ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 192 ลับลมคมใน(ปลาย)
ตะกร้าหวายหาง่าย แต่คนดูแลเด็กไม่ได้หาง่ายเหมือนตะกร้า
เวลานั้นเอง สืออีเหนียงก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา
ตงชิงจึงเสนอตัวออกมา “มิเช่นนั้น ให้บ่าวไปดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเสียที่ตรงนั้นก็ห่างจากเรือนของฮูหยินห้าค่อนข้างไกล คงจะไม่เป็นไรหรอกกระมัง”
หู่พั่วเองก็รู้สึกเห็นด้วย “อย่างไรเสียที่ตรงนั้นก็เป็นพื้นที่ส่วนตัวของท่านโหว ฮูหยินห้าเป็นน้องสะใภ้ แม้ว่าจะเดินผิดที่ผิดทาง ก็คงจะไม่หลงเข้าไปในนั้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามีเหตุผล หู่พั่วจึงเข้าโรงครัวไปหาตะกร้าหวายที่ใช้ใส่ผลผิงกั่ว[1] และยังแสร้งทำเป็นขู่เอาผลผิงกั่วหนักหลายสิบชั่ง ตั้งใจจะใส่ไว้ในตะกร้าหวายสักพัก เพื่อที่ใครเดินเข้ามาใกล้ก็จะได้กลิ่นของผลผิงกั่ว สามารถกำจัดความสงสัยของผู้อื่นได้
นางจัดการเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาอีก
จะจับเฟิ่งชิงใส่ตะกร้าหวายอย่างไร
เขาขดตัวงอ แววตาจับจ้องและระแวดระวังพวกนางอยู่ตลอดเวลา ยังเผยให้เห็นสีหน้าร้ายกาจที่ไม่เหมือนเด็กน้อยออกมาด้วย
สืออีเหนียงจึงลองใช้วิธีแบบเด็กน้อยไปสื่อสารปัญหาเหล่านั้นกับเขา “…พวกเราจะส่งเจ้าไปยังที่พักของเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว” จากนั้นก็ชี้ไปยังตงชิง “พี่หญิงคนนี้จะไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย วันข้างหน้านางจะดูแลอาหารการกิน การนอน และยังช่วยเจ้าอาบน้ำซักเสื้อผ้าอีกด้วย…”
ดูออกอย่างชัดเจนว่าเฟิ่งชิงเป็นเด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่ง เขาสามารถเข้าใจความหมายของสืออีเหนียงได้ในทันที แต่เขาก็ได้รีบแสดงท่าทีของตัวเองออกมาให้เห็น รีบกอดเสาของเตียงเตาไว้แน่น ราวกับว่า ต่อให้ตายเขาก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะกุมขมับ หันไปสั่งกับตงชิงว่า “เจ้าอยู่เฝ้าเขาที่นี่ก็แล้วกัน! ข้ายังต้องไปเจอกับฮูหยินสาม ปรึกษาหารือเรื่องวันปีใหม่อีก” แต่ก็นึกถึงเรื่องเมื่อครู่นี้ที่ตงชิงถูกเฟิ่งชิงกัด จึงพูดขึ้นว่า “เรียกปินจวี๋เข้ามาด้วยก็แล้วกัน! คนเยอะจัดการอะไรได้ง่ายขึ้น”
ตงชิงเองก็กลัวว่าตนคนเดียวจะรับมือกับเด็กไม่ไหว เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบออกไปเรียกปินจวี๋เข้ามาทันที
ปินจวี๋ได้ยินมาตั้งแต่เช้าว่าท่านโหวและฮูหยินคุยกันอยู่ในเรือน และได้สั่งไว้ว่าไม่ให้ใครเข้าไปโดยเด็ดขาด จากนั้นก็เรียกตงชิงเข้าไป ผ่านไปครู่เดียวก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องกรี๊ดออกมา จากนั้นท่านโหวก็เดินออกมา ส่วนฮูหยินและตงชิงนั้นไม่ได้ออกมาด้วย และไม่ได้เรียกให้ใครเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ จากนั้นตงชิงก็ออกมาเรียกหู่พั่วให้เข้าไป…ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ต่างพากันเงียบกริบไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ขณะที่ปินจวี๋กำลังเป็นกังวลใจอยู่นั้น ก็เห็นตงชิงออกมาตามนาง นางจึงเดินตามหลังตงชิงเข้าไป เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเด็กแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงเตา อีกทั้งยังมีตาชั้นเดียวที่เหมือนกับสวีลิ่งอี๋ไม่มีผิด นางอึ้งจนอ้าปากตาค้าง พูดจาติดอ่างไปหมด “นี่…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
สืออีเหนียงยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่าอี๋เหนียงทั้งสามมาคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงให้ตงชิงอธิบายเรื่องนี้กับปินจวี๋ ส่วนตนก็ออกไปยังห้องโถงเพื่อรับการคารวะจากอี๋เหนียงทั้งสาม พูดคุยกันเพียงครู่หนึ่งก็รีบส่งแขกกลับ
เมื่อกลับเข้าเรือนมา ปินจวี๋ที่เข้าใจในสถานการณ์แล้ว ก็แสดงสีหน้าแววตาหวาดวิตกและกังวลใจพร้อมกับเดินเข้ามาหา “ฮูหยิน ปิดบังได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถปิดบังได้ชั่วชีวิต บ่าวว่าเรื่องนี้ ควรรีบเปิดเผยตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน
“รอท่านโหวกลับมาแล้วค่อยว่ากัน!” นางพูดขึ้นอย่างไตร่ตรอง “ตอนนี้เรายังไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของท่านโหว บุ่มบ่ามไป หากทำเสียเรื่องท่านโหวเข้า เกรงว่าอนาคตจะไม่มีวันที่อยู่เย็นเป็นสุขกระมัง”
ปินจวี๋พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ได้เตือนสืออีเหนียงว่า “ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องไปหาไท่ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็มอบหมายเด็กให้พวกนางดูแล ส่วนตนก็สวมเสื้อคลุม จากนั้นก็พาลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วติดตามไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสามไปที่นั่นตั้งแต่เช้าแล้ว สืออีเหนียงคารวะไท่ฮูหยินเสร็จเรียบร้อย ก็ตรงไปหาฮูหยินสามตามที่ได้นัดหมายไว้
ตอนที่นางไปถึง ท่านป้าที่เป็นผู้ดูแลทุกคนล้วนมาถึงพร้อมเพรียงแล้ว รวมตัวอยู่ในห้องโถงและกำลังรอคำสั่งจากฮูหยินสาม เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ก็พากันย่อตัวทำความเคารพและกล่าวทักทายตามๆ กัน สีหน้าท่าทางดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงยังคงให้ความเคารพฮูหยินสามในฐานะผู้ดูแลหลักของเรือน จึงให้สาวใช้เข้าไปเรียนฮูหยินสามสักคำ ส่วนตนนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยกับเหล่าบรรดาท่านป้าที่เป็นผู้ดูแลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อขอตัวไปยังห้องปีกทิศตะวันออก
ฮูหยินสามยิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างฝืน ดูอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไร “น้องสะใภ้มาแล้วหรือ!”
ชิวหลิงรีบลุกขึ้นมาเชื้อเชิญสืออีเหนียงไปนั่งที่ฝั่งตรงข้ามของฮูหยินสาม จากนั้นก็รีบไปชงชามาให้ทันที
ฮูหยินสามหันไปมองกิริยาท่าทางที่นิ่งสงบของสืออีเหนียง แล้วพูดขึ้นว่า “…ได้ยินมาว่าเจ้าหมั้นหมายสาวใช้คนสนิทกับว่านต้าเสี่ยน จะกำหนดวันช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าหรือ”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ อย่างไรเสียก็ไม่ได้มีสามสื่อหกพิธี[2]ครบทุกขั้นตอนเสียหน่อย สืออีเหนียงไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ให้เด็ดขาดอย่างสิ้นเชิง จึงพูดขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “ต้องดูว่าทางโน้นมีวาสนานี้หรือไม่!”
ฮูหยินสามจึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “จะว่าไปแล้ว นางก็เป็นคนสำคัญของเรือนเจ้า ก็ควรจะจัดเตรียมให้ดีถึงจะถูก”
สืออีเหนียงยังคงนิ่งเงียบ พลางพูดออกไปว่า “สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนทำตามขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามรู้สึกว่าน้ำเสียงและคำพูดของสืออีเหนียงไม่ค่อยพอใจและไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก นางจึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “เจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ ก่อน หากมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจก็เปิดหนังสือบัญชีขึ้นมาดู หรือว่าถามข้าก็ได้!”
“พี่สะใภ้สาม เชิญตามสบายเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงค่อนข้างเกรงใจ จึงทำให้ฮูหยินสามพอใจเป็นอย่างมาก จะว่าไปแล้ว สืออีเหนียงก็เป็นคนที่ฉลาดหัวไวและเชื่อฟังคนหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะทั้งสองถูกคั่นด้วยตำแหน่งฐานะ นางเองก็อยากที่จะคบค้าสมาคมกับสืออีเหนียงเสียด้วยซ้ำ
เมื่อความคิดเช่นนี้แล่นผ่านในหัวของนาง นางก็รีบหันไปสั่งกับชิวหลิงว่า “ร้อยคุณงามความดี กตัญญูกตเวทิตามาเป็นอันดับหนึ่ง เช่นนั้นก็ให้ป้ารับใช้ที่ดูแลศาลบรรพชนเข้ามาชี้แจงเรื่องสิ่งของที่จะต้องตระเตรียมสำหรับการเซ่นไหว้ว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนก็แล้วกัน”
ชิวหลิงขานรับแล้วจึงออกไปทันที
สืออีเหนียงรวบรวมสมาธิอีกครั้ง ตั้งใจจดจ่อดูการจัดการงานในเรือนของฮูหยินสาม
*****
เวลาช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฮูหยินสามให้ชิวหลิงจัดระเบียบเรื่องทั้งหมดที่จัดการและทำการตัดสินใจไปเมื่อเช้านี้ออกมาใหม่ จากนั้นก็ได้ไปยังเรือนของไท่ฮูหยินพร้อมสืออีเหนียง “…ถือโอกาสนี้ไปทานข้าวกับผู้หลักผู้ใหญ่ พูดคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ จะได้ให้ท่านรับรู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
แต่สืออีเหนียงกลับเป็นห่วงและกังวลเจ้าเผือกร้อนมือที่เรือนของตน จึงหาข้ออ้างว่า “ข้าขอตัวกลับเรือนไปเปลี่ยนชุดเสียหน่อย! รื้อค้นหนังสือบัญชีทั้งเช้า รู้สึกว่ามือเปื้อนฝุ่นเต็มไปหมด”
บัญชีพวกนั้นค่อนข้างเก่าแก่ ปกติจะถูกจัดเก็บไว้ในห้องเก็บของ จะรื้อค้นมาดูก็ต่อเมื่อมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจหรือต้องการนำมาอ้างอิงพิจารณา แต่ละหน้าของหนังสือบัญชีจึงเต็มไปด้วยฝุ่นผง
ฮูหยินสามเองก็เคยรื้อค้นหนังสือบัญชีเหล่านั้น เมื่อได้ยินแล้วก็ยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “งั้นข้าไปก่อนแล้วกัน!” กับเรื่องที่สามารถนำหน้าผู้อื่นและข่มเหล่าบรรดาสะใภ้ด้วยกันได้ นางก็มักจะกระตือรือร้นเสมอ
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นพลางขอตัวกลับเรือนไป
คนที่รอปรนนิบัติรับใช้ก็ยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องโถงของเรือนหลักหรือยืนรออยู่ใต้ชายคาเหมือนเดิม ห้องชั้นในเงียบสนิทไม่มีใคร ราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เป็นแค่เรื่องที่ตนมโนคิดไปเองอย่างไรอย่างนั้น
ซวงอวี้เดินเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินเจ้าคะ พี่ตงชิง พี่หู่พั่วและพี่ปินจวี๋ไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นแล้วเจ้าค่ะ”
แสดงว่าสามารถพาเด็กไปที่โน่นได้อย่างราบรื่นอย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าปกติพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหตุใดจู่ๆ ถึงไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นได้ล่ะ”
“เห็นบอกว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว จ้าวอิ่งที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นอยากจะหาสักสองสามคนที่มือไม้คล่องแคล่วว่องไวไปช่วยทำความสะอาดและจัดระเบียบข้าวของเสียหน่อย พี่หู่พั่วก็เลยบอกว่าที่นั่นเป็นห้องหนังสือของท่านโหว สาวใช้ที่ไม่รู้จักหนังสือจะแยกแยะไม่ได้ว่าของสิ่งไหนสำคัญหรือไม่สำคัญบ้าง ก็เลยพาพี่ตงชิงและพี่ปินจวี๋ไปด้วยเจ้าค่ะ”
ฟังไม่ค่อยได้ใจความเท่าไรนัก
ดูแล้วคงต้องรอให้ทั้งสามกลับมาก่อนแล้วค่อยซักถามก็แล้วกัน
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็เดินเข้าเรือนไปเปลี่ยนชุดใหม่ พลางถามขึ้นว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือไม่”
“ท่านโหวยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ”
ดูท่าคงจะต้องใช้ข้ออ้างของหวังลี่เสียแล้ว
สืออีเหนียงครุ่นคิดระหว่างเดินทางไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน
*****
หลังจากกลับจากทานมื้อเที่ยงกับไท่ฮูหยิน หู่พั่วก็อยู่ที่เรือนแล้ว
ไม่รอให้สืออีเหนียงได้เอ่ยปาก นางก็พยักหน้าให้กับสืออีเหนียง เพื่อบอกเป็นนัยว่าได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
สืออีเหนียงจึงค่อยรู้สึกวางใจขึ้นมา ปลีกตัวจากคนปรนนิบัติรับใช้ จากนั้นก็ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของสถานการณ์
“…พอพวกบ่าวเข้าใกล้หน่อย เขาก็จะกัดเอา ก็เลยจนปัญญา บ่าวทั้งสามจึงตัดสินใจใช้กำลังปิดปากเด็กไว้ แล้วจับมัดมือมัดเท้าใส่เด็กลงไปในตะกร้าหวายทีเดียว” น้ำเสียงของหู่พั่วแผ่วเบาลง เพื่อที่จะบอกกับสืออีเหนียงเป็นนัยว่าเรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว “เวลานั้นยังเช้ามาก ตลอดทางไม่เจอใครเลย แต่จ้าวอิ่งเห็นพวกบ่าวแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก บ่าวก็เลยอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดให้เขาฟัง เขานั้นเด็ดขาดไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว รีบให้พวกบ่าวเข้าไปในเรือนทันที อีกทั้งยังไปช่วยขอน้ำร้อนมาให้ บ่าวและพี่ตงชิงฝืนบังคับคุณชายน้อยเฟิ่งชิงอาบน้ำจนเสร็จ เปลี่ยนน้ำไปสามรอบจึงค่อยสะอาดสะอ้านขึ้นมา ปินจวี๋ก็ไปขอเสื้อผ้าจากสะใภ้หนานหย่งมาสองสามตัว จึงค่อยจัดการทุกอย่างเรียบร้อย พี่ตงชิงกับพี่ปินจวี๋อยู่เฝ้าที่นั่น บ่าวกลัวว่าท่านจะเป็นกังวลใจ ก็เลยกลับมาเรียนเรื่องนี้กับท่านก่อนเจ้าค่ะ”
“คุณชายน้อยเฟิ่งชิง?” สืออีเหนียงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย
แววตาของหู่พั่วค่อนข้างคลุมเครือ “เจ้าค่ะ เป็นคุณชายน้อย”
สืออีเหนียงมองแล้วก็ถามต่อเสียงขรึมว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
หู่พั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “บนตัวของคุณชายน้อยเฟิ่งชิงมีบาดแผลด้วยเจ้าค่ะ!”
มีบาดแผล!
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งมา ทั้งสกปรกทั้งมอมแมม…จึงขมวดคิ้วแน่น “บาดแผลแบบใด”
“ดูเหมือนจะใช้ไม้ไผ่กว้างสองนิ้วเฆี่ยนตี เขียวบ้างม่วงบ้าง ส่วนใหญ่ถูกเฆี่ยนบนหลัง มีรอยแผลใหม่ด้วย มีรอยแผลที่เพิ่งจะถูกเฆี่ยนเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา และยังมีรอยแผลเก่าด้วยเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดอย่างไตร่ตรอง “ที่ต้นขาก็มี…ล้วนเป็นแผลที่อยู่ในร่มผ้าทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋รู้เรื่องนี้หรือไม่!
สืออีเหนียงหรี่ตาลง เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาฉับพลัน
นางรังเกียจคนที่รังแกข่มเหงสตรีและเด็กมากที่สุด
“ตอนนี้เด็กเป็นอย่างไรบ้างแล้ว” น้ำเสียงของนางเคร่งขรึม
“ขดตัวกลมหลบอยู่ในมุมเตียง ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลย” น้ำเสียงของหู่พั่วค่อนข้างเป็นกังวลใจ “ตอนที่บ่าวออกมาก็ยังนอนอยู่อย่างนั้น ข้าวเที่ยงก็ไม่ยอมทานเลยเจ้าค่ะ”
คำพูดประโยคนี้ได้ย้ำเตือนสติของสืออีเหนียง
“พวกเจ้าทานข้าวแล้วหรือไม่”
“ทานแล้วเจ้าค่ะ!” หู่พั่วตอกกลับ “จ้าวอิ่งเป็นคนช่วยยกอาหารมาให้ บอกกับคนนอกแค่ว่ามาขอให้พวกบ่าวช่วยงานเท่านั้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้ารับรู้ “ทุกอย่างรอให้ท่านโหวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” แต่ความขุ่นเคืองในใจของนางกลับไม่ได้ถดถอย
หู่พั่วขานรับแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน บ่าวพาท่านไปพักผ่อนยามบ่ายเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ ทางนั้นมีพี่ตงชิงและพี่ปินจวี๋อยู่ด้วย ท่านไม่ต้องเป็นกังวลใจไป”
สืออีเหนียงจะหลับลงได้อย่างไรกัน นางอิงบนหมอนพลางพูดคุยกับหู่พั่ว “ยิ่งคิดข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ถ้าหากว่าท่านโหวมีเด็กคนนี้อยู่ข้างนอก ตามนิสัยของคนอย่างท่านโหว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อ่อนโยนและเอาใจใส่เท่าไรนัก แต่ก็คงดูแลตามความเหมาะสมไม่ให้ขาดตกบกพร่องใดๆ อย่างไรเสียเด็กก็คงจะไม่ต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนี้ ที่มาของเด็กคนนี้ เกรงว่าคงจะมีบางอย่างแน่นอน”
หู่พั่วรินชาพร้อมกับยกมาให้สืออีเหนียงด้วยตัวเอง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านโหวจะไม่รู้เรื่องนี้” นางคาดเดาว่า “มิเช่นนั้น จู่ๆ ท่านโหวก็จะคิดได้ขึ้นมาฉับพลัน บุ่มบ่ามออกไปกลางดึกเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
ไม่รู้เรื่อง? ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นไรถึงจะไม่รู้เรื่องได้เล่า หรือจะเป็นผลิตผลจากเหตุสุดวิสัยของการพบรักกับสาวงามกัน…?
————————–
[1]ผลผิงกั่ว ผลแอปเปิล
[2]สามสื่อหกพิธี พิธีแต่งงานแบบชาวจีนโบราณ โดยมีสามขั้นตอนและหกพิธีการ