ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 20 ก่อเรื่อง
สืออีเหนียงเห็นใบหน้าที่ดุร้ายของสือเหนียง ดวงตาสีดำคู่นั้นราวกับกำลังมีไฟลุกโชน จากนั้นก็นึกถึงตอนที่นางเคยผลักร่างนี้ลงไปที่พื้นจนเกือบตาย นางก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถอยหลัง หากยิ่งถอยหลังหนีคนอื่นก็จะยิ่งคิดว่าอ่อนแอ
นางยิ้มแล้วมองไปที่สือเหนียง “ท่านแม่บอกเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะออกเดินทางตอนไหน พี่หญิงมีอะไรฝากข้าหรือ” สืออีเหนียงพูดพร้อมกับทำท่าทางอกผายไหล่ผึ่ง มีกลิ่นอายของความน่าเกรงขราม
สือเหนียงตกใจ
แต่สืออีเหนียงไม่กล้ากดนางลาง หากทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ ไม่ว่าใครถูกใครผิด มันก็จะทำให้คนอื่นคิดว่าพวกนางเป็นผู้หญิงใจแคบและปากตะไกร ไม่เช่นนั้น ตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง พี่น้องกันทำไม่ถึงไม่มีใครยอมใคร หากนายหญิงใหญ่รู้เข้า ถึงแม้ว่าจะโทษว่าสือเหนียงอารมณ์ร้อน แต่นางก็จะโทษว่าสืออีเหนียงไม่รู้จักจัดการความขัดแย้ง บางทีมันอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของนายหญิงใหญ่แย่ลง
นางยอมถอยไปข้างหลังสองสามก้าว ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงไม่ค่อยลงมาข้างล่าง เรือนของข้าก็ไม่มีอะไรดีๆ มาต้อนรับ งานเลี้ยงครั้งก่อน พี่หญิงห้านำชาซินหยางเหมาเจี้ยนชั้นดีมาให้ข้าสองห่อ พี่หญิงรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องชา ข้าดื่มไปก็ไม่รู้คุณค่า พี่หญิงลองชิมดูหน่อยไหมเจ้าคะ หากรู้สึกว่ามันถูกปาก ข้าบอกให้ตงชิงเอาไปให้ไป่จือ”
สือเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง “ไม่ธรรมดาจริงๆ มีถึงชาซินหยางเหมาเจี้ยน!” ความโมโหในสายตาของนางลดน้อยลงไปไม่น้อย
นิสัยของนางก็เป็นเช่นนี้ หากเจ้าทนครั้งแรกได้ ยอมนางซะหน่อย ความโมโหของนางก็จะลดลงไปเอง
สืออีเหนียงส่งยิ้มให้นาง จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วยื่นให้หู่พั่ว ทำเหมือนจะไม่ออกไปข้างนอกและจะดูแลแขกอย่างจริงใจ สั่งให้ตงชิงไปชงชา ให้ปินจวี๋ไปเอาเบาะหนังกระรอกที่ตัวเองชอบเอามารองนั่งออกมาปูบนเก้าอี้ให้สือเหนียงนั่ง
สีหน้าของสือเหนียงดีขึ้น
แต่ใครจะไปรู้ หู่พั่วที่รับเสื้อคลุมไปหันหน้ามามอง ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ดเจ้าคะ นายหญิงใหญ่เชิญท่านไปพบ…หรือว่าให้บ่าวไปบอกพี่ซานหู บอกว่าประเดี๋ยวท่านจะไป ให้นางช่วยพูดกับนายหญิงใหญ่ชั่วคราว?”
สืออีเหนียงร้องตะโกนในใจ
สือเหนียงไม่ชอบให้ใครเอานายหญิงใหญ่มากดนาง!
แต่ว่าสืออีเหนียงยังไม่ทันได้ตำหนิหู่พั่ว สีหน้าของสือเหนียงก็เปลี่ยนไปทันที นางเดินเข้ามากำลังจะพลิกโต๊ะกลมสีดำตัวนั้น…โต๊ะกลมทำจากไม้จื่อถาน มันหนักมาก นางพลิกสองครั้งก็ไม่คว่ำ กวาดแขนลงบนโต๊ะ ชุดน้ำชากับถ้วยชาก็ตกลงบนพื้นแตกเป็นเสี่ยงๆ
สือเหนียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หู่พั่วและคนอื่นต่างพากันตกใจ
สืออีเหนียงตะโกนออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ของใช้ของแต่ละเรือนต้องเปลี่ยนตามฤดูกาล ชุดน้ำชาลายครามที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างน้อยก็สิบสองตำลึง…นางจะต้องเป็นคนชดใช้
ความคิดนี้วาบขึ้นมาในหัว ก่อนที่สือเหนียงจะพุ่งเข้าหานาง
สืออีเหนียงรู้ว่า หากสือเหนียงยกมือขึ้นมาตบตี ก็คงจะตีนางจนเกือบตายเหมือนครั้งก่อน ไม่เช่นนั้น มันก็คงจะไม่ใช่สือเหนียงผู้ที่ ‘ไม่มีความผูกพันกับพี่น้อง’ ผู้นี้…นางที่หลบไม่พ้นแล้วกำลังจะยกมือขึ้นมาบังหัว แต่พอเหลือบไปเห็นใบหน้าที่กำลังตกใจกลัวของตงชิง นางก็ตกใจ
หากตัวเองถูกตีจริงๆ…ก็คงจะไม่ต้องไปเยี่ยนจิงใช่หรือไม่
ทันใดนั้น นางก็ระงับสัญชาตญาณที่จะบังหัวทันที
“คุณหนูสิบ หากท่านไม่เป็นห่วงตัวเอง ก็ควรเป็นห่วงอี๋เหนียงสี่บ้าง!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนที่กระวนกระวายของหู่พั่ว ตงชิงก็ลากสืออีเหนียงไปหลบข้างหลังตัวเองแล้ว ม่านขยับ ไป่จือและจิ่วเซียงวิ่งเข้ามาจับสือเหนียงเอาไว้ ทำให้สือเหนียงขยับไปไหนไม่ได้
“พวกโง่ ในสายตาของพวกเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่?” สือเหนียงโกรธจนมองเห็นเส้นเลือดผุดขึ้นบนใบหน้า นางหน้าแดงก่ำราวกับสัตว์ร้ายที่ถูกขังไว้ในกรง น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
สีหน้าของไป่จือยิ่งดูไม่ดี นางพยักหน้าให้สืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ด คุณหนูของเราเสียมารยาทแล้ว ประเดี๋ยวเราจะกลับมาขอรับโทษเจ้าค่ะ”
จิ่วเซียงก็พยักหน้าให้สืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิด จากนั้นทั้งสองคนก็ลากสือเหนียงออกไป
สือเหนียงตะโกนด่าและดิ้นรน ยกเท้าขึ้นมาถีบโต๊ะจนคว่ำ แต่ไป่จือกับจิ่วเซียงกลับไม่พูดไม่จา พวกนางเอาแต่ลากสือเหนียงออกไป
พวกนางทั้งสองคนรูปร่างสูงใหญ่ สือเหนียงถูกลากออกไปอย่างรวดเร็ว
“…พวกเจ้าสองคน นางให้อะไรพวกเจ้า พวกเจ้าถึงได้ช่วยนางแต่ไม่ยอมช่วยข้า…”
“คุณหนูสิบ” น้ำเสียงของไป่จือหดหู่ “ท่านอย่าก่นด่าพวกเราเลยนะเจ้าคะ เราแค่ไม่อยากลงเอยเหมือนปี้เถากับหงเถา!”
เสียงด่าของสือเหนียงหยุดลงกะทันหัน
ตามที่เหล่าท่านป้าในเรือนเล่ากัน ปี้เถากับหงเถาถูกเฆี่ยนจนเกือบตาย จากนั้นก็ถูกเอาไปขายที่หอนางโลม…พวกนางสองคนเป็นสาวใช้ของสือเหนียงตั้งแต่ยังเด็ก…
“คุณหนูสิบ ท่านเพลาๆ ลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของไป่จือฟังดูเหน็ดเหนื่อย “ท่านเอะอะโวยวายเช่นนี้มีประโยชน์อันใดเล่า นายหญิงใหญ่จะชื่นชมท่านหรือว่าอี๋เหนียงสี่จะได้ย้ายออกมาจากเรือนที่หักพังแห่งนั้น? จะว่าไปแล้ว ปีนี้ท่านก็อายุสิบสี่แล้ว หากแต่งงานก็เป็นแม่คนไปแล้ว ทำไมถึงยังไม่โตสักที…”
เสียงค่อยๆ หายไป ผ่านไปไม่นาน คนในเรือนของสืออีเหนียงถึงได้มีสติขึ้นมา
“คุณหนู ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!” ตงชิงจับมือของสืออีเหนียงขึ้นมาแล้วมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความตกใจ “ทำไมท่านถึงไม่หลบ หากถูกตีเข้า ท่านต้องบาดเจ็บหนักแน่นอนนะเจ้าคะ…”
นางพูดจบ ม่านตรงประตูก็ขยับอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสปรากฏขึ้นมาในสายตาของทุกคน “ตายแล้ว เกิดอะไรขึ้น คุณหนูสิบโมโหถึงเพียงนี้!”
“ป้าสวี่!”
สีหน้าของทุกคนในห้องก็เปลี่ยนไป ตกชิงถึงกับอ้าปากค้าง สืออีเหนียงหยิกมือนางอย่างแรงแล้วเดินขึ้นไปข้างหน้า “ท่านป้าช่างเป็นแขกคนสำคัญจริงๆ!”
ป้าสวี่เหลือบไปมอง มองดูสถานการณ์ในห้อง จากนั้นนางก็ยิ้มและพูดกับสืออีเหนียง “นายหญิงใหญ่บอกให้บ่าวมาดูที่เรือนของคุณหนูห้าและคุณหนูสิบเอ็ด มาดูว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ คิดไม่ถึงว่า เรือนของคุณหนูห้าขาดพู่กันชั้นดีสองด้าม เรือนของท่าน น่าจะขาดชุดน้ำชาลายครามหนึ่งชุด” นางพูดพร้อมกับเอามือปิดปากยิ้ม
สืออีเหนียงหัวเราะ “เช่นนั้นก็รบกวนป้าสวี่ช่วยจดจำหน่อยนะเจ้าคะ ถึงตอนนั้นค่อยเอามาเพิ่มให้ข้า” จากนั้นนางก็เดินอ้อมเศษกระเบื้องที่แตกอยู่บนพื้นแล้วไปต้อนรับป้าสวี่เข้ามาในห้องนอนของตัวเอง “ป้าสวี่เข้ามาดื่มชาก่อนสิเจ้าคะ!”
ป้าสวี่ไม่มองโต๊ะที่อยู่ตรงนั้นเลยแม่แต่น้อย นางเดินตามสืออีเหนียงเข้ามาอย่างไม่สะทกสะท้าน
หู่พั่วยุ่งกับการสั่งจู๋เซียงยกชาและขนม ตงชิ่งพาปินจวี๋และชิวจวี๋ทำความสะอาดเรือนที่น่าอนาจ
******
ป้าสวี่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวในห้องพัก มีเพียงแค่เสียงเบาๆ
นางพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
อาจจะเป็นเพราะว่าตงชิงและปินจวี๋เห็นว่ามีแขก พวกนางจึงนั่งยองๆ เอาผ้าเช็ดหน้าพันมือ เก็บเศษกระเบื้องที่แตกบนพื้นเบาๆ
ป้าสวี่วางถ้วยชาลง หู่พั่วรีบเอาสมุดบัญชีที่เตรียมไว้มาให้นางดู “ท่านป้าเจ้าคะ”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” ป้าสวี่ยิ้ม กางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ เปิดกล่อง หยิบแว่นตาออกมาดูอย่างละเอียด
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะตกใจ
แว่นตาคู่นี้ คือแว่นตาที่พี่น้องของนายหญิงใหญ่ส่งมาให้จากกว่างตงตอนที่พวกเขาไปทำงานที่กว่างตง อย่าว่าแต่จวนสกุลหลัว แม้แต่ทั้งอวี๋หังก็มีแค่คู่นี้คู่เดียว คิดไม่ถึงว่านายหญิงใหญ่จะมอบแว่นตาคู่นี้ให้กับป้าสวี่…นางคิดเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉา หากได้เป็นเหมือนป้าสวี่ ชาตินี้ก็คงไม่สูญเปล่า!
แต่สืออีเหนียงกลับกำลังคิดถึงสือเหนียง
ว่ากันว่า ตอนนั้นตอนที่อี๋เหนียงสี่กลับมาจากฝูเจี้ยน นางเอาสมุดบัญชีในมือคืนกลับมาทันที นางทำตามกฎระเบียบไม่กล้าข้ามขอบเขตแม่แต่ก้าวเดียว หากไม่ใช่เพราะว่าสือเหนียงทุบตีตัวเอง นายหญิงใหญ่คงจะหาข้ออ้างไล่นางออกไปไม่ได้…คนที่ระมัดระวังและรอบคอบเช่นนี้ทำไมถึงได้เลี้ยงบุตรสาวออกมาได้โง่เขลาแบบสือเหนียงกันนะ…
ทั้งสองคนครุ่นคิดไม่พูดไม่จา เสียงพลิกดูสมุดบัญชีของป้าสวี่ทำให้ห้องดูเงียบสงัด
ผ่านไปพักหนึ่ง ป้าสวี่เงยหน้าขึ้น ยิ้มและเอาแว่นตาเก็บลงในกล่อง เก็บกล่องกลับเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง “เป็นอย่างที่คุณหนูพูด ปกตินายหญิงใหญ่ก็มอบสิ่งของให้มากมาย หากเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติมอะไร แต่การเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ เราเข้าไปอวยพรวันเกิดให้ไท่ฮูหยินของสกุลสวี ถึงตอนนั้น ที่นั่นก็จะเต็มไปด้วยบรรดาเศรษฐี เราเทียบกับเศรษฐีของราชวงศ์ไม่ได้ แต่ก็ถ่อมตัวเกินไปไม่ได้ นายหญิงใหญ่ได้สั่งเครื่องประดับกระดองเต่าปะการังและไข่มุกสีเงินที่ร้านเหล่าจี๋เสียงให้คุณหนูสิบเอ็ดแล้ว บ่าวเคยเห็นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิที่ตัดใหม่ของคุณหนูสิบเอ็ด เข้ากันมากเจ้าค่ะ ไม่ต้องเพิ่มเติมอะไร แต่ไม่รู้ว่าคุณหนูสิบเอ็ดอยากจะได้อะไรเพิ่มเติมหรือไม่เจ้าคะ?”
สืออีเหนียงยิ้มและพูดว่า “ข้าไม่อยากได้อะไรเพิ่มเติมแล้ว”
ป้าสวี่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มและยืนขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นบ่าวก็จะกลับไปรายงานนายหญิงใหญ่ก่อนนะเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงลุกขึ้นยืนส่งแขก “ลำบากท่านป้าแล้ว”
“คุณหนูสิบเอ็ดเกรงใจบ่าวเสมอ” ป้าสวี่ยิ้มตอบรับ ขอตัวแล้วออกไปที่เรือนของนายหญิงใหญ่
“เป็นเช่นไร?” นายหญิงใหญ่เอนตัวอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย มองดูสาวใช้ที่เก็บข้าวเก็บของใส่กล่องในห้องด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ป้าสวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
นายหญิงใหญ่ลุกขึ้น “เจ้ามากับเข้า”
ป้าสวี่ตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็เดินตามนายหญิงใหญ่ลงไปชั้นล่าง
“ทำไมกัน คุณหนูทั้งสองอยากได้อะไร” สายตาของนายหญิงใหญ่ดูเย็นชา
ป้าสวี่รีบรินชาให้นายหญิงใหญ่ ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวไปดูของของคุณหนูทั้งสองคนมาแล้ว โดยปกติแล้วท่านมอบให้พวกนางตั้งเยอะแยะ แถมยังตัดเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิชุดใหม่ให้พวกนางอีก จึงไม่มีอะไรต้องเพิ่มเติมเจ้าค่ะ มีแต่คุณหนูห้าอยากได้พู่กันชั้นดีสองด้าม แต่มันก็ไม่ได้แพงอะไร คุณหนูสิบเอ็ดไม่ได้อยากได้อะไร…แต่ว่า ตอนที่บ่าวไปที่เรือนของคุณหนูสิบเอ็ด กำลังเกิดเรื่องขึ้นพอดี!”
เรื่องที่ไม่ยอมพูดต่อหน้าบรรดาสาวใช้ในห้อง แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา!
นายหญิงใหญ่ตอบกลับมา “อ๋อ” นั่งตัวตรงแล้วทำท่าทางตั้งใจฟัง
ป้าสวี่เดินไปข้างหน้าสองก้าวและพูดเบาๆ “คุณหนูสิบไปก่อเรื่องที่เรือนของคุณหนูสิบเอ็ด ทำลายของที่อยู่ในห้อง ตอนที่บ่าวเข้าไป บ่าวทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วถามคุณหนูสิบเอ็ด ว่าคุณหนูสิบโมโหอะไรถึงเพียงนี้ แต่คุณหนูสิบเอ็ดกลับเลี่ยงที่จะตอบ…นายหญิงใหญ่ ตอนที่ท่านเลือกคุณหนูสิบเอ็ด บ่าวไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ บ่าวคิดว่านางดีไม่เท่าคุณหนูห้า…แต่ตอนนี้ดูแล้ว นางเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจจริงๆ เจ้าค่ะ”