ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 197 ความทุกข์ยาก(กลาง)
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลินปัวดีอกดีใจเสียยิ่งกว่า เขารีบเบียดพลางพูดขึ้นว่า “ขอข้าดูหน่อย ขอข้าดูหน่อย”
เก้าอี้ไม้ตัวเดียวไม่พอที่จะยืนสองคน จ้าวอิ่งจึงกระโดดลงมา
“ฮูหยิน คุณชายน้อยเฟิ่งชิงกำลังนอนหลับอยู่ขอรับ…” ใบหน้าของเขาท่วมท้นไปด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “รีบไปแจ้งพ่อบ้านไป๋สักคำ จะได้ไม่ต้องคอยเป็นกังวลใจอยู่ แล้วก็ท่านโหวด้วย จะต้องไปเรียนเรื่องนี้ก่อนถึงจะถูก”
จ้าวอิ่งรีบพยักหน้าทันที “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
พ่อบ้านไป๋อยู่ที่เรือนชั้นใน ส่วนสวีลิ่งอี๋อยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน
หลินปัวได้ยินแล้วก็รีบกระโดดลงจากเก้าอี้ไม้ “เช่นนั้นบ่าวไปเรียนท่านโหวนะขอรับ”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ ทั้งสามคนก็พากันเดินออกมาจากหอนอน
ตงชิงและปินจวี๋รีบเข้ามาล้อมวง
เมื่อครู่นี้พวกนางก็ได้ยินมานิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่มั่นใจเท่าไรนัก สีหน้าเต็มไปด้วยทั้งความหวังและความหวาดกลัว
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับพวกนาง “หาเด็กเจอแล้ว เขาแอบนอนหลับอยู่บนหลังคาของเตียง”
“อมิตพุทธ!” ตงชิงพนมทั้งสองหันไปยังทิศตะวันตก ปินจวี๋เองก็พูดขึ้นตามหลังว่า “ดีแล้ว ดีแล้ว” ทั้งสองดีใจจนน้ำตาไหลพราก
“พอแล้ว พอแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “คนก็หาเจอแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
ทั้งสองรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา
หลินปัวและจ้าวอิ่งเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งสองหันมาคารวะสืออีเหนียง จากนั้นคนหนึ่งก็ไปหาสวีลิ่งอี๋ ส่วนอีกคนก็ไปหาพ่อบ้านไป๋
ปินจวี๋ก็ได้พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นเราพาคุณชายน้อยเฟิ่งชิงลงมาก่อนดีหรือไม่ ปล่อยให้นอนบนหลังคาเตียงเช่นนี้ เกิดพลิกตัวตกลงมาเป็นเรื่องใหญ่โตอีกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงคิดๆ ดูแล้ว ก็เป็นจริงดังว่า เพิ่งตื่นนอนจะงัวเงียสะลึมสะลือ หากว่าพลาดตกลงมา เป็นเรื่องเป็นราวอีกแน่ๆ
“รู้อย่างนี้ให้หลินปัวกับจ้าวอิ่งอยู่ต่ออีกหน่อยคงดี” ตงชิงพูดขึ้น “เกรงว่าเราสองคนคงจะพาเขาลงมาไม่ได้”
ปินจวี๋รูดแขนเสื้อขึ้น “ไม่เป็นไรกระมัง เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพียงเด็กอายุสามขวบ”
ตงชิงถูกเขากัดไปแล้วครั้งหนึ่ง ในใจยังรู้สึกหวาดผวา จึงอดไม่ได้ที่จะลังเลใจ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องเร่งรีบขนาดนั้น ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน” พูดจบก็พาตงชิงและปินจวี๋เข้าไปในหอนอน ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้พร้อมกับแหงนมองบนหลังคาของเตียง
หลังคาเตียงที่มืดสนิท เฟิ่งชิงนอนขดตัวกลมพร้อมกับกอดจานอาหารไว้ กำลังนอนหลับสบาย
สืออีเหนียงชะงักไปชั่วขณะ จู่ๆ ก็รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เป็นเพราะถูกตีจนหวาดผวาหรือหิวโหยจนหวาดกลัว? ถึงได้เคยชินกับการเอาอาหารไปแอบกินคนเดียวและนอนหลับเฉพาะในที่ที่ปลอดภัยเท่านั้น…
สืออีเหนียงจ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงค่อยๆ ลงจากเก้าอี้อย่างเบามือเบาเท้า “ปล่อยให้เขานอนต่ออีกหน่อย! พวกเจ้าก็คอยระวังอย่าให้เขานอนพลิกตัวจนตกลงมาเล่า”
ปินจวี๋ตอบกลับด้วยความฉงนใจ “เราจะไม่เอาเขาลงมาหรือเจ้าคะ!”
สืออีเหนียงไม่ได้ตอบอะไร
ตงชิงรีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของปินจวี๋ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นเพราะพวกบ่าว ทำฮูหยินเหนื่อยแล้ว ให้ปินจวี๋พาท่านไปพักผ่อนที่เตียงเตาของห้องหนังสือสักหน่อย บ่าวอยู่เฝ้าคุณชายน้อยเฟิ่งชิงคนเดียวก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแผ่นหลังของตนนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“เจ้าอย่าไปทำให้เขาตกใจตื่น” สืออีเหนียงมองไปยังหลังคาเตียง “เฝ้าดูอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
ตงชิงพยักหน้ารับรู้ ปินจวี๋จึงค่อยๆ พาสืออีเหนียงไปยังห้องหนังสือ
หนังสือตำราสะสมของที่นี่แตกต่างจากห้องหนังสือที่เรือนของสืออีเหนียง ไม่เพียงแต่หลากหลายมากมาย แต่ยังเต็มไปด้วยร้อยยุคนักปราชญ์หลากสำนัก รูปวาดแผนที่ของราชอาณาจักร การวางแผนและการเดินทัพทหาร กลอนโครงกวีนิพนธ์ มีครบเพียบพร้อม ที่มากกว่าพวกก็คือหนังสือตำราเกี่ยวกับการวางแผนและการเดินทัพของทหาร
ปินจวี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างตกตะลึง “ฮูหยิน หนังสือตำราในห้องหนังสือของท่านโหวไม่ได้น้อยไปกว่าห้องหนังสือนายท่านใหญ่ของเราเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พลางเอื้อมมือไปหยิบหนังสือ ‘อภิปรายคัมภีร์อี้จิง’ ขึ้นมาดู
พลิกดูได้เพียงไม่กี่หน้า ก็มีเสียงที่ตื่นตระหนกของตงชิงดังมาจากหอนอน “ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านรีบมาเร็วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงก็นึกถึงเฟิ่งชิงที่อยู่ในห้องขึ้นมาทันที รีบวางหนังสือลงพลางยกกระโปรงขึ้นวิ่งตรงไปยังหอนอนทันที ก็เห็นตงชิงกำลังอ้าแขนขวางอยู่ตรงหน้าเตียง เมื่อได้ยินว่ามีเสียงดังมาจากข้างหลัง ก็รีบพูดขึ้นโดยที่ไม่กล้าหันกลับไปมองว่า “ฮูหยิน คุณชายน้อยเฟิ่งชิงตื่นแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่นี้พลิกตัวจนเกือบจะตกลงมา บ่าวเลยเรียกไว้ ตอนนี้เขาขดตัวกลับไปอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ปินจวี๋ที่เดินตามหลังมาได้ยินแล้วก็รีบยกกระโปรงพลางขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ไม้ “คุณชายน้อยเฟิ่งชิง ให้บ่าวอุ้มลงมานะเจ้าคะ”
เสียงฝีเท้าวิ่งบนกระดานไม้ดังขึ้น ตึงตัง จนไปหยุดอยู่ตรงมุมข้างในสุด
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความจนใจ
สำหรับเฟิ่งชิงแล้ว พวกนางก็เหมือนกลุ่มคนที่ลักพาตัวเขามายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ คนนิสัยไม่ดีที่จับเขาลงไปล้างตัวในน้ำ เขาจะยอมให้คนเหล่านี้อุ้มลงมาได้อย่างไรกันเล่า
“ช่างเถิด รอจ้าวอิ่งพวกเขากลับมาแล้วค่อยว่ากันอีกที พวกเขาแขนใหญ่แรงเยอะ ทำสิ่งใดก็สะดวกกว่าเรามาก เราแค่อยู่เฝ้าไม่ให้เขาตกลงมาก็พอแล้ว”
ตงชิงและปินจวี๋ คนหนึ่งยืนอยู่หน้าเตียง ส่วนอีกคนยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ คุมเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง พ่อบ้านไป๋และจ้าวอิ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน
“ฮูหยิน ได้ยินว่าหาตัวคุณชายน้อยเฟิ่งชิงเจอแล้วหรือขอรับ” สีหน้าของพ่อบ้านไป๋เต็มไปด้วยความดีใจ
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “เฟิ่งชิงซุกซน ไปแอบอยู่บนหลังคาของเตียง พลอยทำให้พ่อบ้านไป๋ตื่นตกใจไปยกใหญ่”
“คำพูดประโยคนี้ของฮูหยินบ่าวมิกล้ารับไว้ขอรับ” พ่อบ้านไป๋จ้องมองสืออีเหนียงด้วยแววตาที่นับถือ เขาพูดขึ้นด้วยความนอบน้อม “ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะฮูหยิน ก็ยังไม่รู้ว่าจะจบเรื่องนี้เช่นไร” พูดจบก็โค้งตัวประสานมือคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยิน บ่าวขอกล่าวขอบคุณที่ฮูหยินยื่นมือเข้ามาช่วยอีกครั้ง” จากนั้น ไม่รอให้สืออีเหนียงได้ทันพูดอะไร ก็ได้ชี้ไปยังตงชิงและปินจวี๋พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ “ฮูหยิน นี่เกิดเรื่องขึ้นหรือขอรับ”
ไม่เสียแรงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนหย่งผิงโหว บทจะประจบประแจงขึ้นมาก็ชัดเจนไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย หากเปรียบเทียบกับว่านต้าเสี่ยนนั้นยังห่างชั้นอีกไกล ส่วนที่ต้องเรียนรู้ยังมีอีกมาก!
หากไม่ใช่เพราะเรื่องของเฟิ่งชิงกำลังเร่งด่วน สืออีเหนียงก็อยากจะฉวยโอกาสนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับพ่อบ้านไป๋ ตีสนิทเสียหน่อย
สืออีเหนียงอธิบายเรื่องนี้อย่างคร่าวๆ ไปอีกรอบ พ่อบ้านไป๋จึงยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “นี่เรื่องอันใดกันเนี่ย ควรให้ฮูหยินมาลำบากลำบนเป็นกังวลใจด้วยเสียที่ไหนกัน สั่งบ่าวมาคำเดียวก็พอขอรับ” จากนั้นก็หันไปเรียกจ้าวอิ่ง “เจ้าไปยืนข้างล่าง เดี๋ยวข้าขึ้นไปอุ้มคุณชายน้อยเฟิ่งชิงลงมา”
จ้าวอิ่งเองเป็นคนเชื่อฟังว่าง่าย ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงด้วย จึงรีบพูดขึ้นว่า “ตรงนี้มีข้าทั้งคน จะให้ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาเตียงได้อย่างไรกัน ท่านรออยู่ข้างล่าง ข้าจะขึ้นไปอุ้มคุณชายน้อยเฟิ่งชิงลงมาเอง” พูดจบ ไม่รอให้พ่อบ้านไป๋ได้ทันตอบอะไร ก็ตรงไปยังเก้าอี้ไม้ทันที
ปินจวี๋ไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นคนขึ้นไป ขอเพียงแค่สามารถอุ้มคุณชายน้อยเฟิ่งชิงลงมาได้ก็เป็นพอ นางจึงรีบลงจากเก้าอี้ไม้แล้วให้จ้าวอิ่งขึ้นไปแทน ยังพูดว่า “เจ้าระวังตัวด้วย”
พ่อบ้านไป๋เห็นแล้วก็ไม่ได้ยื้อต่อให้เสียเวลา รีบไปยืนอยู่ตรงด้านหน้าของเตียง ตงชิงขยับหลีกไปข้างๆ ยืนอยู่ตรงด้านหลังของสืออีเหนียง
“พี่ปินจวี๋วางใจเถิด” เพียงครู่เดียวจ้าวอิ่งก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาของเตียงเรียบร้อย “คุณชายน้อยเฟิ่งชิง…คุณชายน้อยเฟิ่งชิง บ่าวคือจ้าวอิ่งนะขอรับ! บ่าวรับใช้คนสนิทของท่านโหว บ่าวมาช่วยอุ้มคุณชายน้อยลงไป จะได้ไม่ต้องหกล้มเจ็บตัวเอา” เขาพูดเกลี้ยกล่อมพลางค่อยๆ คลานไปยังมุมของเตียงที่เฟิ่งชิงขดตัวอยู่
เรือใหญ่แข็งแรงมั่นคง แต่เรือนเล็กนั้นเปราะบางกว่ามาก
เฟิ่งชิงวิ่ง ตึงตัง ไปอีกทาง
จ้าวอิ่งจึงจำใจต้องคลานตามไปอีกทาง
เขายื่นมือออกไปคว้าชายเสื้อของเฟิ่งชิง แต่เฟิ่งชิงกลับวิ่งหลบไปอีกทาง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเหมือนเจอสิ่งที่น่าสนุกสนานอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่เล่นจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยังหัวเราะ “ฮ่าๆ” เสียงดังด้วยความชอบใจอีกด้วย
คนที่อยู่ด้านล่างไม่รู้ว่าด้านบนนั้นเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียง ตึงตัง ดังไม่หยุดหย่อน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น”
สืออีเหนียงและพ่อบ้านไป๋กำลังรออยู่ จ้าวอิ่งจึงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“เปล่า เปล่าขอรับ” เขาตอบกลับพลางค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เฟิ่งชิง จากนั้นก็เอื้อมมือคว้าไปด้านหน้าเต็มแรง จึงได้ตัวเฟิ่งชิงมาไว้ในอ้อมแขน
การถูกจับได้ก็หมายความว่าเจ็บปวด ความคิดเช่นนี้ทำให้เฟิ่งชิงกรีดร้องเสียงดังลั่น ทั้งตีทั้งเตะ
จ้าวอิ่งไม่กล้าทำรุนแรง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยมือ แต่ก็พยายามที่จะหลบตลอด “คุณชายน้อยเฟิ่งชิง บ่าวจะช่วยอุ้มท่านลงไปขอรับ”
ขณะที่กำลังยื้อแย่งกันอยู่นั้น ก็มีเสียง ครืน ดังขึ้น บางอย่างก็ร่วงหล่นจากกระดานหลังคา จ้าวอิ่งและเฟิ่งชิงตกลงมาจากข้างบน
ทุกคนต่างอึ้งไปตามๆ กัน
เฟิ่งชิงกลับไม่กะพริบตาเลยแม้แต่นิดเดียว พลิกตัวกลิ้งออกมาจากอ้อมแขนจ้าวอิ่ง จากนั้นก็คลานพรวดพราดลงมาจากเตียง วิ่ง ตึงตัง กำลังเตรียมจะออกไปข้างนอก
เวลานี้เอง เหล่าบรรดาผู้ใหญ่จึงเพิ่งจะได้สติขึ้นมา
สืออีเหนียงที่ยืนอยู่นอกสุดก็รีบเดินเข้าไปคว้าตัวเฟิ่งชิงไว้
เฟิ่งชิงร้องกรีดเสียงแหลม ทั้งเตะทั้งตีสืออีเหนียงไม่หยุด
สืออีเหนียงนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าขนาดนี้ เมื่อรับมือไม่ทัน เขาก็ดิ้นจนหลุดไปได้
พ่อบ้านไป๋ได้สติขึ้นมา รีบสาวเท้าตรงเข้าไปจับตัวเฟิ่งชิงไว้
เขายังคงกรีดร้องเสียงแหลมและทั้งเตะทั้งตีพ่อบ้านไป๋ไม่หยุด เหมือนตอนที่ถูกสืออีเหนียงจับตัวไว้
พ่อบ้านไป๋ไม่เหมือนสืออีเหนียง เขาจับแน่นไม่ยอมปล่อย
“ฮูหยิน…” เขาหันหน้ามาหาสืออีเหนียง รอสืออีเหนียงออกคำสั่ง
สืออีเหนียงหันไปมองเฟิ่งชิงที่เนื้อตัวมอมแมมและเต็มไปด้วยเศษฝุ่น ราวกับถูกต้นหนามเกี่ยวทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น จึงกัดฟันแน่น “เอาตัวมาให้ข้า” พูดจบก็เดินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองของเฟิ่งชิงไว้ พลางหันไปสั่งกับตงชิงว่า “ไปตักน้ำมาให้เขาเช็ดหน้าเช็ดตาเสียหน่อย” จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ ใช้ขาทั้งสองหนีบตัวของเฟิ่งชิงเอาไว้ ส่วนมือทั้งสองก็จับไหล่ของเขาไว้ กอดเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา
ตงชิงอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยดึงสติกลับมาได้ นางขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วจึงรีบวิ่งออกไปตักน้ำด้วยความลุกลี้ลุกลน
พ่อบ้านไป๋และจ้าวอิ่งนึกไม่ถึงเลยว่าสืออีเหนียงจะโหดถึงเพียงนี้ ทั้งคู่หันมาสบตากันและพากันก้มหน้าลงต่ำโดยไม่ได้นัดหมาย ราวกับว่าไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น
ปินจวี๋กลับเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ฮูหยิน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ”
เฟิ่งชิงแรงค่อนข้างเยอะ แต่สืออีเหนียงตัดสินใจจะต้องให้บทเรียนแก่เขา ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนหรือจะกรีดร้องอย่างไร สืออีเหนียงยังคงกอดรัดเขาไว้ในอ้อมแขนแน่นไม่ยอมปล่อย เมื่อได้ยินปินจวี๋ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงตน สืออีเหนียงก็พยักหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจเขา อีกประเดี๋ยวเขาก็จะไม่ร้องโวยวายแล้ว”
ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ตงชิงก็ตักน้ำเข้ามาพอดี ปินจวี๋รีบนำผ้ามาชุบน้ำแล้วบิด จากนั้นก็ช่วยเฟิ่งชิงเช็ดหน้าเช็ดตา
อย่างไรเสียเฟิ่งชิงก็เป็นเพียงแค่เด็กอายุสามขวบ จะสู้แรงของผู้ใหญ่ได้อย่างไรกัน เขาดิ้นน้อยลงไปเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งอ่อนแรง ดวงตาเริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา จ้องปินจวี๋ที่กำลังเช็ดมือให้เขาตาเขม็งด้วยความไม่พอใจ
สืออีเหนียงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา ในใจค่อยๆ รู้สึกตั้งมั่น จากนั้นก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เจ้าเชื่อฟังแล้วนั่งบนตักของข้าดีๆ ข้าก็จะปล่อยเจ้า หากว่าเจ้าเห็นด้วย ก็พยักหน้าเบาๆ”
เฟิ่งชิงไม่ได้พูดอะไรออกมา ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็ยอมพยักหน้าเบาๆ
สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ปล่อยมือจากเขา
เฟิ่งชิงรับรู้ได้ถึงแรงจับบนตัวของเขาที่ค่อยๆ คลายลง เขาก็รีบกระโดดลงจากตักของสืออีเหนียงดัง ตุ๊บ พลางวิ่งออกไปข้างนอกทันที
แต่ช่างน่าสงสารก้าวน้อยๆ ของเขา สืออีเหนียงเพียงแค่โน้มตัวก็สามารถคว้าตัวเขาได้แล้ว จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รักษาคำพูด เช่นนั้นเราก็มาทำตัวเหมือนกันเถิด” จากนั้นสืออีเหนียงก็จับเขาเข้ามากอดรัดในอ้อมแขนจนแน่นเหมือนเดิมอีกครั้ง
เฟิ่งชิงเองก็เริ่มออกแรงดิ้นสู้และกรีดร้องเสียงแหลมอีกครั้ง
สืออีเหนียงทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน หันไปพูดกับพ่อบ้านไป๋และจ้าวอิ่งว่า “ทางนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ทั้งสองมีธุระก็รีบไปทำเถิด!”
พ่อบ้านไป๋เองเริ่มพอจะเดาได้ นี่ถือเป็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน ว่าใครมีความสามารถในการดูแลจัดการผู้คนที่อยู่ภายใต้อำนาจได้ ทุกคนมีความสามารถไม่ต่างกันเท่าไรนัก แต่สิ่งที่จะนำมาเปรียบเทียบได้ก็คือใครมีพลังความสามารถในการควบคุมคนและสถานการณ์ได้เท่านั้น
“เช่นนั้น บ่าวก็ขอตัวไปเชิญหมอใหญ่มาดูอาการของคุณชายน้อยเฟิ่งชิงก่อนนะขอรับ” แล้วจึงถอยออกไปด้วยความเคารพนอบน้อม
จ้าวอิ่งมองดูแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านโหวสั่งให้บ่าวย้ายข้าวของเครื่องใช้ประจำวันไปที่เรือนหลัก เช่นนั้นบ่าวไปเก็บข้าวของก่อนนะขอรับ” เขาเองก็ได้ถอยออกไปด้วย