ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 207 ตกแต่ง(ปลาย)
เดิมทีสืออีเหนียงก็อิจฉาที่ฮูหยินสองได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่ที่ซีซานในช่วงปีใหม่ ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเช่นนี้ แน่นอนว่านางก็ไม่บังคับฮูหยินสอง ออกไปส่งฮูหยินสองที่ประตูด้วยตัวเอง
ระหว่างทาง ฮูหยินสองพูดว่า “น้องสะใภ้สี่ ที่จริงแล้วข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าสองต่อสอง”
ไม่แปลกที่นางมาบอกลาตัวเอง
สืออีเหนียงเข้าใจขึ้นมาทันที ในเมื่อนางมีเรื่องอยากบอกกับตัวเองขนาดนี้ เกรงว่าหากไม่บรรลุเป้าหมายคงจะไม่ยอมแพ้ นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สองมีสิ่งใดให้ข้ารับใช้ก็บอกมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้จะให้เจ้ารับใช้” ฮูหยินสองยิ้มอย่างแผ่วเบา “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าขนาดนี้”
สืออีเหนียงเห็นท่าทีสงบเยือกเย็นของนาง นางก็ยิ้มให้ฮูหยินสอง
“ข้าบอกให้ท่านโหวยอมรับเด็กคนนั้น เจ้าคงจะไม่สบายใจใช่หรือไม่!” ฮูหยินสองหยุดเดิน นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่สงบนิ่งและลึกซึ้ง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าคิดว่าพี่สะใภ้สองพูดถูก แทนที่จะปล่อยให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ไม่สู้ยอมรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงเสีย ดีกว่ามีข่าวลือที่ไม่น่าฟัง”
“เจ้าคิดแบบนี้ก็ดี” ฮูหยินสองได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพยักหน้า เดินไปข้างหน้าแล้วพูดกับนางเบาๆ “เราต้องรู้ว่า คนในครอบครัวเดือนร้อน ครอบครัวก็จะอยู่ไม่เป็นสุข ตราบใดที่ครอบครัวของเราเป็นสุข เราก็จะเป็นสุข…”
จากนั้นก็สั่งสอนนางเรื่องความสามัคคีของคนในครอบครัว
สืออีเหนียงรู้ว่าทุกคนคิดว่านางยังเด็กจึงยังไม่รู้เรื่องราวอะไร ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นพวกเขาก็มักจะทำตัวราวกับผู้ใหญ่สอนเด็กก็ไม่ปาน บางครั้งก็เจตนาดี แต่บางครั้งก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของฮูหยินสองจะเรียบนิ่ง แต่นางไม่ได้มีเจตนาร้าย สืออีเหนียงจึงรับฟังมาตลอดทาง พยักหน้าตลอดทาง เดินไปส่งฮูหยินสองที่หน้าประตูฉุยฮวา
รถม้ารออยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว ป้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วยยกบันไดมาวาง แต่ฮูหยินสองไม่ได้รีบขึ้นรถม้า นางพูดกับสืออีเหนียง “…สำหรับเรื่องอนาตคของเด็กคนนั้น เจ้าก็ไม่ต้องกังวล ในเมื่อข้าเป็นคนบอกให้ทำเช่นนี้ ข้าไม่มีทางทำให้เจ้าลำบากใจ ทำให้ท่านโหวเสียเงินแม้แต่สลึงเดียว ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
สืออีเหนียงตกใจ
ฮูหยินสองยิ้ม นางพยักหน้าแล้วขึ้นไปบนรถม้า
มองดูรถม้าที่กำลังแล่นออกไป สืออีเหนียงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ฮูหยินสองผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
และเมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นนางยิ้มกลับมา พลันนึกถึงเมื่อก่อนที่หยวนเหนียงและพี่สะใภ้สองไม่ค่อยถูกชะตากัน เขาจึงถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ดูดีใจขนาดนี้?”
สืออีเหนียงเล่าเรื่องที่ฮูหยินสองพูดกับตัวเองให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…อาจจะเป็นเพราะว่านางเป็นคนบอกให้รับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงในเรือนของเรา นางคงจะไม่สบายใจเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ไม่ใช่เรื่องของใครสักหน่อย” จากนั้นก็บอกสืออีเหนียง “พี่สะใภ้สองมีกิจการที่ทำเงินได้สองสามกิจการ ถึงแม้ว่านางไม่ได้คลาดแคลนเงิน แต่ว่านางเป็นม่าย เราจะเอาเงินนางไม่ได้”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพยักหน้าซ้ำๆ “หากเรื่องนี้แพร่พรายออกไป คนอื่นอาจจะคิดว่าเรารังแกคนเป็นม่าย หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไรก็คงฟังไม่ขึ้น”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางเข้าใจแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวนางแล้วพูดว่า “ต่อไปข้าเพิ่มเงินให้เจ้าเดือนละห้าสิบตำลึง” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เบิกจากลานข้างนอก”
สืออีเหนียงตกใจ
สวีลิ่งอี๋จะเอาเงินของตัวเองมาให้นางเช่นนั้นหรือ
เพราะว่าต้องเลี้ยงเฟิ่งชิงในเรือนของนาง?
นางมีท่าทีลังเลใจ สวีลิ่งอี๋ก็พูดขึ้นว่า “สายแล้ว ไปตรอกกงเสียนแล้วเรายังต้องไปตรอกหงเติง”
สืออีเหนียงตอบรับ สวมเสื้อคลุมแล้วออกไปยังเรือนไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
รู้ว่าพวกเขาสองคนจะไปพูดเรื่องนี้กับนายท่านสกุลหลัว ไท่ฮูหยินก็ถอนหายใจ ตบมือสืออีเหนียงเบาๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร
มาถึงตรอกกงเสียน สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่สืออีเหนียงคิดไว้
สกุลหลัวได้ยินข่าวลือเรื่องนี้แล้ว สำหรับเรื่องที่สวีลิ่งอี๋จะยอมรับบุตรนอกสมรสคนนั้นเข้ามาอยู่ในสกุล นายท่านใหญ่ไม่เพียงแต่ไม่ว่าอะไร แล้วยังบอกสืออีเหนียงว่าต้องรักและเคารพสามี เชื่อฟังสามี อย่าทะเลาะกับสามีเพราะเรื่องนี้ แล้วยังบอกให้นางเมตตาต่อบุตรอนุ เป็นท่านแม่ที่จิตใจดีศีลธรรม จะได้ไม่ผิดต่อคำสั่งสอนของนายหญิงใหญ่
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็เหงื่อตก อดไม่ได้ที่จะแอบคิดเดาในใจ นายท่านใหญ่คงจะเข้าใจเรื่องนี้ดีใช่หรือไม่…
และเมื่อหลัวเจิ้นซิ่งเห็นว่าทานพ่อพูดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ขยิบตาให้สืออีเหนียง “ยังไม่ได้ไปคารวะท่านแม่ใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงถือโอกาสขอตัวออกไป ปล่อยให้สวีลิ่งอี๋ นายท่านใหญ่และหลัวเจิ้นซิ่งพูดคุยกันในห้องหนังสือ
คุณนายใหญ่รอนางอยู่ใต้ชายคา
เห็นนางเดินออกมา นางก็รีบเดินมาต้อนรับแล้วพูดเบาๆ “เลี้ยงเด็กในนามของใคร”
ถึงแม้ว่านางจะรู้ว่าสวีลิ่งอี๋เคยให้สัญญาไว้ แต่นางก็ยังคงกังวล
“เลี้ยงในนามของถงอี๋เหนียงเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ดีแล้ว ดีแล้ว” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ท่านแม่ยังไม่รู้เรื่องนี้ ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้เผลอพูดออกไปเชียว”
สืออีเหนียงพยักหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นคุณนายสี่เดินเข้ามา
นางม้วนผมเป็นมวยกลม สวมเครื่องประดับสีทอง สวมชุดอ่าวสีเขียว สวมกระโปรงสีฟ้า สายตาเป็นประกาย มีชีวิตชีวา
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปคำนับและทักทาย
คุณนายสี่ยิ้มแล้วคำนับกลับ แต่กลับไม่ถามว่านางมาทำไม แค่ชวนนางไปนั่งที่เรือนหลัง “…อากาศหนาว ไปนั่งในห้องจะได้อบอุ่น”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณนาง “ข้ายังไม่ได้ไปคารวะท่านแม่เลยเจ้าค่ะ”
คุณนายสี่และคุณนายใหญ่ช่วยนางเปิดม่าน แล้วไปที่ห้องของนายหญิงใหญ่ด้วยกันกับนาง
อาการป่วยของนายหญิงใหญ่ยังไม่ดีขึ้น เมื่อเห็นสืออีเหนียงนางก็ตกอกตกใจ มองไปที่ป้าสวี่ที่อยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล สืออีเหนียงรู้ว่านางแปลกใจที่ตัวเองกลับมากะทันหันเช่นนี้ ไม่รอให้ป้าสวี่ได้พูดอะไรนางก็พูดก่อนว่า “วันนี้ท่านโหวดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้นจึงมาเยี่ยมท่านพ่อเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่ก็พูดอยู่ข้างๆ “ท่านไม่สบาย ท่านโหวไม่สะดวกเข้ามาเยี่ยม ท่านพ่อจึงให้เขาอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า
สืออีเหนียงก็ถามถึงสุขภาพของนายหญิงใหญ่ พูดคุยกันสองสามประโยค นายหญิงใหญ่ก็ฉี่รดที่นอน ป้าสวี่และคุณนายสี่รับใช้นางเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณนายใหญ่จึงพาสืออีเหนียงไปที่เรือนของตัวเอง
ออกมาข้างนอก นางก็รีบพูดว่า “สองสามวันนี้อี๋เหนียงห้าไม่ค่อยสบาย เจ้าจะไปเยี่ยมนางหรือไม่”
สืออีเหนียงตกใจ “ขอบคุณพี่สะใภ้ รบกวนพี่สะใภ้พาข้าไปทีเจ้าค่ะ”
คุณนายให้ยิ้มแล้วพานางไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกของอี๋เหนียงห้า
เพราะว่าเป็นฤดูหนาว หน้าต่างของเรือนปีกจึงปิดทุกบาน อีกทั้งยังเป็นหน้าต่างและม่านแบบเก่า แสงในห้องจึงค่อนข้างมืด ม่านสีฟ้า แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ ก็เห็นเพียงแต่เงา
“อี๋เหนียงห้า คุณหนูสิบเอ็ดมาเจ้าค่ะ!”
ผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็โผล่ออกมาจากม่าน
“คุณหนู…คุณหนูสิบเอ็ด” อี๋เหนียงห้าพูดติดๆ ขัดๆ เห็นสืออีเหนียงนางดูไม่ได้ดีใจ ใบหน้ากลับแดงก่ำ ราวกับว่าสืออีเหนียงมารบกวนนาง
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ นางใช้สายตาถามคุณนายใหญ่
คุณนายใหญ่เองก็แปลกใจเหมือนกัน นางส่ายหน้าแล้วกระซิบบอกเบาๆ “เรื่องในเรือนของท่านพ่อ ข้าไม่สะดวกที่จะถาม” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับอี๋เหนียงห้าว่า “ได้ยินมาว่าท่านไม่สบาย คุณหนูสิบเอ็ดจึงมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงห้าลงมาจากเตียง ได้ยินคุณนายใหญ่พูดเช่นนี้นางก็ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไร คุณหนูสิบเอ็ดไม่ต้องมาเยี่ยมข้าหรอกเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
หรือว่านายหญิงใหญ่จะพูดอะไร ทำให้อี๋เหนียงห้าหวาดกลัว?
เห็นสีหน้าของนาง ถึงแม้ว่าจะสวมชุดอ่าวสีขาวที่ใหม่เอี่ยม แต่เสื้อกั๊กยาวที่แขวนอยู่บนราวกลับเป็นชุดเก่าเมื่อสองสามปีก่อน ในห้องไม่มีสาวใช้สักคน ถามนางว่าเป็นอะไร นางก็ไม่พูด สืออีเหนียงจึงรู้สึกมั่นใจ
เพราะว่าคุณนายใหญ่ยืนอยู่ข้างๆ อีกทั้งอี๋เหนียงห้าก็ยังมีท่าทีตกใจ สืออีเหนียงจึงไม่สะดวกที่จะซักถามเรื่องราว นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นขอตัวลา จากนั้นก็ไปที่เรือนของคุณนายใหญ่
พวกนางสองคนเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง สาวใช้ยกชาเข้ามา คุณนายใหญ่พูดปลอบใจสืออีเหนียง “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะคอยดูให้เจ้าเอง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นข้าจะส่งคนไปรายงานเจ้า”
“ขอบพระคุณพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วจิบชา “เพราะว่าเป็นเรื่องในเรือนของท่านพ่อ พี่สะใภ้ใหญ่ไม่สะดวกเข้าไปยุ่ง แต่ข้าเห็นว่าอี๋เหนียงไม่มีคนคอยรับใช้เลยสักคน คงต้องไหว้วานให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยดูแลนางสักหน่อย”
คุณนายใหญ่หน้าแดง นางตอบรับด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องราวกับพยายามหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ “สองวันก่อนข้าไปเยี่ยมสือเหนียงมา” พูดจบก็ถอนหายใจ “เด็กในท้องรักษาไว้ไม่ได้จริงๆ”
สืออีเหนียงพลันนึกขึ้นมาได้ ครั้งก่อนที่กลับสกุลเดิม นางบอกว่าจินเหมย สาวใช้ของสือเหนียงตั้งครรภ์
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ หวังหลังไปก่อเรื่องอีกแล้ว?”
“ไม่ใช่” คุณนายใหญ่พูด “บอกว่านอนเบื่ออยู่ในเรือน จึงไปช่วยท่านป้าเก็บไข่ไก่สองฟอง เด็กก็แท้ง”
“คงเป็นเพราะว่าสกุลหวังไม่มีวาสนา!” สืออีเหนียงไม่ชอบหวังหลังอยู่แล้ว นางไม่ได้อยากจะฟังเรื่องทุเรศๆ ของเขา จึงซักถามถึงสือเอ้อร์เหนียงแทน “เหตุใดจึงไม่เห็นนางเลยเล่า”
“อี๋เหนียงหกให้นางอยู่ในห้องทุกวัน หากไม่เขียนกระดาษสองแผ่นก็ไม่อนุญาตให้นางออกมา”
สืออีเหนียงนึกถึงอู่เหนียง แล้วก็นึกถึงเรื่องที่นางให้ตนตามหาฟั่นเหวยกัง “…ช่วงนี้ไม่ได้กลับมาเลยหรือเจ้าคะ”
“นางตั้งครรภ์ ไม่สะดวก จึงไม่กลับมา” คุณนายใหญ่ตอบ แต่กลับพูดถึงชีเหนียง “…นางส่งของมาตั้งมากมาย ข้าก็พยายามส่งของขวัญตอบแทนไปให้นาง แต่หากต่อไปเป็นเช่นนี้ทุกปี ก็คงจะไม่ไหวจริงๆ”
“นี่เป็นปีแรกที่นางแต่งงาน แน่นอนว่าต้องจัดใหญ่โตหน่อยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงปากตอบกลับคุณนายใหญ่ แต่ในใจกลับกำลังคิดถึงอู่เหนียง
ดูเหมือนว่านางไม่ได้กลับมาพูดเรื่องนี้ที่สกุลเดิม!
ถึงแม้ว่าตัวเองจะปฏิเสธไปอย่างอ้อมๆ แล้ว แต่เกรงว่านางจะยังไม่ยอมแพ้…
ทั้งสองคนพูดคุยกัน สาวใช้ที่ห้องหนังสือก็เข้ามารายงาน “ท่านโหวจะกลับแล้วเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่พาสืออีเหนียงไปบอกลานายหญิงใหญ่ จากนั้นก็ออกไปส่งนางที่หน้าประตุฉุยฮวา
พวกเขาสองคนไปที่ตรอกหงเติง สกุลซุนของติ้งหนานโหว
จวนของสกุลซุนเล็กกว่าสกุลสวี ล้วนแต่สร้างตามกฎเกณฑ์ของตำแหน่งท่านโหว ประตูใหญ่และห้องโถงล้วนแต่ใหญ่เล็กไม่เหมือนกัน
ท่านโหวอายุสี่สิบถึงได้รับตำแหน่งตานหยางเซี่ยนจู่ เคยสู้กับกบฏในซงโจวกับฮ่องเต้องค์ก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะรุ่นราวคราวเดียวกับไท่ฮูหยิน แต่หากไม่พูดถึงอายุ เขาคือขุนนางที่มีความสามารถระดับต้นๆ สวีลิ่งอี๋เคารพเขาเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงที่จะพาสืออีเหนียงไปหาติ้งหนานโหว
รูปร่างของติ้งหนานโหวไม่ได้สูงมากนัก แต่สุขภาพดูแข็งแรง ผมขาว ฝ่ามือใหญ่ราวกับใบพัดกำลังถือหยกกลมสามลูกที่ขนาดเท่ากำปั้นของทารกหมุนไปมา
เขามองสืออีเหนียงตั้งแต่หัวจรดเท้า “นี่คือภรรยาของเจ้าหรือ”
สายตาที่อ่อนโยน รอยยิ้มที่แจ่มใส ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ง่าย
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “ขอรับ” ด้วยความเคารพ
เขายิ้ม “ราวกับหัวหอม”
สืออีเหนียงรู้สึกเขินอาย
บอกว่าตัวเองผอมเกินไปหรือว่าตัวเองเด็กเกินไป…
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้ม
ติ้งหนานโหวบอกให้สาวใช้พาสืออีเหนียงไปหาฮูหยินของตัวเอง จากนั้นก็ไปยังห้องหนังสือกับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้เกรงใจติ้งหนานโหว เขาพูดสาเหตุที่มาที่นี่อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อได้ฟังแล้วติ้งหนานโหวก็ถอนหายใจ “เจ้าตัดสินใจเองเถิด”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าตัวเองนั้นได้บอกเขาแล้ว จึงพูดคุยกับติ้งหนานโหวอีกเพียงสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวลา