ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 203 ปรากฏตัว(กลาง)
นางเอาแต่เป็นห่วงทางฝั่งตรอกกงเสียน นึกไม่ถึงเลยว่าพี่ใหญ่ไม่เพียงแต่จะรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ยังรีบตรงมาแจ้งข่าวกับจวนสกุลสวีตั้งแต่เช้าตรู่
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ความกังวลใจของอู่เหนียงก็ค่อยๆ สลายหายไป
นางถามสืออีเหนียงเสียงทุ้มต่ำว่า “พี่ใหญ่พูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
สืออีเหนียงพูดเพียงว่าหลัวเจิ้นซิ่งมาโน้มน้าวตนว่าอย่าให้เรื่องของเด็กมาสร้างความขัดแย้งให้กับความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาได้
อู่เหนียงถามสืออีเหนียงว่าคิดวางแผนอย่างไรต่อ
“ข้าจะไปมีแผนอะไรได้” สืออีเหนียงพูดขึ้น “หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็ต้องรอดูท่าทีของท่านโหวอีกที”
“ก็จริง” อู่เหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “อย่างไรเสียเจ้าเองก็มีศักดิ์เป็นแม่เลี้ยง ไม่สะดวกที่จะออกหน้า”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ ไม่อยากจะคุยเรื่องพวกนี้กับนางต่อ จึงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “สุขภาพร่างกายพี่หญิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“อืม” อู่เหนียงยิ้ม “ข้าสบายดี วันๆ ก็เอาแต่กินแล้วก็นอน ตื่นแล้วก็กินต่อ อ้วนขึ้นมากแล้ว”
“กินได้นอนได้ถือเป็นเรื่องที่ดี” สืออีเหนียงพูดคุยกับนางด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าพี่หญิงชอบทานอะไร ข้าจะได้ให้เด็กจัดเตรียมเสียหน่อย”
อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ตอนนี้ข้าจะไปเลือกกินเหมือนตอนที่ยังเป็นคุณหนูได้อย่างไรกันเล่า มีอะไรก็ทานอย่างนั้น!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าคำพูดมีนัยแอบแฝง แต่ก็ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง จึงทำเป็นไม่เข้าใจ “ข้าเห็นน้องสะใภ้ห้าตั้งครรภ์แล้วชอบทานหน่อไม้ดองเปรี้ยว ข้าเรียกเด็กไปเอามาให้ท่านลองชิมดูสักหน่อยดีหรือไม่ หากว่าอร่อย ก็นำติดไม้ติดมือกลับไปด้วย”
อู่เหนียงส่ายหน้าเบาๆ “ช่างเถิด คนเราเปลี่ยนจากประหยัดอดออมเป็นฟุ่มเฟือยได้ง่าย แต่เปลี่ยนจากฟุ่มเฟือยเป็นประหยัดอดออมได้ยาก หากจู่ๆ หาทานไม่ได้แล้ว จะรู้สึกทรมานเอาได้”
มาร้องทุกข์ตรอมตรมต่อหน้าตนเช่นนี้ หรือว่าไปถูกอกถูกใจธุรกิจการค้าอะไรเข้าอีก แล้วอยากให้ตนไปเข้าร่วมด้วย?
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดูพี่หญิงพูดเข้า หน่อไม้ดองเปรี้ยวไม่ใช่ของดีอะไรเสียหน่อย หากว่าพี่หญิงชอบทาน ข้าให้ตงชิงทำให้พี่หญิงก็สิ้นเรื่อง” จากนั้นก็ลุกขึ้นพลางขานเรียกชื่อลี่ว์อวิ๋น ให้นางไปเตรียมหน่อไม้ดองเปรี้ยวมาสักจาน
ลี่ว์อวิ๋นขานรับแล้วออกไปทันที
“เฮ้อ!” อู่เหนียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง “นี่ก็เป็นเหมือนคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ ‘ทุกบ้านล้วนมีคัมภีร์ที่สวดยากประจำบ้าน ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาของตัวเอง’ เจ้าน่ะไม่ต้องห่วงเรื่องกิน ไม่ต้องห่วงเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ เพียงแค่เอ่ยปากไปคำเดียว ผู้คนก็รีบมาปรนนิบัติรับใช้จนแทบไม่ทัน แต่ท่านโหวกลับ…ส่วนข้านั้น สามีสง่ารูปงาม ความรู้มากมาย แต่ครอบครัวทางบ้านกลับเปราะบาง ไร้ซึ่งรากฐานที่มั่นคง ล้วนต้องอาศัยสินเดิมของข้าในการใช้ชีวิต คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่เจ้าคงจะเข้าใจที่สุด จะว่าไปแล้วสินเดิมของพวกเราจะมีกี่มากน้อย หากผิดพลาดล้มเหลวขึ้นมา แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันก็ไม่อาจทำได้เสียด้วยซ้ำ มิเช่นนั้น ข้าจะไปเปิดเผยหน้าตาวิ่งเต้นเหน็ดเหนื่อยออกไปทำการค้าทำไมกัน” รอยยิ้มก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่กล้ำกลืนฝืนทนขึ้นมา “ใครจะไปรู้ว่าดวงจะไม่ดีขนาดนี้ ไปเจอเข้ากับภัยพิบัติพายุหิมะที่ไม่เกิดขึ้นนานนับสิบปี สูญเงินหลายร้อยตำลึงโดยเสียเปล่า”
สืออีเหนียงเองก็เคยข้ามผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมา หากเปลี่ยนเป็นตน ก็คงจะรู้สึกปวดใจไม่แพ้กัน จึงพอจะเข้าใจในความรู้สึกของอู่เหนียงได้
สืออีเหนียงจึงพูดปลอบใจนางไปว่า “ถือเสียว่าซื้อประสบการณ์ วันข้างหน้าหากอยากทำการค้าใดอีก ก็เริ่มต้นจากทุนเล็กๆ น้อยๆ ก่อน รอให้มั่นใจและเชื่อถือได้แล้ว ค่อยขยับขยายก็ยังไม่สาย”
“ก็คงจะต้องคิดเช่นนั้น” อู่เหนียงพูดขึ้นด้วยความจนใจ “พี่เขยของเจ้าก็ปลอบใจข้าเช่นนี้ ให้คิดเสียว่าการเก็บเกี่ยวไม่ดี ก็เลยไม่ได้ผลผลิต”
ถึงแม้ว่าเฉียนหมิงจะเป็นคนที่ค่อนข้างชอบประจบเอาใจผู้มีอำนาจอิทธิพล แต่ก็มีหลักการและขอบเขตของตัวเอง สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพี่เขยคิดเช่นนี้ พี่หญิงก็ยิ่งควรปล่อยวางให้ได้ถึงจะถูก”
อู่เหนียงตอบกลับไปว่า “อืม” แต่แล้วจู่ๆ ก็เหมือนกับจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางเอนตัวข้ามโต๊ะเล็กที่วางขั้นทั้งสองบนเตียงเตาพลางพูดขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “สินเดิมของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
สืออีเหนียงนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ นางจะถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงอึ้งไปชั่วขณะ
อู่เหนียงก็พูดต่อไปว่า “ที่ดินดินทรายหนึ่งผืน ที่ดินเอียงลาดหนึ่งผืน อย่าว่าแต่เราที่ไม่มีความรู้ แยกแยะไม่ได้แม้กระทั่งชนิดของธัญพืช แม้แต่บ่าวรับใช้ติดตามที่มาจากทางตอนใต้ ก็ไม่รู้เรื่องการเพาะปลูกไร่นาบนดินทรายและดินเอียงลาดเลย น้องหญิง เจ้าเองคงจะลำบากไม่น้อย!”
“ใช่แล้ว ข้ากำลังกลุ้มใจกับเรื่องนี้อยู่เลย!” เรื่องนี้สืออีเหนียงไม่ปฏิเสธ “ประสบการณ์ข้ามีน้อย และยังไม่มีแนวคิดที่ดี หากพี่หญิงมีข้อคิดเห็นดีๆ ต้องบอกข้าด้วยนะเจ้าคะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” อู่เหนียงรับปากอย่างเต็มอกเต็มใจ “เจ้าและข้าทั้งสนิทสนมและคิดเห็นพ้องกัน หากไม่ช่วยเจ้าแล้วจะไปช่วยใครที่ไหนกันเล่า” จากนั้นนางก็ได้แสดงสีหน้าท่าทีที่จริงใจ “แต่ทว่าเรื่องนี้เจ้าคงจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเสียหน่อย จะต้องรู้ว่าเจ้านั้นไม่เหมือนกับข้า ข้าเป็นเพียงแค่ครอบครัวตระกูลเล็กๆ ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ตระกูลของเจ้านั้นยิ่งใหญ่และกว้างขวาง มากคนมากเรื่อง สลับซับซ้อนยากที่จะแก้ไข หากไม่มีเงินทองที่เป็นของตัวเองไว้ติดตัว แม้แต่จะตกรางวัลให้สาวใช้ก็ถือเป็นเรื่องยากเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงการจะทำให้เหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ไท่ฮูหยินให้ยอมศิโรราบ!”
อู่เหนียงพูดถูกจริงๆ เสียด้วย
สืออีเหนียงเองกำลังกังวลใจเรื่องนี้จริงๆ
หากไม่มีอะไรผิดพลาด ปีหน้านางก็คงจะต้องรับตำแหน่งเจ้าบ้านผู้ดูแลหลักของจวนสกุลสวีอย่างแน่นอน ปกติแล้วแค่เชิญเหล่าบรรดาป้ารับใช้ที่เป็นผู้ดูแลมาทานขนม ตกรางวัลด้วยเครื่องประดับเพื่อที่จะซื้อใจ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่ตระกูลจวนสกุลสวีไม่ใช่ตระกูลเล็กๆ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนตัวละคร รองรับตำแหน่งสถานะที่เปลี่ยนไป เหล่าบรรดาป้ารับใช้คอยจับตาดูและคอยเงี่ยหูฟังตลอด ต้องใช้เงินและประสบการณ์ค่อนข้างมาก หากสิ่งของไม่มีค่าพอ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถซื้อใจได้ พวกนางคงจะดูถูกเหยียดหยามเสียด้วยซ้ำ ต่อไปในภายภาคหน้าตนรับตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ดูแลหลักขึ้นมา ท่านป้าเหล่านั้นก็จะหน้าไหว้หลังหลอก แสร้งทำว่าเคารพต่อหน้า ลับหลังมาคงต่อต้านติฉินนินทา พลอยจะทำให้ตนสูญเสียความน่าเกรงขามไป
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร อู่เหนียงก็พูดขึ้นเสียงต่ำว่า “น้องหญิง มีธุรกิจการค้าอย่างหนึ่ง กำไรค่อนข้างมาก หากว่าสามารถทำสำเร็จได้ ไม่เพียงแต่จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ของน้องหญิง ยังช่วยให้ข้าคลอดเด็กได้อย่างอุ่นใจอีกด้วย”
สีหน้าของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความจนใจ พูดปฏิเสธอย่างสุภาพไปว่า “คนอื่นอาจไม่รู้ แต่พี่หญิงคงจะรู้ดีที่สุด เงินลงทุนที่ค่อนข้างมากข้าไม่สามารถเอาออกมาได้จริงๆ” คำพูดของนางค่อนข้างมีชั้นเชิง ‘ไม่สามารถเอาออกมาได้จริงๆ’ คำพูดประโยคนี้ พลอยทำให้คนฟังเข้าใจว่า ถึงแม้ว่าจะมีเงิน แต่ไม่ได้มากมายขนาดนั้น
ที่พูดเช่นนี้เพราะนางมีเจตนาอื่น
หากบอกว่าตัวเองมีเงิน ก็กลัวว่าอู่เหนียงจะขอจำนวนมาก แล้วตนก็ไม่สามารถจะให้ได้ ทำลายความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพี่น้องไป แต่หากตนบอกว่าไม่มีเงิน ก็กลัวว่าอู่เหนียงจะเข้าใจผิด คิดว่าตนนั้นโกหกแกล้งจน ไม่อยากที่จะช่วยเหลือนาง
อู่เหนียงได้ยินแล้วก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพลางหัวเราะเบาๆ “การค้านี้ไม่ต้องใช้เงินลงทุน”
สืออีเหนียงรู้สึกใจหายขึ้นมาทันที นางทักอู่เหนียงไปว่า “ขนมจะตกลงมาจากฟ้าได้อย่างไรกันเล่า”
“นี่ก็คือขนมที่ตกลงมาจากฟ้าจริงๆ” อู่เหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าจะต้องมีส่วนที่ลำบากอยู่บ้าง ทว่าสำหรับคนอื่นแล้วอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับน้องหญิงสิบเอ็ดแล้ว ง่ายเสียจนแทบไม่ต้องออกแรงเลย”
อะไรคือ ‘สำหรับคนอื่นแล้วอาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับตนแล้ว ง่ายเสียจนแทบไม่ต้องออกแรงเลย!’
สืออีเหนียงรู้สึกใจหวิวขึ้นมา ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความรู้สึกโชคดี “หรือว่าจะเปิดหอผ้าปัก เรื่องนี้ข้าค่อนข้างมั่นใจอยู่บ้าง”
“เปิดหอผ้าปักอะไรกันเล่า อันนั้นต้องใช้เงินลงทุน” อู่เหนียง ยิ้มพร้อมกับบอกเรื่องหนังสืออนุญาตจำหน่ายเกลือกับสืออีเหนียง “…เจ้าว่า นี่ใช่ขนมที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าหรือไม่”
สืออีเหนียงรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจ
คนค้าขายแสวงหาผลกำไร ใครจะไปผลักเงินที่อยู่ในมือออกไปข้างนอกเล่า คนเช่นจวนสกุลเหวิน หากไม่ใช่เพราะกำลังหลอกล่อเหยื่อ ใช้ธุรกิจการค้าที่หาเงินได้ง่ายๆ มาตกเหยื่อเช่นเฉียนหมิงสองสามีภรรยา เริ่มจากง่ายไปยาก ให้ทั้งสองไม่สามารถหยุดได้ สุดท้ายค่อยบีบให้ทั้งสองยอมเสี่ยงทำเรื่องอันตรายเพราะเข้าตาจน มิฉะนั้นเรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะได้ผลตอบแทนสูง แต่จะทำให้สำเร็จจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเงินที่ได้มาล้วนต้องอาศัยความสัมพันธ์ทั้งนั้น
การจะเข้าหาฟั่นเหวยกัง ก็จะต้องใช้เสบียงอาหารราวหนึ่งพันแปดร้อยหาบเพื่อที่จะลดทอนขั้นตอนทิ้งไป ตอนนี้กลับใช้เพียงแค่ห้าร้อยหาบ แล้วผลกำไรเหล่านั้นจะมาจากที่ใดกันล่ะ แน่นอนว่าคงจะต้องมาจากการขูดรีดของเหล่าบรรดาขุนนางทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เท่ากับเป็นการแย่งอาหารจากปากเสือหรอกหรือ ครั้งสองครั้งอาจจะไม่เป็นไร แต่พอนานวันเข้า เกรงว่าถึงแม้จะใหญ่มาจากไหนก็คงจะถูกบรรดาขุนนางเหล่านั้นเคียดแค้นเกลียดชังเอาได้ แล้วจะพากันหาโอกาสลอบกัด ถึงเวลานั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว เหตุการณ์ความประมาทเลินเล่ออันน้อยนิดนำไปสู่หายนะอันใหญ่หลวงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
นางนึกถึงคำพูดที่หลัวเจิ้นซิ่งตักเตือน ชี้แนะ
เห็นได้ชัดว่าเขาทำเหมือนว่านางนั้นเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว…
สืออีเหนียงแสดงสีหน้าที่กระอักกระอ่วนใจ “ข้าไม่รู้จักใต้เท้าฟั่นเสียหน่อย…เกรงว่าคงจะต้องให้ท่านโหวออกหน้า…”
อู่เหนียงแววตาสั่นไหว รีบบอกต่อคำพูดของเฉียนหมิงที่เคยพูดกับนางไว้ทันที “เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นให้ท่านโหวออกหน้าเสียหน่อย เจ้าเพียงแค่ต้องบอกกับพ่อบ้านสักคำ แล้วเอานามบัตรของท่านโหวมาก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ พวกข้าจะช่วยจัดการไปตามความเหมาะสม”
“แบบนี้…ไม่ค่อยดีหรือไม่!” สีหน้าของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความหวาดวิตก “หากท่านโหวถามเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วข้าจะตอบอย่างไรดี ไม่ได้ ไม่ได้!” สืออีเหนียงส่ายหน้าไปมาไม่หยุด ราวกับกลองป๋องแป๋งก็ไม่ปาน
“ไอ๊หยา ท่านโหวงานยุ่งทั้งวันทั้งคืน มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ที่ไหนกันเล่า” อู่เหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขลาดกลัวเกินไปแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน “พี่หญิงก็รู้ว่าข้าน่ะขี้ขลาด บอกท่านโหวสักคำก่อนแล้วค่อยไปวางแผนดีกว่า!”
อู่เหนียงเห็นว่าสืออีเหนียงรับปากยากเย็น จึงปั้นหน้าปั้นตาว่าที่เข้มงวดก็เพราะหวังอยากให้ได้ดิบได้ดี นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เจ้านะเจ้า แล้วจะทำอย่างไรดี ข้ากลุ้มอกกลุ้มใจแทนเจ้า แต่เจ้ากลับทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าอย่าถือสาที่พี่หญิงคนนี้พูดจาตรงเกินไป เจ้าจะต้องรู้ว่าระหว่างเจ้ากับท่านโหวเป็นสามีภรรยากันมาครึ่งทางเท่านั้น ปีนี้อายุเขายังไม่ถึงสามสิบ บุตรชายคนโตของอนุภรรยา บุตรชายคนโตของภรรยาเอก บุตรสาวคนโตของอนุภรรยา ก็มีครบจนหมดแล้ว เรื่องบางเรื่องเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดีที่สุด เจ้าต้องรู้ว่าวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ไม่แน่วันดีคืนดีอาจจะมีอี๋เหนียงเข้ามาใหม่ หากเจ้าไม่เตรียมการให้กับตัวเอง ก็ควรจะคิดเผื่อบุตรของตัวเองในอนาคตด้วย หาเงินสักก้อนติดตัวไว้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่ฮูหยินห้าในจวนของพวกเจ้า ตอนแต่งงานเข้าเรือน สินเดิมก็ปาเข้าไปหนึ่งร้อยยี่สิบแปดยกเห็นจะได้ ท่านหญิงเสี่ยนจู่ ราชทินนามที่แต่งตั้งโดยราชสำนัก คุณหนูใหญ่บุตรสาวจากภรรยาเอกของจวนติ้งหนานโหว มีชื่อเสียงอำนาจใหญ่โต! คนอื่นเขายังเปิดร้านค้าขายอยู่ข้างนอกเลย เพราะคนอื่นเขารู้ว่าหากมีเงินอยู่ในมือ ก็จะไม่ต้องหวาดวิตกกังวลสิ่งใด เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต กลัวไปเสียทุกอย่าง…”
สืออีเหนียงฟังนางพูดอย่างตั้งใจ และได้เออออเห็นด้วยตลอดการสนทนา เพียงแต่ไม่ยอมมีส่วนร่วมในหัวข้อสนทนาสักที อู่เหนียงสังเกตเห็นว่าไม่ว่านางจะพูดอย่างไร สืออีเหนียงก็ยังคงดูกล้าๆ กลัวๆ เหมือนเดิม แม้ว่าในใจจะรู้สึกรีบร้อนเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถเร่งรัดสืออีเหนียงจนเกินไป จึงค่อยๆ วกกลับมาพูดเรื่องของเด็ก “…ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บุตรชายคนโต รอผ่านไปสักหลายๆ ปี ค่อยไปสู่ขอสะใภ้ให้กับเขา แล้วแบ่งเงินจำนวนหนึ่งให้เขาออกไปตั้งหลักใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกด้วยตัวเองก็เรียบร้อย”
สืออีเหนียงเห็นว่าเวลานี้ไม่เช้าแล้ว จึงตัดบทสนทนาของนาง “…พี่หญิงมาถึงนี่ทั้งที อยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนเถิด!”
ที่อู่เหนียงมาแต่เช้าเพราะนางตั้งใจจะแวะไปที่ตรอกกงเสียนเพื่อที่จะบอกเรื่องข่าวลือ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าหลัวเจิ้นซิ่งมาถึงก่อนหน้าตน จนทำให้เรื่องฉุกละหุกนี้สงบลงได้ แล้วได้ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เฉียนหมิงแนะนำนางให้พยายามติดต่อกับสืออีเหนียงมากๆ นางจึงตอบกลับไปว่า “ยังไม่ได้ไปคารวะไท่ฮูหยินเลย!”
สืออีเหนียงเห็นว่านางตอบกลับได้อย่างสบายใจ ก็ได้เรียกหู่พั่วเข้ามา ให้นางไปเตรียมอาหารเที่ยง จากนั้นก็ส่งคนไปบอกกล่าวกับสวีลิ่งอี๋ แล้วจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ออกไปหาไท่ฮูหยินพร้อมกับอู่เหนียง
ไท่ฮูหยินเห็นอู่เหนียงแล้วก็ดูดีใจเป็นอย่างมาก ถามไถ่ไปมาไม่หยุด พอดีกับที่สาวใช้เข้ามาเรียนว่าสวีลิ่งอี๋ทานข้าวอยู่ที่เรือนนอก ไท่ฮูหยินเรียกฮูหยินสามมาอยู่เป็นเพื่อน ให้อู่เหนียงอยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อน หลังจากทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินก็ได้เดินออกมาส่งอู่เหนียงที่ประตูเรือนด้วยตัวเอง แล้วจึงค่อยย้อนกลับไป
สีหน้าของอู่เหนียงไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก เมื่อมาถึงที่เรือนของสืออีเหนียงนางก็ได้พูดขึ้นว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเอาอกเอาใจแม่สามีจนท่านรักและเอ็นดูเจ้าขนาดนี้”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่อ่อนโยนและใจกว้างต่อผู้อื่นเสมอ ไม่ใช่เพราะข้าเอาอกเอาใจคนเฒ่าคนแก่ให้ท่านรักเอ็นดูหรอก”
อู่เหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ นางนึกถึงท่าทีนายหญิงใหญ่ที่แสดงความเคารพนบน้อมทุกครั้งเมื่อเอ่ยถึงไท่ฮูหยิน ก็รู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมา