ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 198 ความทุกข์ยาก(ปลาย)
ในห้องจึงเหลือเพียงสืออีเหนียง ตงชิง ปินจวี๋และเฟิ่งชิง
สีหน้าของตงชิงและปินจวี๋ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไรนัก มีเพียงสืออีเหนียงเท่านั้นที่สีหน้าแววตาแน่วแน่ไม่สะทกสะท้าน หันไปสั่งกับทั้งสองว่า “พวกเจ้าไปช่วยจ้าวอิ่งเก็บข้าวของเถิด ตรงนี้มีข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
“แต่ว่าคุณชายน้อยเฟิ่งชิง…” ปินจวี๋หันไปมองเฟิ่งชิงที่ค่อยๆ หมดแรงลง จึงค่อนข้างรู้สึกลังเลใจ
“หากมีเรื่องอะไรข้าจะเรียกเจ้าเอง” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย
ตงชิงและปินจวี๋ได้ยินแล้วก็ขานรับ “เจ้าค่ะ” พร้อมกับย่อตัวทำความเคารพแล้วพากันถอยออกไป
สืออีเหนียงไม่ได้สนใจเฟิ่งชิง ขาทั้งสองข้างยังคงหนีบเขาไว้ ส่วนมือทั้งสองข้างของนางก็จับมือของเขาอยู่ ไม่ว่าเขาจะดิ้นสู้หรืออยู่นิ่งๆ สืออีเหนียงก็ยังคงกอดรัดเขาไว้ในอ้อมแขนแน่น…จนในที่สุดเขาก็หมดแรงลง แล้วค่อยๆ หายใจหอบขึ้นมา
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” สืออีเหนียงที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิง แต่น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย เฟิ่งชิงกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงที่ได้ยินนั้นเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม “เจ้าเชื่อฟังแล้วนั่งบนตักของข้าดีๆ ข้าก็จะปล่อยเจ้า หากว่าเจ้าเห็นด้วย ก็พยักหน้าเบาๆ”
เฟิ่งชิงเม้มริมฝีปากแน่น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยๆ พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงก็ค่อยๆ คลายมือออกจากตัวเขา
เฟิ่งชิงก็เริ่มขยับตัวทันที
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เฟิ่งชิง เราคุยกันเรียบร้อยแล้ว หากเจ้าไม่ดิ้น ข้าก็จะปล่อยเจ้า มิเช่นนั้น เราก็มาทำตัวให้เหมือนกันเลย”
เฟิ่งชิงลังเลไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ไม่ได้ดิ้นอีก
สืออีเหนียงกอดเขาไว้ในอ้อมกอด “เฟิ่งชิงเด็กดี ข้าชอบเฟิ่งชิง!” พูดจบก็ลูบแผ่นหลังของเขาด้วยความอ่อนโยน
ร่างกายน้อยๆ ของเฟิ่งชิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง พฤติกรรมค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ เขาซบลงบนไหล่ของนางอย่างเชื่อฟัง
สืออีเหนียงจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หันไปมองขนมเหล่านั้นที่หล่นอยู่บนเตียงนอนและยังไม่ทันได้เก็บ จึงถามเขาด้วยเสียงที่อบอุ่นว่า “เฟิ่งชิง อยากดื่มน้ำหรือไม่”
เฟิ่งชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ศีรษะที่ซบอยู่บนไหล่ของนางก็ได้พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงใช้มือข้างหนึ่งอุ้มเฟิ่งชิง ส่วนมืออีกข้างก็รินชามาถ้วยหนึ่ง จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ แล้วจึงป้อนน้ำให้กับเขา
เขาดื่มน้ำเสียงดัง อึ้กๆ จนหมดถ้วยในคราวเดียว จากนั้นก็จ้องมองสืออีเหนียงตาแป๋ว
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับถามเขาว่า “อยากดื่มอีกใช่หรือไม่”
เขาพยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงจึงรินชาอีกถ้วยให้เขา
เขายังคงดื่มหมดถ้วยในคราวเดียวเหมือนเช่นในตอนแรก จากนั้นก็ชะเง้อคอมองไปยังขนมที่อยู่บนเตียง
“อยากทานขนมหรือ” สืออีเหนียงมองตามสายตาของเขา
เขาส่ายหน้าไปมา แต่แล้วก็กลับพยักหน้าอีกครั้ง
“อยากจะเก็บขนมขึ้นมาแล้วเอาไว้ค่อยทานอย่างนั้นหรือ” สืออีเหนียงลองทายใจเขา
เฟิ่งชิงรีบพยักหน้า เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ใบหน้าดูสว่างขึ้นมาในทันที
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็หันไปเรียกตงชิงเข้ามา เฟิ่งชิงกลับมาตัวแข็งทื่ออีกครั้ง
“ไม่ต้องกลัว นางเป็นคนดี” สืออีเหนียงลูบศีรษะของเฟิ่งชิงด้วยความเอ็นดู “ต่อไปนางจะคอยดูแลเจ้า”
เฟิ่งชิงพยักหน้ารับรู้
“ฮูหยิน” ตงชิงเห็นเฟิ่งชิงซบอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียงด้วยความเชื่อฟัง สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นี่…”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปยังเตียงที่ยุ่งเหยิง “เก็บขนมพวกนี้ขึ้นมา”
ตงชิงเก็บขนมเหล่านั้นใส่ลงไปในกล่องอาหารด้วยความไม่เข้าใจ
“ให้ข้า!” สืออีเหนียงบอกตงชิงให้นำกล่องอาหารนั้นมาให้นาง
ตงชิงยื่นกล่องอาหารให้กับสืออีเหนียงด้วยความงงงวย
เฟิ่งชิงรีบยื่นมือไปรับกล่องอาหารมากอดไว้แน่น
“คุณชายน้อยเฟิ่งชิง…” ตงชิงเบิกตากว้าง
เฟิ่งชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจยื่นกล่องอาหารนั้นให้กับสืออีเหนียง ดวงตากลมโตกะพริบเบาๆ จ้องมองด้วยความปรารถนาดี
สืออีเหนียงใจอ่อนยวบไปหมด
สำหรับเฟิ่งชิงแล้ว ขอแค่ทานอิ่ม สวมเสื้อผ้าอบอุ่น ถือเป็นความหวังสูงสุดของชีวิตแล้ว แต่ตอนนี้ เขายอมที่จะมอบโอกาสทานอิ่มให้กับสืออีเหนียง นี่ถือเป็นการฝากฝังความไว้วางใจด้วยชีวิต
นางส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กล่องอาหารเฟิ่งชิงเก็บเอาไว้ ตอนข้าอยากจะทาน ข้าก็จะไปขอกับเฟิ่งชิง ดีหรือไม่”
เฟิ่งชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ เผยรอยยิ้มที่งดงามออกมา
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะของเขาเบาๆ พลางพูดขึ้นว่า “เราเปลี่ยนที่นั่งกันเถิด เจ้าทำเตียงของท่านโหวพังแล้ว จะต้องรีบซ่อมแซมถึงจะถูก”
เฟิ่งชิงพยักหน้ารับรู้ สืออีเหนียงพึ่งจะอุ้มเขาลุกขึ้น ปินจวี๋ก็เข้ามาพอดี “ฮูหยิน ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ”
สิ้นเสียงพูดของนาง สวีลิ่งอี๋ก็ได้สาวเท้าเดินเข้ามาข้างในด้วยความเร่งรีบ ด้านหลังของเขามีหู่พั่วและหลินปัวเดินตามหลังมาด้วย
เมื่อเห็นว่าสืออีเหนียงนั้นกำลังอุ้มเฟิ่งชิงอยู่ เขาก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันไปเห็นเตียงเต็มที่ไปด้วยความยุ่งเหยิง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ไม่ทันได้ระวัง กระดานของเตียงก็เลยหล่นลงมาเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ให้เขาฟังอีกรอบ
ในเวลาเดียวกัน เฟิ่งชิงก็เอาแต่จ้องสวีลิ่งอี๋ด้วยดวงตาที่กลมโต แต่น่าเสียดาย เพราะสวีลิ่งอี๋กำลังตั้งใจฟังสืออีเหนียงเล่าเหตุการณ์ จึงไม่ทันได้สังเกตเขาแม้แต่นิดเดียว ตอนได้ยินว่าเด็กไปแอบนอนอยู่บนหลังคาของเตียง เขาก็ได้เหลือบมามองเฟิ่งชิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองสืออีเหนียงเหมือนเดิม เหมือนว่าเขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่ได้พูดมันออกมา
ในตอนแรกเขารู้สึกเป็นกังวลใจอย่างมากกับการที่จะต้องบอกความจริงกับมารดา จากนั้นมาก็หงุดหงิดที่เด็กหายตัวไป จู่ๆ มางุนงงที่ได้ยินว่าหาเด็กเจอแล้ว อีกทั้งยังมาประหลาดใจกับเหตุการณ์ระหว่างการตามหาตัวเด็ก…มาตอนนี้กลับเห็นเฟิ่งชิงซบไหล่อยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียงอย่างเชื่อฟัง เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม กลับเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายราวกับพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้เขาทั้งรู้สึกกังวลใจและดีใจในคราวเดียวกัน จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ส่วนสืออีเหนียงนั้นเป็นห่วงทางไท่ฮูหยินเสียมากกว่า
นางเชื้อเชิญสวีลิ่งอี๋ไปนั่งที่ห้องหนังสือ “…ให้จ้าวอิ่งช่วยซ่อมแซมเตียงก่อน”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงก็อุ้มเฟิ่งชิงยื่นให้กับตงชิง
แต่เฟิ่งชิงกลับกอดคอของนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ข้ากับท่านโหวจะคุยธุระกัน เจ้าอยู่เล่นกับพี่ตงชิงที่ห้องโถงไปก่อน” พูดเกลี้ยกล่อมเช่นนี้อยู่หลายรอบ สุดท้ายเฟิ่งชิงจึงค่อยยอมคลายมือออก
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดที่จะมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ประหลาดใจเสียไม่ได้
นางดูเหมือนเลี้ยงเด็กเก่งเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอ หรือแม้กระทั่งเฟิ่งชิงที่ดุร้ายราวกับเม่นก็ไม่ปาน ใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งชั่วยาม นิสัยและพฤติกรรมที่ปฏิบัติต่อสืออีเหนียงก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคนอย่างไรอย่างนั้น
เขาครุ่นคิดพลางเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงเองจะไม่อยากเสียเวลา แต่กลับไม่อยากทำลายมิตรภาพที่ตนได้สร้างขึ้นระหว่างเฟิ่งชิงด้วยความยากลำบากเสียมากกว่า ฉะนั้นจึงไม่ได้รีบตามไปในทันที แต่เลือกที่จะอยู่ปลอบใจเฟิ่งชิงต่ออีกสักครู่ เมื่อเห็นว่าเขาค่อยๆ ทำใจได้แล้ว สืออีเหนียงจึงค่อยเดินเข้าไปในห้องชั้นใน
จ้าวอิ่งได้เชิญสวีลิ่งอี๋ไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ก็รีบไปรินชาอย่างเบามือเบาเท้า จากนั้นก็วางมือจากการเก็บข้าวของที่เสร็จไปเพียงครึ่งเดียว แล้วจึงถอยออกไป
“คุยกับท่านแม่แล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อครู่นี้มัวแต่คุมเชิงกับเฟิ่งชิง จึงมีเหงื่อเล็กน้อย เมื่อดื่มชาเข้าไป ก็รู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก
“คุยแล้ว” สวีลิ่งอี๋จิบชาไปหนึ่งคำ พร้อมกับยิ้มเจื่อน “ตอนแรกก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ข้าเห็นว่าไม่ปกติ ก็เลยรีบเข้าไปพูดเอาใจคนเฒ่าคนแก่ แต่ท่านแม่กลับจับมือของข้าไว้พร้อมกับถามข้าตรงๆ ว่า ‘ใช่ความจริงหรือไม่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่’…” จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าต้องพูดอะไรต่อ!”
สืออีเหนียงสามารถจินตนาการถึงความรู้สึกผิดหวังของไท่ฮูหยินได้ เหมือนมารดาทั่วไปที่รักและทะนุถนอมบุตรของตน ถึงแม้จะรู้ว่าตนนั้นตามใจบุตรจนเกินไป แต่ก็มักจะรู้สึกว่าบุตรของตนนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น เพียงแค่ดูค่อนข้างอ่อนแอไปบ้าง ความตั้งมั่นของจิตใจค่อนข้างเปราะบางไปเสียหน่อย แต่อย่างไรเสียก็คงจะไม่กล้าไปทำเรื่องนอกลู่นอกทาง แต่เมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาจริงแล้ว สติที่รู้ตื่นทำให้พวกเขาต้องเจ็บปวดทวีคูณ บางทีอาจเลือกที่จะไม่เชื่อ หรือบางทีก็ไม่อาจจะหลบหนีจากการเผชิญกับความจริงนี้ได้
“เช่นนั้น ท่านแม่ว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“จะว่าอย่างไรได้เล่า” สวีลิ่งอี๋ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ก็เอาแต่โทษตัวเองที่ปล่อยปละละเลยน้องห้าจนเกินไป”
“ท่านเองก็ควรจะเกลี้ยกล่อมคนเฒ่าคนแก่” เรื่องมันเกิดขึ้นมาแล้ว เสียใจไปจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา สิ่งสำคัญก็คือสามารถนำมาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “สุภาษิตกล่าวไว้ว่า ‘มีทุกข์ก็มีสุขได้ มีสุขก็มีทุกข์ได้เช่นกัน’ ถึงแม้ว่าคุณชายห้าจะเคยทำตัวไม่ดี แต่นี่ก็ถือเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของคุณชายห้าแล้ว ที่สำคัญก็คือภายภาคหน้าจะไม่ทำผิดซ้ำๆ อีก”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “วันข้างหน้าข้าก็มีเวลาอยู่จวนแล้ว ก็จะได้มีเวลาไปดูแลเขาบ้าง”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
สวีลิ่งอี๋นึกถึงตอนที่สืออีเหนียงอุ้มเด็กอย่างคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉง ความลังเลใจพลันปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
สืออีเหนียงเห็นมันอย่างชัดเจน นางครุ่นคิดในใจ หรือว่าไท่ฮูหยินพูดอะไรบางอย่างกับเขา เรื่องของเฟิ่งชิงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นหรือ ดูจากนิสัยใจคอของสวีลิ่งอี๋ มีเพียงแค่ตอนที่เขารู้สึกผิดต่อตนเท่านั้นจึงจะแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาได้…
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะถามเขา “เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นด้วยความลังเลใจว่า “ตอนอยู่ที่จวนสกุลเดิม เจ้าเคยเลี้ยงน้องหรือ”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเห็นตอนเจ้าอุ้มเด็ก ดูค่อนข้างมีความชำนาญ!”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้มขึ้น
การฟ้องร้องคดีหย่าร้าง ตราบใดที่ไม่มีความขัดแย้งในความเป็นเจ้าของและทรัพย์สินของเด็ก ปกติแล้วก็จะหย่าได้ง่ายมาก แต่หากว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับความเป็นเจ้าของและทรัพย์สินของเด็ก โดยเฉพาะข้อหน้าสุด ทุกอย่างก็จะยืดเยื้อไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนก็ล้วนมีหมด การเป็นทนายความ นางจึงมักจะถามความคิดเห็นของเด็กเป็นการส่วนตัว จากนั้นก็เสนอแนะให้กับคู่กรณี พยายามที่จะเติมเต็มความหวังของเด็ก เวลาผ่านไปนานเข้า ก็ค่อยๆ สั่งสมเป็นประสบการณ์ในการเข้าหาและสื่อสารกับเด็ก
“ข้าเพียงแค่ชอบเด็กมากก็เท่านั้น”
นี่เป็นความจริง
นางรู้สึกว่าเด็กทุกคนนั้นล้วนเป็นทูตสวรรค์
ไม่มีจิตวิญญาณไหนจะบริสุทธิ์ไปกว่าพวกเขาแล้ว
อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ กลับทำให้นางไม่กล้าที่จะเดินเข้าสู่พิธีวิวาห์ตามอำเภอใจ กลัวว่าตนนั้นจะไม่สามารถเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนเด็กคนหนึ่งได้
สวีลิ่งอี๋เลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาของเขาปรากฏรอยยิ้มที่บางเบาขึ้นมา
สืออีเหนียงเริ่มรู้สึกเหงื่อตก
คำตอบนี้ของตนคลุมเครือเกินไปหรือไม่…
นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาทันที “เรื่องของเฟิ่งชิงล่ะเจ้าคะ ท่านแม่คิดเห็นอย่างไร”
เมื่อพูดถึงเรื่องเฟิ่งชิง รอยยิ้มของสวีลิ่งอี๋ก็ค่อยๆ จางหาย “ท่านแม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เซียงอี้เลี้ยงดู คนใกล้ชาดก็จะติดสีแดง คนใกล้หมึกก็จะติดสีดำ เซียงอี้เป็นคนซื่อสัตย์ใจดีและมีคุณธรรม หากเขาสามารถอยู่กับเซียงอี้ได้ วันข้างหน้าก็จะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม”
นี่คงเป็นข้อเรียกร้องจากบุตรของอนุกระมัง
ไม่ขอให้เจริญรุ่งโรจน์ก้าวหน้า แต่ขอแค่ซื่อสัตย์ไม่นอกลู่นอกทางก็พอ
“เพียงแต่วันนี้ก็เข้าสู่วันตรุษจีนเล็กแล้ว ปีนี้หิมะตกหนัก คนเดินทางสัญจรค่อนข้างน้อย จู่ๆ ก็รีบเดินทางกลับบ้านเกิด มันดูมีพิรุธเกินไป อีกอย่างตอนนี้ก็ยังหาคนที่เหมาะสมที่จะไปส่งเขาที่บ้านเกิดไม่ได้…คงต้องรอวันขึ้นแปดค่ำเดือนอ้ายแล้ว”
หลังเปิดกิจการ คนที่ทำการค้าจากทุกๆ พื้นที่จะเริ่มออกเดินทาง คนดีคนเลวผสมปนเปไปหมด ไม่ค่อยสะดุดตาจริงๆ เสียด้วย
“วันขึ้นแปดค่ำเดือนอ้ายหรือ…” สืออีเหนียงคำนวณดูแล้วยังอีกหลายวัน “เวลาออกจะนานไปเสียหน่อย!”
ช่วงปีใหม่แขกในเรือนค่อนข้างเยอะ ใครก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าจะไม่มีคนเดินหลงเข้ามาหรือเจตนาบุกรุกเข้ามา…
“ฉะนั้นข้าก็เลยปรึกษาหารือกับท่านแม่ไปครึ่งค่อนวัน ตัดสินใจว่าจะส่งเขาไปหาพี่สะใภ้รอง!”
“เขาซีซาน!” สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ พูดขึ้นด้วยความจนใจว่า “ตอนนี้ดูแล้ว คงจะทำได้แค่นี้ก่อน! อาศัยจังหวะที่จะส่งของให้กับเขาซีซาน ก็ส่งเด็กคนนี้ไปด้วย”
คนรับผิดชอบไม่ใช่ตน แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้ว
อีกอย่างสืออีเหนียงเองพอจะรู้สึกได้ เพื่อจวนสกุลสวีแล้ว ฮูหยินสองคงจะยอมรับเจ้าเผือกร้อนมือหัวนี้ไว้อย่างแน่นอน
“คงจะต้องลำบากพี่สะใภ้รองเสียแล้ว” นางพูดขึ้น “ต้องอธิบายเรื่องนี้กับพี่สะใภ้รองดีๆ นะเจ้าคะ”
“อืม!” สวีลิ่งอี๋ตอบกลับ “เช้าตรู่วันพรุ่งนี้จะให้พ่อบ้านไป๋ส่งเขาไปที่เขาซีซานด้วยตัวเอง” พูดจบเขาก็หันมาจ้องมองสืออีเหนียง “แต่ทว่าเรื่องนี้ เกรงว่าคงต้องลำบากใจเจ้าแล้ว!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แต่สวีลิ่งอี๋พูดจนถึงขนาดนี้ นางคงทำได้เพียงแค่เดินหน้าไปด้วยพิจารณาไตร่ตรองไปด้วยแล้วกระมัง
“มีอะไรให้ลำบากใจหรือไม่ลำบากใจกันเล่า ท่านโหวเพียงแค่ออกคำสั่งมาก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นบางๆ
“เรื่องของเฟิ่งชิง คนรู้ยิ่งน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี ถึงเวลานั้นข้าอยากจะให้ตงชิงไปเขาซีซานอยู่เป็นเพื่อนกับเด็กคนนี้สักช่วงหนึ่ง”