ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 222 ฉวยโอกาส(ปลาย)
“หืม”
คุณชายเว่ยปัดจมูกเบี่ยงหน้าหลบออกไปอย่างอดไม่ได้ เอ่ย “ข้าได้ยินมาว่าสตรีตั้งครรภ์มีอาการหนัก อาจรู้สึกไม่สบายนัก เจ้าอยู่บ้านคนเดียว… อู๋สยา ขอโทษ”
หนานกงมั่วก้มหน้าลง ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ คุณชายเว่ยไม่มีทางรู้เรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน เขามิใช่หมอและไม่เคยสัมผัสใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์ รู้ว่าสตรีมีลูกนั้นยากลำบากก็ไม่เลวแล้ว เรื่องเหล่านี้แปดเก้าส่วนคงจะไปหาข้อมูลหรือถามกับใครหลังจากที่นางตั้งครรภ์อย่างแน่นอน เขาอยู่ในกองทัพ แน่นอนว่ามีโอกาสถามคนอื่นมากกว่า เพียงนึกถึงคุณชายเว่ยที่ใบหน้านิ่งเฉยกลั้นความกระอักกระอ่วนไปถามคนอื่นเรื่องหญิงตั้งครรภ์ นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“ไม่เป็นไร ข้าสบายดี ลูกเชื่อฟังมาก อีกทั้ง ข้าอยู่คนเดียวที่ไหนกัน หลายวันมานี้คนในจวนเหล่านี้รวมไปถึงเสด็จแม่แทบอยากล้อมหน้าล้อมหลังข้าเอาไว้อยู่แล้ว”
คุณชายเว่ยย่นคิ้วมองนางไม่เอ่ยสิ่งใด ใบหน้ากลับเขียนชัดเจน อู๋สยาไม่จำเป็นต้องมีข้า ไม่พอใจ
“ฮ่าๆ” หนานกงมั่วทนไม่ไหวอีกต่อไป ฟุบหน้าลงกับอกของเขาหัวเราะเสียงดังออกมา
คุณชายเว่ยมองคนที่หัวเราะฟุบหน้าอยู่กับอกของตน ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “อู๋สยา…”
“อู๋สยา ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว” กอดนางเอาไว้ในอ้อมอก เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมากระซิบ
หนานกงมั่วสอดมือเข้าไปกอดเอวเขาเอาไว้ ชายตรงหน้าเพิ่งกลับมาจากสงครามยังหลงเหลือไอสังหารจางๆ ทว่านางกลับรู้สึกผ่อนคลาย “ข้าก็คิดถึงท่าน”
เมื่อส่งเหล่าคุณหนูทั้งหลายกลับไปแล้ว หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องก็ตรงเข้าไปพบเยี่ยนอ๋อง หนานกงมั่วจึงได้รู้ว่าหลังจากเว่ยจวินมั่วกลับมาถึงไม่ได้ไปเข้าพบเยี่ยนอ๋อง เพียงกลับไปถวายพระพรองค์หญิงฉังผิงที่เรือนชิงมั่ว เมื่อรู้ว่านางอยู่ที่ไหนก็ตรงไปหานางทันที
บ่าวเดินนำมาถึงประตูทางเข้าเรือนเตี๋ย เว่ยจวินมั่วยืนนิ่งขมวดคิ้วเบาๆ หนานกงมั่วหยุดเท้าเอ่ยถามเสียงเบา “มีอันใดหรือ”
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ กุมมือนางเอาไว้ เอ่ย “ไปเถิด ไปพบเสด็จลุง”
หนานกงมั่วเองก็เข้าใจว่าเพราะอันใด อธิบายเสียงเบา “นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เสด็จลุงป่วยก็อยู่ที่เรือนเตี๋ยมีชายารองกงคอยดูแลอยู่ตลอด เสด็จป้าเองก็ยุ่ง แน่นอนว่าไม่อาจตามดูแลเสด็จลุงได้ทุกที่ทุกเวลา”
“ชายารองกงหรือ” เว่ยจวินมั่วเอ่ย ก้มหน้าลงไปมองหนานกงมั่ว หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วจมลึก บ่าวรับใช้ที่เดินนำทางรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมากะทันหัน
“คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่” เพิ่งเดินเข้ามาก็เจอเข้ากับกงเสี่ยวเตี๋ยที่เดินเข้ามาหา กงเสี่ยวเตี๋ยคลุมผ้าคลุมสีชมพูอ่อน ดูสวยสดงดงามไม่คร่ำครึ ไม่เหมือนสตรีที่เป็นภรรยารองของคนอื่น ทว่าคล้ายหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “พระชายารองกง วันนี้เสด็จลุงเป็นอย่างไรบ้าง”
กงเสี่ยวเตี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำให้จวิ้นจู่เป็นกังวลแล้ว อย่างอื่นท่านอ๋องนับว่ายังดี เพียงแต่ไม่มีชีวิตชีวาก็เท่านั้น เมื่อบ่ายบอกว่าอยากพักผ่อนสักพัก ตอนนี้ยังไม่ตื่น คุณชายผู้นี้…คงจะเป็นคุณชายในต้าจั่งกงจู่ คุณชายเว่ยใช่หรือไม่” หนานกงมั่วพยักหน้า “ใช่แล้ว”
กงเสี่ยวเตี๋ยยกมือป้องปากหัวเราะเบาๆ เอ่ย “คุณชายเว่ยรูปลักษณ์ไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งสองช่างเป็นคู่รักแห่งสวรรค์จริงๆ”
หนานกงมั่วยิ้มบางไม่เอ่ยวาจา
เว่ยจวินมั่วก้มลงไปมองสำรวจกงเสี่ยวเตี๋ยเล็กน้อย จูงมือหนานกงมั่วเดินผ่านนางเข้าไปด้านใน รอยยิ้มบนใบหน้าของกงเสี่ยวเตี๋ยพลันแข็งค้าง เห็นชัดว่าไม่คาดคิดว่าเว่ยจวินมั่วจะไม่เห็นตนอยู่ในสายตาต่อให้ดูถูกตำแหน่งชายารองของนาง อย่างน้อยเรือนเตี๋ยก็เป็นพื้นที่ของนางมิใช่หรือ ดวงตาสวยฉายแววโกรธแค้น กงเสี่ยวเตี๋ยหันกลับไปมองทั้งสองพลางเอ่ยเสียงเข้มขึ้น “จวิ้นจู่ คุณชายเว่ย ช้าก่อน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว หันกลับไปมองกงเสี่ยวเตี๋ย
กงเสี่ยวเตี๋ยหลุบตาลง เอ่ย “เรือนเตี๋ยแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เยี่ยนอ๋องประทานเป็นที่อยู่ของข้า จวิ้นจู่ก็ช่างเถิด คุณชายเว่ยเข้ามาไม่คิดจะถามความเห็นของเจ้าของเลยหรือ เสียมารยาทเกินไปหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วไม่แม้แต่หันหน้ากลับมา จูงมือหนานกงมั่วเดินตรงเข้าไปด้านในราวกับไม่ได้ยิน
กงเสี่ยวเตี๋ยโกรธจนหน้าดำหน้าแดงขึ้นมา กระทืบเท้ากำลังจะเอ่ยสิ่งใดทว่าได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังเข้ามาในหู “ข้าไม่สนว่ากงอวี้เฉินให้เจ้ามาทำอันใด หากไม่อยากตาย ก็อยู่เฉยไปเถิด” กงเสี่ยวเตี๋ยมองสาวใช้รอบข้างที่ใบหน้านิ่งสงบราวกับไม่ได้ยินอันใด ใบหน้าพลันซีดเซียวขึ้นมา
หนานกงมั่วเกาะแขนข้างหนึ่งของเขา เดินเข้าไปด้านในพร้อมเอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้ม “เสด็จลุงบอกว่าเก็บนางเอาไว้ยังมีประโยชน์ ท่านไปขู่นางทำไมเล่า” แม้ว่านางจะยังฝึกวรยุทธ์ไม่ถึงขั้นส่งเสียงลับได้ แต่เมื่อครู่นางเห็นริมฝีปากของเว่ยจวินมั่วขยับแต่กลับไม่มีเสียงดังออกมา ทว่าสัมผัสได้ถึงพลังที่ลอยจากด้านข้างไปยังกงเสี่ยวเตี๋ย นี่คือวรยุทธ์ส่งเสียงลับในตำนานที่ว่ากันมาอย่างนั้นหรือ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “รกหูรกตา”
ระยะนี้ร่างกายของเยี่ยนอ๋องไม่ดีจริงๆ หมอกแดงของดอกไม้ปีศาจที่ทำให้คุณชายเสียนเกอไม่มีแม้วิธีรักษาชั่วขณะกำลังกัดกร่อนชีวิตของเยี่ยนอ๋อง แม้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจมีผลต่อชีวิต ทว่ายังทำให้คนเป็นห่วง เพียงแต่ ข่าวลือถึงอาการป่วยของเยี่ยนอ๋องที่ถูกส่งต่ออยู่ด้านนอกดูเหมือนจะหนักกว่าความเป็นจริง ข่าวถูกส่งออกมาจากเมืองโยวโจว แทบจะบอกว่าเยี่ยนอ๋องกำลังป่วยจนหมดทางรักษาแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อข่าวถูกส่งไปถึงจินหลิง เซียวเชียนเยี่ยจะคิดเช่นไร อาศัยตอนเจ้าป่วย เอาชีวิตของเจ้า หรือว่าคิดว่าเยี่ยนอ๋องกำลังเสแสร้งแกล้งป่วย หนานกงมั่วคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า คนอย่างเซียวเชียนเยี่ย เมื่อต้องตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ ก็ไม่เคยคิดอย่างตรงไปตรงมา
“เสด็จลุง”
เยี่ยนอ๋องอยู่ในอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่เป็นประจำสีฟ้าอ่อนนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ ด้านข้างจุดเตาไฟเอาไว้ แต่เยี่ยนอ๋องยังคงคลุมผ้าหนา ใบหน้าซีดขาว
“จวินมั่วกลับมาแล้วหรือ นั่งลงคุยกันก่อนเถิด” มองเห็นเว่ยจวินมั่ว ใบหน้าของเยี่ยนอ๋องดูมีความสุขขึ้นมา ทั้งสองนั่งลง เว่ยจวินมั่วมองเยี่ยนอ๋องพลันขมวดคิ้ว เอ่ย “ร่างกายเสด็จลุงเป็นอย่างไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องยิ้ม เอ่ย “ไม่เป็นไร เพียงเป็นไข้บ้างก็เท่านั้น เซี่ยลี่ลงมือกับเจ้าแล้วหรือ” เอ่ยถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยนอ๋องเลือนหายไปทันที มีท่าทีจริงจังขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบเสียงเรียบ “กระหม่อมจัดการได้”
เยี่ยนอ๋องต่อว่าอย่างไม่พอใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าจัดการได้ จะถามไม่ได้เลยหรืออย่างไร เจ้าใช้วิธีใดถึงเกลี้ยกล่อมให้เมิ่งเท่อมู่เคลื่อนทัพได้”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “กระหม่อมรับปากจะขอให้ราชสำนักประทานบรรดาศักดิ์แก่เขาพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยนอ๋องชะงัก มองเว่ยจวินมั่วอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เท่านี้เขาก็ยอมแล้วหรือ” เมิ่งเท่อมู่โง่หรือ ต่อให้ไม่รู้สถานการณ์ในด่านกำแพง อย่างน้อยก็ต้องไตร่ตรองว่าเว่ยจวินมั่วจะทำตามสัญญาได้หรือไม่มิใช่หรือ เยี่ยนอ๋องพลันรู้สึกว่าตนเองดูหมิ่นหลานชายผู้นี้เกินไปแล้ว มองดูใบหน้าเย็นชาเย่อหยิ่ง ใช้แผนการจับหมาป่ามือเปล่าได้ไม่เลวเลยทีเดียว ตอนนี้พวกเขาไหนเลยจะช่วยเมิ่งเท่อมู่ขอบรรดาศักดิ์ได้เล่า เซียวเชียนเยี่ยคงโยนฎีกาทิ้งทั้งๆ ที่ไม่เปิดดูเลยแม้เพียงนิดน่ะสิ
สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดใจจากเยี่ยนอ๋อง คุณชายเว่ยเอ่ยเลี่ยงๆ “ครั้งนี้พวกเรากำจัดเป่ยหยวนไม่สำเร็จ”
เยี่ยนอ๋องพูดไม่ออก ดังนั้นสัญญาที่เจ้าว่า หมายถึงหลังจากกำจัดเป่ยหยวนให้สิ้นซากอย่างข่าวการตั้งครรภ์ของอี๋เหนียงห้าทำให้ห้องหนังสือเล็กๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา
สีหน้าของนายท่านใหญ่สกุลหลัวเผยให้เห็นความภาคภูมิใจ
เฉียนหมิงตะโกนว่า “…วันนี้เป็นวันที่บุตรเขยอย่างพวกเรามาเยี่ยมพ่อตาแม่ยาย ข้าคิดว่าควรจะฉลองอีกสักวัน”
สวีลิ่งอี๋ปกติก็เป็นคนพูดน้อย หลัวเจิ้นซิ่งและหลัวเจิ้นเซิงต่างก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งสามคนจึงเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
นายท่านใหญ่สกุลหลัวยืดตัวตรงโบกมือไปมา “เจ้าอยากฉลองกี่ชั่วยามหรือฉลองกี่วันก็ตามใจเจ้า รับรองว่าเจ้าได้ดื่มจนสาสมใจแน่!” ท่าทางใจใหญ่เป็นอย่างมาก
สายตาของเฉียนหมิงจับจ้องไปที่สวีลิ่งอี๋ เมื่อเห็นว่าเขากำลังนั่งตัวตรง เพียงแต่ยิ้มไม่พูดอะไร จึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงแล้วพูดว่า “ข้าไม่สามารถตัดสินใจคนเดียวได้ รอให้สามีของน้องหญิงสิบมาแล้วพวกเราค่อยปรึกษากันดีหรือไม่ขอรับ”
เมื่อนายท่านใหญ่สกุลหลัวได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางลง
แม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ค่อยมา แต่เขาก็มีความเคารพและนอบน้อมต่อคนในจวนสกุลหลัว ส่วนเฉียนหมิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะมาที่จวนสกุลหลัวเสมอ เป็นคนพูดคุยสนุกสนาน ไม่มีใครในสกุลหลัวไม่ชอบเขา มีเพียงหวังหลังที่เป็นคนหยิ่งทะนงตนและมีท่าทางดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจ
พลันนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ที่นายหญิงใหญ่ป่วยเขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมเลย นายท่านใหญ่สกุลหลัวก็รู้สึกไม่สบายใจจึงกำชับหลัวเจิ้นเซิงว่า “เจ้าไปดูสิว่าบุตรเขยสิบมาหรือยัง หากยังไม่มาพวกเราก็ไม่รอแล้ว กำชับพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าให้ยกอาหารมาได้เลย จะให้ท่านโหวกับพี่เขยห้าของเจ้ารออยู่เช่นนี้ไม่ได้”
หลัวเจิ้นเซิงตอบรับแล้วเดินออกไป
เฉียนหมิงรู้สึกว่าตัวเองควรจะแสดงความเกรงใจออกมา แต่เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋ยังคงนั่งนิ่ง เขาจึงกลืนคำพูดตัวเองลงไป
ในขณะเดียวกันฮูหยินห้าสกุลซุนก็ได้กลับไปถึงตรอกหงเติงแล้ว ให้สามีไปอยู่กับท่านแม่ ส่วนตัวเองกลับไปอยู่กับท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่ห้องหนังสือ
“ท่านพ่อ ท่านบอกความจริงกับข้ามาว่าเด็กคนนั้นเป็นของบุตรของสวีลิ่งควนใช่หรือไม่”
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” โยนคำถามกลับไปให้ฮูหยินห้าอีกครั้ง
ฮูหยินห้าชะงักไปครู่หนึ่ง
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจังว่า “ตานหยาง พวกเรากับสกุลสวีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เจ้ากับสวีลิ่งควนก็ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก สวีลิ่งควนเป็นคนแบบไหนไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจ้า เจ้าเป็นคนฉลาดมาตลอด หากเจ้าเอาแต่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เจ้าก็จะกลายเป็นหลัวหยวนเหนียงสอง บางครั้งเจ้าก็ต้องเรียนรู้จากพี่สะใภ้สองแซ่เซี่ยงของเจ้า ต้องเป็นคนมองการณ์ไกลและใจกว้าง”
ฮูหยินห้าหน้าซีดเล็กน้อย
คำตอบได้ออกมาแล้ว
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าเข้าใจดี แต่ไม่อยากปกป้องบุตรสาวในเรื่องนี้ บุตรสาวเป็นคนเข้มแข็ง ไม่มีพี่น้องร่วมท้องคอยสนับสนุน ตอนนี้ตัวเองมีชีวิตอยู่ ยังพอช่วยเหลือนางได้ แต่หากวันไหนที่ตัวเองไม่อยู่แล้ว บุตรเขยจะเป็นคนเดียวที่นางจะพึ่งพาได้ มีบางเรื่องที่ไม่อาจปล่อยให้นางก่อความวุ่นวายได้ ขณะที่กำลังครุ่นคิด สายตาของเขาคมกริบดุจเหยี่ยว “เหตุใดถึงเงียบไปล่ะ”
น้ำเสียงของเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
ฮูหยินห้ามองท่านพ่อด้วยสีหน้าซีดเผือก
จะให้นางพูดอะไรได้อีก
บอกว่าตัวเองคิดไปเองว่าเป็นคนฉลาด คิดว่าสามารถควบคุมสามีให้อยู่ในกำมือได้ แต่สุดท้ายกลับถูกสามีตัวเองปิดบังจนไม่รู้อะไรเลย
บอกว่าตัวเองไม่เคยคิดถึงคนอื่น แต่ตัวเองก็กลายเป็นคนที่คนอื่นไม่ให้ความสำคัญเช่นกัน
เป็นเพราะตัวเองล้มเหลวหรือเป็นเพราะคนอื่นนั้นฉลาดเกินไป?
นางร้อนใจเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ฝังมันไว้ในใจตลอดไป จากนั้นก็เทน้ำร้อนๆ ราดลงไป ให้ต้นกล้าตายไปจนถึงราก” ท่านซุนโหวผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม ค่อยๆ เล่าข่าวลือข้างนอกให้ฮูหยินห้าฟัง “…ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ต่อให้ไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ก็ไม่ควรไปเพิ่มปัญหาให้กับคนในจวน มิเช่นนั้นเจ้าก็เทียบไม่ได้กับฮูหยินของหย่งผิงโหวที่เป็นบุตรสาวของอนุ” คำพูดแฝงไว้ด้วยคำเตือน
หากถามว่าคนที่ฮูหยินห้าไว้ใจมากที่สุดในโลกใบนี้คือใคร นั่นก็คือติ้งหนานโหวท่านพ่อของตัวเอง การที่อยู่รอดมาได้ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้คนก่อนจนมาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำได้ ดังนั้นแม้ว่านางจะถูกคำพูดนี้ของท่านพ่อทำให้พูดไม่ออก แต่ก็ยังเผยให้เห็นสีหน้าที่กำลังไตร่ตรองตาม
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ลอบพยักหน้า แนะนำบุตรสาวเพิ่ม “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก สิ่งที่เจ้าต้องคิดคือท่านโหวจะคิดอย่างไรในเวลานี้ ไท่ฮูหยินจะคิดอย่างไร ลิ่งควนจะคิดอย่างไร พี่สะใภ้สี่ของเจ้าคิดอย่างไร ต้องรู้ว่าควรจะวางแผนเดินหน้าต่อไปอย่างไรจึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้โดยไม่พ่ายแพ้”
ฮูหยินห้านั่งเหม่อลอยอยู่ในห้องหนังสืออยู่เงียบๆ
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าไม่เร่งเร้านาง ยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มช้าๆ
ใช่แล้ว เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นท่านโหวจะคิดอย่างไร แน่นอนว่าเขาต้องคิดหาวิธีทำให้เรื่องเงียบไป ดังนั้นสิ่งที่เขาควรยอมรับเขาก็ยอมรับทั้งหมด สิ่งที่เขาไม่ควรยอมรับเขาก็ต้องยอมรับมัน คนที่มองออกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ ก็ได้แต่ชื่นชมท่านโหวที่มีจิตใจดีงาม ส่วนคนที่มองไม่ออกถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ก็จะอิจฉาที่ท่านโหวเป็นบุรุษที่มีความสามารถแต่ไม่ได้มีข้อผูกมัด แต่โดยส่วนตัวแล้วเกรงว่าท่านโหวเมื่อเห็นเด็กคนนั้นแล้วจะรู้สึกผิดต่อสืออีเหนียงที่รับเด็กไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ ส่วนไท่ฮูหยิน ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ยิ่งนางโกรธสวีลิ่งควนมากแค่ไหนก็จะยิ่งสงสารท่านโหวมากเท่านั้น แล้วมีความรู้สึกที่ดีต่อสืออีเหนียงที่เป็นเด็กดีและเชื่อฟัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฮูหยินห้าก็นั่งไม่ติดเก้าอี้
สวีสิ่งควนที่ไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่เคยใช้สมอง การที่เขาปิดบังตัวเองเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นมองตัวเองเป็นตัวตลก รู้สึกแย่ยิ่งกว่าให้ตัวเองยอมรับเด็กเสียอีก ทว่าตัวเองกลับหยอกล้อกับเด็กคนนั้นโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ในสายตาของคนที่รู้เรื่องนี้ เกรงว่าคงจะหัวเราะตัวเองกันท้องแข็งไปแล้ว แต่ด้วยนิสัยของสวีลิ่งควน ไม่เพียงแต่จะซาบซึ้งบุญคุณที่ท่านโหวช่วยเขาจัดการเรื่องวุ่นวายเท่านั้น ซ้ำยังซาบซึ้งในบุญคุณของสืออีเหนียงที่ช่วยเขาเลี้ยงดูบุตรอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็อดโมโหไม่ได้
เลี้ยงเด็กคนเดียวจะใช้เงินเท่าไรกันเชียว หนึ่งปีก็ใช้ไม่เกินหนึ่งร้อยตำลึง
สืออีเหนียงตัวดี ควักเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาเลี้ยงเด็ก เอาอกเอาใจท่านโหวและไท่ฮูหยิน อีกทั้งยังทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าสามีของข้า ช่างวางแผนได้ดีเสียจริง!
ข้าแค่แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด เจ้าก็คิดว่าข้ารังแกได้ง่ายอย่างนั้นหรือ ครั้งนี้หากข้าไม่เอาคืนเสียบ้าง เจ้าคงจะคิดว่าข้ากลัวเจ้าไปแล้วจริงๆ
ยิ่งฮูหยินห้าคิดมากเท่าไร สีหน้าของนางก็ยิ่งดูแย่ลงเท่านั้น
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่สังเกตสีหน้าของบุตรสาวของตนอยู่ตลอดก็อดถอนหายใจไม่ได้
บุตรสาวคนนี้ถูกตำแหน่ง ‘เซี่ยนจู่’ ทำให้เคยตัว…ทนเห็นใครได้ดีเกินหน้าเกินตาไม่ได้
“เจ้าลองนึกถึงเซี่ยงอี๋เจิน” ท่านซุนโหวผู้เฒ่าพยายามชี้แนะบางอย่าง “แล้วลองนึกถึงหลัวหยวนเหนียงที่ล่วงลับไปแล้ว!”
ฮูหยินห้าเม้มปากแน่นไม่พูดอะไร
หากวันนี้ไม่ไขข้อข้องใจเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่แน่เมื่อกลับไปบุตรสาวอาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีก!
ท่านซุนโหวผู้เฒ่าเกลี่ยกล่อมบุตรสาวว่า “วันข้างหน้าของเจ้ายังอีกยาวไกล ท่านโหวเป็นคนเข้าใจสถานการณ์ได้ดี สิ่งที่สูญเสียไปจะได้กลับมาคืนมาในอนาคต ครั้งนี้เจ้ายอมถอยมาหนึ่งก้าว ไม่แน่ครั้งหน้าก้าวต่อไปอาจจะขึ้นอยู่กับเจ้าก็เป็นได้” ขณะที่พูดท่านซุนโหวผู้เฒ่าก็นึกถึงตอนที่พบกันครั้งนั้นที่ตัวเองบอกว่าสืออีเหนียงเป็นคนเติมเต็มให้กับสวีลิ่งอี๋…น้ำเสียงของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ความกลมเกลียวจะทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง เจ้าเป็นบุตรสาวโดยตรงของสกุลซุนของข้า อย่าทำเรื่องเสียมารยาททำให้ข้าไม่สามารถไปสู้หน้าท่านโหวคนก่อนของสกุลสวีได้”
“ท่านพ่อ…” ฮูหยินห้าท่าทางเหมือนไม่ยอม พูดด้วยความโมโหว่า “แต่ว่าสืออีเหนียง…”
“เจ้าหยุดพูดเดี๋ยวนี้!” สีหน้าของท่านซุนโหวผู้เฒ่าเคร่งขรึม ตัดบทบุตรสาวโดยไม่ลังเล “สืออีเหนียงใช่ชื่อที่เจ้าควรเรียกหรือ เมื่อครู่ข้าพูดอะไรไปก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเจ้าไปหมดแล้วหรือ” เขาพูดเสียงเข้ม “เจ้าอย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คืออะไร”
ฮูหยินห้าถูกท่านพ่อตำหนิราวกับถูกฟ้าผ่า นางลูบท้องของตัวเองด้วยความตกใจ
นางเริ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้น
นางช่างโง่เขลาเสียจริง ตอนนี้เด็กคือสิ่งที่สำคัญที่สุด นางใกล้จะคลอดแล้ว ควรจะดึงสามีมาไว้ข้างกายตัวเอง ทำให้ไท่ฮูหยินพอใจในตัวเอง ทำให้ตำแหน่งในจวนของตัวเองมั่นคง นี่จึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
คนที่อยู่ข้างกายตนนั้นรู้ดีที่สุด หากสวีลิ่งควนรู้ว่านางต้องทุกข์ใจหรือได้รับความลำบากเพราะเขา เขาก็จะรู้สึกผิดมาก ยอมให้ตัวเองทุกอย่าง แต่กลับกันหากเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหลอกเขา เขาก็จะใจแข็งดั่งหิน ไม่ว่าตัวเองจะร้องไห้จะเป็นจะตายอย่างไรเขาก็จะไม่เปลี่ยนความคิดของเขา ดังนั้นสำหรับสวีลิ่งควนแล้วนางทำได้เพียงใช้ไม้อ่อนเข้าหาเขา
ต่อมาคือท่านโหว พูดตามตรงแล้วเขาเป็นคนใจกว้างกับผู้อื่นเสมอ ตราบใดที่ไม่ทำอะไรล้ำเส้น เขาก็มักจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ดังนั้นขอเพียงแค่สวีลิ่งควนเป็นน้องชายของท่านโหว นางก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลใจ ในทางกลับกันนี่คือวิธีรับมือที่ดีที่สุด
ต่อมาคือไท่ฮูหยิน นางเป็นหญิงชราที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน เป็นคนผมขาวที่ส่งคนผมดำมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว เมื่อถึงอายุปูนนี้นางย่อมไม่อยากให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นมาอีก ยอมเป็นคนแก่ที่เลอะเลือนก็เพื่อที่จะเห็นความสามัคคีของบุตรหลาน ไม่ให้บุตรหลานระแวงซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่สตรีธรรมดา เป็นสตรีที่เด็ดเดี่ยว เกรงว่าเรื่องในเรือนคงจะไม่มีเรื่องไหนที่สามารถปิดบังนางได้ ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ทางที่ดีคือต้องแสดงท่าทางนอบน้อม อ่อนโยนและใจกว้าง
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวเริ่มเข้าใจขึ้นมา สีหน้าของท่านซุนโหวผู้เฒ่าก็ผ่อนคลายลง พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ !” จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องหนังสือ กำชับเด็กรับใช้ว่า “ไปเรียกป้าสือมาให้ข้า” มีบางเรื่องที่ควรจะป้องกันไว้แต่เนินๆ มีป้าสือคอยจับตาดูนางอยู่ข้างๆ คิดว่าคงจะไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ส่วนฮูหยินห้าที่อยู่ในห้องหนังสือเล็กๆ เพียงลำพังก็ได้แต่ถอนหายใจ
ใช่แล้ว ตอนนี้จะทำตัวโง่เขลาไม่ได้ ต้องรู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่สามารถย้อนเวลากลับมาแก้ไขเรื่องในอดีตได้
ดูแล้วที่สืออีเหนียงยอมรับเด็กคนนี้อย่างเสียเปรียบก็คงจะเป็นเพราะคำว่า ‘เหตุผล’ ตัวเองไม่อาจไปต่อกรกับนางอย่างโจ่งแจ้งได้ มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะไม่บรรลุเป้าหมาย ซ้ำยังทำให้ท่านโหว ไท่ฮูหยิน และสวีลิ่งควนไม่พอใจ ทำให้ตนกลายเป็นหลัวหยวนเหนียงสอง
ขณะที่กำลังครุ่นคิดก็มีสาวใช้น้อยมาเชิญนางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ห้องโถงบุบผา
ฮูหยินห้าออกมาจากห้องหนังสือ ระหว่างทางก็พบกับสวีลิ่งควน
“เหตุใดเจ้าถึงไปนานเช่นนี้” สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เข้าไปพยุงนางอย่างระมัดระวัง
“ข้าไม่ได้เจอท่านพ่อมานานแล้ว อยากจะพูดคุยกับท่านพ่อสักหน่อย” ฮูหยินห้ามองดูสามีอย่างละเอียด “เจ้ามีสิ่งใดให้ต้องกังวล” มีความนัยบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูด
“ท้องของเจ้าโตขึ้นเรื่อยๆ จะให้ข้าไม่เป็นห่วงได้อย่างไร” แววตาและคำพูดของสวีลิ่งควนสื่อให้เห็นถึงความจริงใจ เขาฟังไม่ออกว่านางมีความนัยแฝงอยู่
ฮูหยินห้าใจเต้นระรัว พูดออดอ้อนว่า “ที่บอกว่าเป็นห่วงข้าก็เพียงแค่จะพูดให้ข้าดีใจเท่านั้น หากเป็นห่วงข้าจริงๆ ก็ไปซื้อทอดมันปลาจากร้านหม่าซื่อมาให้ข้า”
สวีลิ่งควนชะงักไปครู่หนึ่ง
ร้านไหนก็ทำทอดมันปลาได้ทั้งนั้น แต่ทอดมันปลาร้านหม่าซื่อที่ตั้งอยู่ในตรอกฉีหม่าทิศตะวันตกกลับถูกขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งของเยี่ยนจิง มีขายแค่วันละหนึ่งร้อยจานเท่านั้น ถ้าหมดนั้นก็ไม่มีแล้ว อย่าว่าแต่ปกติอยากกินก็ต้องให้บ่าวรับใช้ไปต่อแถวเลย วันนี้เป็นวันที่สองของตรุษจีน ทอดมันปลาร้านหม่าซื่อคงปิดไปนานแล้ว จะไปหาซื้อได้ที่ไหนกัน
แต่เมื่อมองไปที่ริมฝีปากแดงของภรรยา เขาก็นึกถึงเรื่องที่ตัวเองปิดบังภรรยา ตัดสินใจพูดออกไปว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รอก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อให้”
แววตาของฮูหยินห้าสื่อให้เห็นถึงความประหลาดใจ
แม้ว่าปกติสวีลิ่งควนจะดีกับนาง แต่ก็ไม่ได้ดีถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าหาซื้อไม่ได้แต่ก็ยังจะไปหามา…
ท่ามกลางแสงแดดที่ตกกระทบกับหิน นางพลันเข้าใจในทันที จึงทำการตัดสินใจอย่างกะทันหัน
บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาง่ายๆ ในเมื่อเขาไม่สบายใจเช่นนี้ แล้วเหตุใดตนต้องทำให้เขากังวลใจมากกว่าเดิมเล่า
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด มุมปากก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายห้าหยุดก่อน!” ฮูหยินห้าเดินเข้าไปคล้องแขนสามี “ข้าแค่พูดเล่นเฉยๆ คุณชายห้าจริงจังไปเสียได้ ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว อีกทั้งยังเป็นเทศกาลตรุษจีน จะไปหาซื้อทอดมันปลาร้านหม่าซื่อได้ที่ไหนกัน…” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มสดใสราวกับดอกไม้ คล้องแขนสามีไปที่โถงบุปผา นั้นหรือ สมองของเมิ่งเท่อมู่จมน้ำไปแล้วหรืออย่างไรถึงได้เชื่อเจ้า