ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 208 เทศกาล(ต้น)
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงกลับมาถึงเหอฮวาหลี่เมื่อยามโหย่ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ในลานเงียบสงัด ได้ยินเสียงหัวเราะของสวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอมาจากไกลๆ เข้าไปในเรือนก็ยิ่งคึกคักมากกว่าเดิม
สวีซื่อเจี่ยนกำลังแข่งเตะลูกขนไก่กับจุนเกอในห้องโถง สวีซื่อฉินเป็นคนช่วยจุนเกอนับแต้ม ส่วนสวีซื่ออวี้นั้นช่วยสวีซื่อเจี่ยนนับแต้ม
คุณชายสามนั่งหัวเราะพลางมองดูพวกเขาอยู่บนเก้าอี้ทางทิศตะวันตก แล้วยังคอยบอกให้ระวัง อย่าเตะสูงจนเกินไป สนุกสนานไปกับพวกเขา ส่วนฮูหยินสามนั่งข้างล่างสามีของตัวเอง ถึงแม้ว่านางจะยิ้มแล้วมองดูสวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอ แต่สายตาของนางกลับเหม่อลอย ราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คุณชายห้า สวีลิ่งควนสวมชุดลายดอกสีฟ้า นั่งอยู่บนเก้าอี้ทางทิศตะวันออก เขาเม้มปากแน่น สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเทียบกับวันปกติแล้ว เขาดูสง่างามและสงบนิ่งมากกว่า แต่ฮูหยินห้าที่นั่งอยู่ข้างล่างเขากลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นางหัวเราะพลางมองไปที่สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอ อีกทั้งยังหันไปพูดคุยกับสามีของตัวเองเป็นครั้งคราว ท่าทางดูร่าเริงมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินเข้ามา เขาก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำเอาฮูหยินห้าที่หันหน้าไปคุยกับเขาถึงกับตกใจ
“ท่านเป็นอะไรไป” นางถามพร้อมกับมองออกไปทางประตู
ทุกคนก็มองไปทางประตู
เสียงคึกคักในห้องพลันเงียบลงทันที
สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้หยุดนับเลขพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ที่แท้ก็ท่านโหวและพี่สะใภ้มาแล้วนี่เอง!” ฮูหยินห้าพยุงท้องโตยืนขึ้น นางยิ้มทักทายสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียง น้ำเสียงที่สดใสของนางทำลายความเงียบในห้องไป
“พี่สี่! พี่สะใภ้สี่!” สวีลิ่งควนพึมพำ เขามองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่แน่วแน่
แต่สวีลิ่งอี๋กลับไม่มองหน้าเขาแม้แต่น้อย เขาประสานมือคารวะคุณชายสาม “พี่สาม”
“กลับมาแล้วหรือ!” คุณชายสามยิ้มแล้วลุกขึ้นประสานมือตอบ ถือว่าคำนับกลับสวีลิ่งอี๋ “ทุกคนกำลังรอพวกเจ้าทานข้าวอยู่”
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามรีบยิ้มแล้วพูดตามสามี “ทุกคนกำลังรอท่านโหวมาทานข้าวเจ้าค่ะ!” นางมีชีวิตชีวามากขึ้น มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสายตาที่เฉียบแหลม เหมือนอยากรู้อยากเห็นและจับผิดอะไรบางอย่าง ราวกับว่าสืออีเหนียงกลายเป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่น
ดูเหมือนว่า ฮูหยินสามจะได้ยินข่าวลือเรื่องเด็กคนนั้นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าฮูหยินห้าได้ยินแล้วหรือยัง…
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วคำนับกลับฮูหยินสาม แต่สายตากลับเหลือบมองไปที่ฮูหยินห้า
นางกำลังยิ้มมุมปาก มองมาที่ตัวเองด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
นางน่าจะได้ยินเรื่องนี้แล้ว…
ความคิดนี้วาบขึ้นมา สืออีเหนียงก็หันไปสบตานางพอดี
ฮูหยินห้ายิ้มมุมปาก จากนั้นรอยยิ้มก็สดใสขึ้นมา “พี่สะใภ้สี่!”
นางเรียกสืออีเหนียงอย่างสนิทสนม
ดูเหมือนว่ารอยยิ้มที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองหายไปราวกับน้ำไหล
สมแล้วที่ฮ่องเต้คนก่อนแต่งตั้งให้เป็นเซี่ยนจู่…ดูท่าทีของนาง ช่างมีความเป็นสกุลใหญ่สกุลโตระดับต้นๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้นาง สวีซื่อฉิน สวีซื่อวี้ สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอพากันเดินเข้ามาคำนับพวกเขา
นางดึงสติกลับมาแล้วทักทายพวกเด็กๆ อย่างเป็นกันเอง
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ แล้วมองเข้าไปห้องข้างใน “ท่านแม่เล่า”
ใช่แล้ว! ทุกคนล้วนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่นี่ แต่กลับไม่เห็นไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงก็มองเข้าไปในห้องข้างใน
ปากของคุณชายสามกระตุก เขากำลังจะตอบ แต่ฮูหยินสามชิงพูดก่อนว่า “ท่านแม่อยู่ที่ห้องพระ บอกว่ารอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยทานข้าวพร้อมกัน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ เขาเหลือบมองไปที่สืออีเหนียงแล้วพูดว่า “ข้าจะไปเชิญท่านแม่มาทานข้าว”
ไปตรอกกงเสียนก่อน จากนั้นก็ไปตรอกหงเติง เหตุการณ์เป็นเช่นไร ญาติๆ ว่าเช่นไร คิดดูแล้ว เขาคงต้องปรึกษากับไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงพยักหน้าให้สวีลิ่งอี๋เบาๆ บอกว่าตัวเองรู้แล้ว จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับฮูหยินสามและฮูหยินห้าว่า “โทษข้าที่มาสาย บอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามาเถิด”
สวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องพระด้วยความโล่งใจ
ฮูหยินสามมองดูแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋แล้วยิ้ม จากนั้นก็มองมาที่สืออีเหนียง “ปีใหม่เช่นนี้ พวกเจ้าไปไหนกันมา” นางไม่ได้บอกให้สาวใช้ยกอาหารเข้ามาทันที
สืออีเหนียงเหลือบมองสวีลิ่งควนและฮูหยินห้า
สีหน้าของสวีลิ่งควนตึงเครียด แต่สายตาของฮูหยินห้ากลับเป็นประกาย นางเอียงหูออกมาเตรียมฟัง
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไปตรอกกงเสียนกับท่านโหวเจ้าค่ะ” ไม่ได้อธิบายมากไปกว่านี้
ฮูหยินสามทำสายตาผิดหวัง แต่ฮูหยินห้ากลับยิ้มอย่าวแผ่วเบา ราวกับว่า เจ้าไม่พูดข้าก็เข้าใจ
แต่คุณชายสามที่เห็นเช่นนี้กลับขมวดคิ้วมุ่น เขาพูดกับภรรยาของตัวเอง “รีบไปจัดอาหารเถิด เด็กๆ หิวกันแล้ว”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็โมโหสามีตัวเอง นางจิกตาใส่เขา จากนั้นก็เรียกสาวใช้จัดอาหารอย่างไม่พอใจ
คุณชายสามทำท่าทีมองไม่เห็น ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “อากาศหนาวๆ เช่นนี้ น้องสะใภ้สี่รีบไปนั่งที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกให้ร่างกายอบอุ่นเถิด” สีหน้าดูเป็นห่วง
สืออีเหนียงรู้สึกซาบซึ้ง นางยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณคุณชายสาม คิดว่าสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินคงจะยังไม่กลับมาตอนนี้ นางจึงขอความคิดเห็นจากคุณชายสาม “…เช่นนั้น ทุกคนก็ไปนั่งรอด้วยกันที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกกก่อน ดีหรือไม่เจ้าคะ”
คุณชายสามครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พวกเรารออยู่ที่นี่ดีกว่า” พูดจบก็กลับไปนั่งที่เดิม
คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็พากันนั่งลง
คุณชายสามยิ้มอย่างเป็นมิตร คุณชายห้านั่งอย่างเคร่งขรึม ฮูหยินห้ายิ้มแย้มสดใส สีหน้าสบายอกสบายใจ สืออีเหนียงก็ยิ้ม ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา สวีซื่ออวี้นั่งตัวตรง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง มีแค่สวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอที่เอาหัวชนกัน พูดกระซิบอะไรกันก็ไม่รู้ ทำให้สวีซื่อฉินหันไปมองพวกเขาเป็นครั้งคราว บอกให้พวกเขาเงียบๆ หน่อย แต่น่าเสียดายที่สวีซื่อเจี่ยนเอาแต่พูดกับจุนเกอ เขาไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของสวีซื่อฉิน ยิ่งพูดยิ่งเสียงดัง จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก
“ซื่อเจี่ยน!” คุณชายสามทนดูไม่ได้แล้ว เขาเรียกบุตรชายของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนตำหนิ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็รีบนั่งตัวตรง
“เด็กๆ นั่งนิ่งๆ ได้ที่ไหนกันเจ้าคะ” ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “ล้วนแต่เป็นคนในครอบครัวกันทั้งนั้น คุณชายสามไม่ต้องพิธีรีตองมากนักหรอกเจ้าค่ะ”
คุณชายสามได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ไม่สอนตั้งแต่ตอนเด็ก โตขึ้นแล้วกลายเป็นนิสัยมันจะสั่งสอนไม่ได้”
เขากำลังพูด ฮูหยินสามก็เดินเข้ามา ได้ยินแค่ครึ่งเดียวนางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “สั่งสอนใครไม่ได้เจ้าคะ”
คุณชายสามกำลังจะพูด ฮูหยินห้าก็ชิงพูดก่อนว่า “คุณชายสามบอกว่าเจี่ยนเกอโตแล้ว สั่งสอนเขาไม่ได้แล้ว”
นางหันไปมอง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางพูดเป็นนัย
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้ามืดมนลง กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเห็นสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินเดินเข้ามาพอดี
นางฝืนกัดฟันเอาไว้ ยิ้มแล้วเดินเข้าไปต้อนรับ “ท่านแม่ ท่านมาแล้ว”
ทุกคนยืนขึ้นทักทายไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินพยักหน้า แล้วพูดกับฮูหยินสามอย่างนิ่งเฉย “ทานข้าวกันเถิด” จากนั้นก็เดินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
ฮูหยินสามย่อเข่าคำนับแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” เรียกสาวใช้จัดอาหาร คนอื่นๆ ก็เดินไปนั่งในห้องปีกทางทิศตะวันออกกับไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋ส่งสายตาว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีให้สืออีเหนียง
*****
หลังทานข้าวเสร็จ ทุกคนก็ล้อมรอบไท่ฮูหยินไปที่ห้องทางทิศตะวันตก
ครั้งนี้ ไท่ฮูหยินนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง แต่สวีลิ่งอี๋กลับยืนอยู่ทางซ้ายมือของไท่ฮูหยิน
คุณชายสามและฮูหยินสามขยิบตาให้กัน จากนั้นพวกเขาสองคนก็ไปยืนอยู่ทางขวามือของไท่ฮูหยินเงียบๆ
ฮูหยินห้าเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา ดึงเสื้อของสวีลิ่งควน จากนั้นก็ไปยืนอยู่กับสืออีเหนียงที่ยืนอยู่ด้านหลังสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งควนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปยืนข้างสวีลิ่งอี๋
พวกเด็กๆ หันมามองหน้ากัน
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนยืนข้างท่านแม่ของตัวเอง ส่วนสวีซื่ออวี้ลากจุนเกอไปยืนอยู่ข้างสวีลิ่งควน
สาวใช้ที่ยกชาเข้ามาล้วนแต่ตัวสั่น วางชาลงเบาๆ แล้วรีบออกไป
ไท่ฮูหยินหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างระมัดระวัง
ในห้องเงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางวางถ้วยชาลง กวาดตามองดูบุตรชาย ลูกสะใภ้และหลานๆ ของตัวเองจากนั้นก็พูดช้าๆ “สองสามวันก่อน ท่านโหวฝันถึงถงอี๋เหนียง นางบอกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีแม้แต่คนจุดธูปให้ กลับชาติมาเกิดไม่ได้ ช่างน่าสงสารเสียจริง ขอให้ท่านโหวเห็นแก่นางที่นางรับใช้ท่านโหวมาตั้งแต่ยังเด็ก ขอให้ท่านโหวรับเด็กมาเลี้ยงในนามของนาง ให้เขาคอยจุดธูปให้นาง เพื่อทำให้นางได้ไปเกิดใหม่ ท่านโหวตื่นขึ้นมาก็ไม่สบายใจ วันต่อมาก็ไปที่วัด เตรียมที่จะรับเด็กคนหนึ่งกลับมาเลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง มันคงเป็นโชคชะตา มีเด็กคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนสกุลสวีของเราราวกับแกะ ท่านโหวจึงนึกถึงเรื่องที่ฝันถึงถงอี๋เหนียง คิดว่านี่มันคือเจตนาของพระเจ้า” พูดจบก็เหลือบไปมองสืออีเหนียง “จากนั้นก็ปรึกษากับสืออีเหนียง คนของสกุลหลัวและข้าจึงตัดสินใจรับเด็กคนนั้นกลับมา เลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียง ถือว่าทำเพื่อ…”
ไท่ฮูหยินยังพูดไม่จบ สวีลิ่งควนก็เดินไปข้างหน้า “ท่านแม่…”
สายตาของทุกคนมองไปที่เขา
“เรื่องนี้…”
เขาพึ่งพูดออกมาสองคำ ไท่ฮูหยินก็ตบลงบนโต๊ะที่อยู่บนเตียงเตาขัดจังหวะเขา
“ลิ่งควน” สวีลิ่งอี๋ทำสีหน้ามืดมน มองไปที่สวีลิ่งควนด้วยสายตาที่เย็นชา “ท่านแม่กำลังพูดอยู่ เจ้าพูดแทรกได้เช่นไร กลับไปยืนฟังเดี๋ยวนี้!”
สวีลิ่งควนทำสีหน้าหดหู่ เขาตัวสั่น จากนั้นก็ยืนตัวตรงตามสายตาของสวีลิ่งอี๋ เขามองไปที่พี่ชายของตัวเองด้วยสายตาที่แน่วแน่
สืออีเหนียงนึกถึงท่าทีของสวีลิ่งควนตอนที่พวกเขาเดินเข้ามา จากนั้นก็นึกถึงท่าทีของเขาตอนนี้ นางแอบคิดในใจ คนที่มีความแน่วแน่ในใจเท่านั้นถึงจะไม่กลัวอุปสรรคใด
หรือว่า เขาอยากเปิดเผยความจริงเพื่อที่จะรับผิดชอบเองคนเดียว?
เห็นได้ชัดว่าคนที่คิดเหมือนสืออีเหนียงยังมีไท่ฮูหยินอีกคนหนึ่ง
ไม่รอให้สวีลิ่งควนพูดอะไร นางก็พูดเสียงดังว่า “สวีลิ่งควน ข้ารักเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้ากำลังพูดเรื่องสำคัญกับพวกเจ้า เจ้ายังกล้าพูดแทรก หรือเจ้าเห็นว่าท่านพ่อของเจ้าไม่อยู่แล้ว ไม่เห็นท่านแม่อย่างข้าอยู่ในสายตาแล้ว”
ไท่ฮูหยินบอกว่าสวีลิ่งควนไม่มีความกตัญญูกตเวที
พูดเช่นนี้รุนแรงเกินไป
สีหน้าของสวีลิ่งควนเปลี่ยนไป เขาคุกเข่าลงราวกับภูเขาหยกและเสาทองคำที่ล้มครืน “ควนเอ๋อร์ไม่กล้าขอรับ…”