงอย่างอ่อนเพลีย ถอนหายใจ “ในที่สุดตรุษจีนก็สิ้นสุดลงแล้ว”
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ ปรนนิบัติเขาขึ้นเตียง
ปรากฏว่าบ่ายวันรุ่งขึ้นได้ยินข่าวว่าฮ่องเต้ทรงปลดสวีลิ่งอี๋ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการห้าเหล่าทัพ
ตอนนั้นฮูหยินสามกำลังคำนวณการไปมาหาสู่กันในวันตรุษจีนกับไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงก็นั่งฟังอยู่ข้างๆ ส่วนฮูหยินห้ากำลังแทะผลผิงกั่วอยู่
“…พี่สี่กำลังติดต่อกับเจี่ยงเฟยอวิ๋นอยู่!” สวีลิ่งควนที่มารายงานข่าวมีสีหน้าหดหู่เล็กน้อย
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไร ยกชาขึ้นมาจิบเงียบๆ
“เร็วจัง” ฮูหยินห้ามีสีหน้าตกใจ ในปากยังอมผลผิงกั่วอยู่ครึ่งหนึ่ง “มีองครักษ์วังหลวงอยู่ข้างกายหรือไม่”
“ไม่มี” สวีลิ่งควนท่าทางดูไม่มีความสุข
“โดนข้อหาอะไร” ฮูหยินสามถามอย่างระมัดระวัง
สวีลิ่งควนไม่ได้พูดอะไร
ฮูหยินห้ารีบกลืนผลผิงกั่วลงคอ “แน่นอนว่าเป็นข้อหา ‘เสื่อมเสียคุณธรรม’ หากเป็นข้อหา ‘สมรู้ร่วมคิดกับศัตรู’ ทหารองครักษ์วังหลวงก็คงจะยืนรอจับคนเข้าคุกไปนานแล้ว” พูดพลางหันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพูดพึมพำ “บอกแค่ว่าให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการห้าเหล่าทัพ แล้วตำแหน่งราชครูรัชทายาทเล่า ถูกปลดหรือไม่”
สวีลิ่งควนท่าทางเข้าใจในทันที พูดอย่างกระปรี้กระเปร่าว่า “ไม่ๆ ปลดเพียงแค่ตำแหน่งผู้บัญชาการห้าเหล่าทัพ ส่วนที่เหลือไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด”
สืออีเหนียงคิดถึงเทศกาลโคมไฟที่เข้าไปชมดอกไม้ไฟในวัง หวงกุ้ยเฟยไม่ได้ถูกรับเชิญ…
นางรู้สึกว่าแผนการของสวีลิ่งอี๋ได้ผลแล้ว ใจของฮ่องเต้เอนเอียงมาทางสกุลสวี
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน สุดท้ายก็ต้องพบสวีลิ่งอี๋เพื่อซักถามให้ชัดเจนก่อนจึงจะแน่ใจได้
ในใจคิดเช่นนี้ จึงมีรอยยิ้มออกมาจากแววตาของนางอย่างไม่รู้ตัว “เดิมทีท่านโหวเตรียมจะลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการห้าเหล่าทัพอยู่แล้ว ตอนนี้ก็นับว่าสมปรารถนาแล้ว คุณชายห้าไม่ต้องเป็นห่วงท่านโหว”
ไท่ฮูหยินได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย
ชีวิตคนขึ้นๆ ลงๆ สืออีเหนียงคิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว
ฮูหยินห้าถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนี้ก็ดี เช่นนี้ก็ดี” ท่านโหวอายุยังน้อย ฮ่องเต้ไม่ได้กะตีให้ตายในไม้เดียว วันหน้าย่อมมีโอกาสเสมอ “อาศัยโอกาสนี้พักผ่อนที่เรือนก็ดี” นางพูดท่าทางใจเย็น
ฮูหยินสามมองทุกคน อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป จากนั้นก็ถือโอกาสที่คุณชายสามกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เรือนในตอนบ่าย พูดกับสามีว่า “เรื่องของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่”
“เจ้าวางใจเถิด!” คุณชายสามปลอบใจฮูหยินสาม “ต่อให้ฝ่าบาทไม่เห็นแก่ท่านโหว แต่ย่อมต้องเห็นแก่ฮองเฮาอยู่บ้าง”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” ฮูหยินสามพูดพึมพำ ชิวหลิงเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่กลับจวนแล้วเจ้าค่ะ”
“เร็วเข้า!” คุณชายสามเร่งเร้าฮูหยินสาม “เรายังมีเวลาอยู่ที่จวนมากที่สุดสองถึงสามเดือน อย่าทำให้ไท่ฮูหยินไม่พอใจก่อนที่จะจากไป”
ฮูหยินสามรีบคาดเข็มขัดให้คุณชายสาม ทั้งสองไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องโถงก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างร่าเริงดังมาจากห้องด้านใน เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นกล่องกระดาษเล็กใหญ่กองอยู่เต็มเตียงเตาริมหน้าต่าง สวีลิ่งควน สืออีเหนียง ฮูหยินห้า สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ นั่งล้อมอยู่ด้านหน้าไท่ฮูหยิน ต่างก็ยิ้มพลางมองเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยิน นางสวมเสื้อสีเขียวอ่อน กำลังพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบหันไปทักทาย “ท่านลุงสาม ท่านป้าสาม”
คุณชายสามยิ้ม เดินเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน ยังไม่ทันได้พูดอะไร บ่าวรับใช้ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วขอรับ”
ทุกคนมีสีหน้าตกตะลึง
ได้ยินเสียงผ้าม่านถูกเปิดออก สวีลิ่งอี๋เดินก้าวเข้ามาในห้อง
ทุกคนเห็นว่าเขาสีหน้าไม่ดีก็ใจเต้นรัว ไท่ฮูหยินรีบขยับมาที่ขอบเตียง ถามด้วยความกังวลใจ “เจ้าสี่ เกิดอะไรขึ้น”
สวีลิ่งอี๋กวาดสายตาไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง
“สืออีเหนียง” น้ำเสียงของเขาเบาลง ดูมีความเป็นกังวล “หวังหลังตายแล้ว!”