ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 189 ประกายไฟ(ปลาย)
ทางเลือกที่ดีกว่า?
ตงชิงส่ายหน้าเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง “ตอนแรกข้าคิดแค่ว่าจะไม่ยอมแต่งกับหลานชายของป้าเหยาเท่านั้น…แต่ไม่ได้คิดทางเลือกอื่นเผื่อไว้เลย”
“เช่นนั้นก็เชื่อฟังฮูหยินเถิด!” จู๋เซียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโน้มน้าวและปลอบใจ “อย่างไรเสียฮูหยินก็คงจะไม่ทำร้ายท่านหรอกกระมัง!”
ตงชิงจึงนึกถึงตอนแรกที่สืออีเหนียงไปมาหาสู่กับป้าเหยาเพื่อตน
“อืม” นางพยักหน้า “ฮูหยินดีกับข้าเป็นอย่างมาก”
จู๋เซียงนึกถึงตอนที่ผู้คนรอบข้างมากมายที่คอยมานินทาข่าวลือพวกนั้นข้างหูนาง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจพูดขึ้นว่า “อีกอย่างพี่หญิงก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาแทนที่จะถูกจับแต่งงานกับบ่าวรับใช้คนใดก็ไม่รู้ สู้แต่งกับว่านต้าเสี่ยนยังดีเสียกว่า อย่างน้อยๆ เราก็ยังรู้รากเหง้าของเขา”
ตงชิงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย
นางนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ แล้วจึงค่อยกลับเข้าห้องของนาง
วันถัดมานางก็ได้บอกกับหู่พั่วว่า “ล้วนฟังฮูหยิน”
สืออีเหนียงค่อนข้างฉงนใจ “เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจขึ้นมาเล่า นี่เป็นเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต หากว่านางไม่ยินยอม ข้าไปหาคนที่นางพอใจจากข้างนอกมาให้นางก็ยังได้ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเอง”
หู่พั่วยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “ไม่ยินยอมที่ไหนกันเจ้าคะ นางก็เพียงแค่ไม่อยากจากฮูหยินไปก็เท่านั้น ข้างนอกจะดีสู้ในจวนได้อย่างไรกัน ไหนจะต้องแต่งงานออกเรือนไปเป็นสะใภ้ของคนอื่น นอกจากจะต้องดูสีหน้าของพ่อแม่สามีแล้ว ยังต้องมาดูสีหน้าของพี่น้องของสามีอีก”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะให้นางตามว่านอี้จงไปทำนาด้วยหรืออย่างไรกัน ตอนนี้อย่าว่าแต่ติดตามข้าอยู่ในจวนเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่อยู่จวนสกุลหลัว ข้าก็ไม่เคยจะให้นางไปทำไร่ทำนาเลยแม้แต่นิดเดียว” จากนั้นก็ให้หู่พั่วไปตามตงชิง “วันข้างหน้าจะต้องให้นางเป็นคนทำธุระของจวนอยู่แล้ว”
ตงชิงเขินอายจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด นางยืนบิดไปบิดมาไม่หยุด
สืออีเหนียงดูสีหน้าท่าทางของนางแล้วก็ไม่เหมือนกับฝืนใจ จึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นคนของจวนพวกเรา แต่บิดามารดาของเจ้าก็เป็นผู้ให้กำเนิดเจ้า เจ้าจะแต่งงานออกเรือนแล้ว ก็ควรจะเขียนจดหมายบอกกล่าวทางนั้นด้วย ฤกษ์งามยามดีของปีนี้ไม่มีแล้ว คงจะต้องรอหลังเดือนสองของปีหน้า เมื่อฮูหยินห้าคลอดบุตรเสร็จเรียบร้อย ก็ค่อยหาวันที่เป็นสิริมงคลมาจัดงานแต่งของเจ้าก็แล้วกัน!”
ตงชิงใบหน้าแดงก่ำกว่าเดิม ขานรับเสียงแผ่วเบา “เจ้าค่ะ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเห็นตงชิงเขินอายเป็นอย่างมาก จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด!” จากนั้นก็ได้ให้สาวใช้น้อยเชิญเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้ามา
ทั้งสองสวนทางกันพอดี ตงชิงรีบย่อตัวทำความเคารพเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็รีบถอยออกไปทันที
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเจ้าคะ” เพราะปกติแล้วมักเห็นตงชิงนั้นทำการละเอียดรอบคอบและระมัดระวัง เวลาเจอตนก็จะเคารพและนอบน้อมเสมอ
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง “เสร็จเรียบร้อยหมดแล้วเจ้าค่ะ ตั้งใจมาลาท่านแม่โดยเฉพาะ”
เมื่อเห็นในเรือนมีสืออีเหนียงอยู่คนเดียว จึงอยากที่จะถามว่า ‘ท่านพ่อเล่า’ แต่พอมานึกๆ ดูแล้ว ในบ้านยังมีอี๋เหนียงอีกตั้งหลายคน จึงได้กลืนคำพูดลงคอไป ไม่ถามถึงเรื่องสวีลิ่งอี๋อีก
สืออีเหนียงนึกไม่ถึงว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะมาหาเช้าขนาดนี้ สวีลิ่งอี๋ยังไม่ทันมาหานางด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมา จึงถามนางไปว่า “ให้คนไปบอกฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แล้วหรือยัง”
ทุกคนเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ร่วมกัน เมื่อถึงปีใหม่ก็จะมารวมตัวพบปะสังสรรค์ ในเมื่อเจินเจี่ยเอ๋อร์สนิทสนมกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ เดินทางไปไหนมาไหนก็ควรจะบอกกล่าวฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สักคำ เป็นการเคารพฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์และเป็นยังวิถีแห่งมิตรภาพอีกด้วย
เรื่องนี้ตกลงค่อนข้างเร่งด่วน เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่มีโอกาสเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้ใครไปยังจวนเวยเป่ยโหว ดังนั้นนางจึงตื่นมาหาสืออีเหนียงแต่เช้า
“กำลังจะมาขอให้ท่านแม่ช่วยส่งคนไปบอกกล่าวกับทางโน้นเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงจึงให้หู่พั่วนำป้ายคู่มา จากนั้นก็ให้ลี่ว์อวิ๋นไปเรียกป้าเถา “…ให้นางไปที่จวนเวยเป่ยโหว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “รบกวนป้าเถาช่วยถามฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สักหน่อยว่านางชอบกลิ่นดอกมะลิหรือว่ากลิ่นดอกซ่อนกลิ่น ตอนกลับมาข้าจะนำน้ำหอมมาให้นางด้วย”
ฮูหยินสองมีความถนัดในด้านนี้โดยเฉพาะ เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปแล้วก็คงจะขอโน่นขอนี่เป็นธรรมดา
ฝากคำพูดกันเป็นทอดๆ ข้อความอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ สืออีเหนียงจึงพูดไปว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์ สู้เขียนจดหมายแล้วฝากป้าเถาไปให้นางไม่ดีกว่าหรือ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงจึงให้หงซิ่วพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปเขียนจดหมายที่ห้องปีกทิศตะวันออก จากนั้นก็สั่งให้หู่พั่วไปตามสวีลิ่งอี๋ “…ไปบอกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์มาที่นี่แล้ว หลังเทศกาลโคมไฟถึงค่อยกลับจวน อีกประเดี๋ยวพวกเราจะไปหาไท่ฮูหยิน” ความหมายของสืออีเหนียงก็คือให้เขารีบมา เจินเจี่ยเอ๋อร์จะได้ลาเขาอย่างเป็นทางการ
หู่พั่วขานรับแล้วจึงออกไป
สืออีเหนียงรออยู่ครู่หนึ่ง หู่พั่วก็กลับมาเรียนว่า “เฉียวอี๋เหนียงบอกว่าท่านโหวไม่ได้อยู่ที่นั่น บ่าวก็เลยไปถามกับคนที่เข้าเวรดึก จึงได้ยินมาว่าท่านโหวออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลยเจ้าค่ะ”
“หรืออยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่น?” สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกงงงวย “ลองไปตามหาดู จะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้”
หู่พั่วพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็ออกไปตามหาสวีลิ่งอี๋
ส่วนเจินเจี่ยเอ๋อร์เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ส่วนที่จะต้องกำชับป้าเถาก็ได้กำชับเรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงจึงคุยเรื่อยเปื่อยกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ต่อ เมื่อเห็นว่าเวลาก็ไม่เช้าแล้ว จึงต้องพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปหาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินและป้าตู้กำลังตรวจนับห่อผ้าเล็กใหญ่อยู่บนเตียงเตา เมื่อเห็นพวกนางเข้ามา ก็ได้ชี้ไปยังห่อผ้าเหล่านั้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “…นี่เป็นลูกกวาด นี่เป็นผลไม้เชื่อม นี่เป็นข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ …” ล้วนเป็นของกินทั้งสิ้น ไท่ฮูหยินยังพูดต่ออีกว่า “หากว่าเจ้าอยากทานสิ่งใดเพิ่ม ก็ส่งคนกลับมาบอกสักคำ ข้าจะรีบให้คนจัดเตรียมแล้วส่งไปให้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ท่านย่า…”
ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่ได้อยู่ฉลองปีใหม่ที่จวน…
หลังจากที่ไท่ฮูหยินพูดจบ สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและสวีซื่ออวี้ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พวกเขาพากันมาส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ อีกทั้งยังมีแม่นมของจุนเกอที่กำลังจูงมือจุนเกอเข้ามา ฮูหยินสามและฮูหยินห้าที่เจอกันระหว่างทางก็ได้เข้ามาพร้อมกัน ทุกคนต่างพูดคุยพลางหัวเราะ บรรยากาศจึงดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก พลอยทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ลืมความเศร้าที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ไปโดยปริยาย
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “เตรียมรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” ไท่ฮูหยินออกไปส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง ทุกคนจึงไม่กล้าเฉยเมย พากันเดินตามไท่ฮูหยินและเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังช่วยประคองไท่ฮูหยินไปยังประตูฉุยฮวา
ก็เจอเข้ากับสวีลิ่งอี๋ที่ประตูฉุยฮวาพอดี
ทุกคนต่างตกใจไปตามๆ กัน
สืออีเหนียงนั้นรู้สึกแปลกใจกว่ามาก สวีลิ่งอี๋ไม่ได้อยู่ในเรือน?
ตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่รู้ว่าเขาออกไปทำอะไรที่นอกเรือน
แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ไม่ค่อยสะดวกซักถาม นางจึงยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปย่อตัวทำความเคารพสวีลิ่งอี๋ “ท่านโหว พวกเรากำลังมาส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์เดินทางไปเขาซีซานเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงเข้าไปคารวะไท่ฮูหยิน จากนั้นก็กำชับเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเพียงไม่กี่ประโยค “ไปถึงที่โน่นจะต้องเชื่อฟังคำพูดของป้าสะใภ้สอง”
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับดูตื้นตันเป็นอย่างมาก ขอบตาของนางมีน้ำตาคลอเบ้า
นางย่อตัวทำความเคารพด้วยความนอบน้อมพร้อมกับมอบของขวัญสิริมงคลให้กับสวีลิ่งอี๋ “ลูกน้อมรับคำสอนสั่งตักเตือนของท่านพ่อ! ขอท่านพ่อดูแลรักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้ารับรู้อย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ ก็ได้เข้าไปคารวะสวีลิ่งอี๋
ม้าใหญ่สีแดงพุทราที่ถูกบ่าวรับใช้จูงอยู่เริ่มหงุดหงิดจึงเอาแต่ยกเท้าหน้า
ไท่ฮูหยินจึงกำชับกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “ไปเถิด เช้าของวันที่สิบแปดเดือนอ้าย ข้าจะส่งคนไปรับเจ้ากลับมา”
แม่เฒ่าผู้ติดตามก็รีบไปนำเก้าอี้พักเท้ามาวางข้างรถม้า เจินเจี่ยเอ๋อร์มองแล้วก็น้ำตาคลอจนเปื้อนขนตา ไท่ฮูหยินเองก็นำผ้าเช็ดหน้าออกจากแขนเสื้อมาซับน้ำตาของตัวเอง
ฮูหยินสามจึงเดินเข้าไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เวลาไม่เช้าแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์รีบขึ้นรถม้าจะดีกว่า พี่สะใภ้สองทางนั้นมีคนไปแจ้งข่าวแต่เช้าแล้ว เกรงว่ากำลังนั่งนับเวลารอคุณหนูใหญ่อยู่ หากว่าไปสาย ทางนั้นจะเป็นห่วงเอาได้!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็รีบพยักหน้า แล้วรีบหันไปย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ซื่อเจินไม่ได้อยู่ปรนนิบัติท่าน ท่านจะต้องดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ข้ายังมีท่านแม่ของเจ้า ยังมีป้าสะใภ้สามและอาสะใภ้ห้าคอยปรนนิบัติดูแล เจ้าวางใจไปอยู่เป็นเพื่อนป้าสะใภ้สองที่เขาซีซานเถิด”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันไปย่อตัวทำความเคารพทุกๆ คน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “งั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” เสี่ยวหลีจึงรีบเข้าไปประคองนางขึ้นรถม้า
แม่เฒ่าที่ติดตามก็รีบเก็บเก้าอี้พักเท้า จากนั้นก็ย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยินแล้วรีบปีนขึ้นรถมาไป พลางหันไปสั่งกับบ่าวรับใช้ว่า “ไปได้!”
บ่าวรับใช้พยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็จูงม้าออกไปยังด้านนอก
ม่านหน้าต่างชั้นนอกของรถม้าถูกเปิดออก มองผ่านม่านโปร่งบางชั้นในของรถม้า สามารถมองเห็นสีหน้าที่อาลัยอาวรณ์ของเจินเจี่ยเอ๋อร์
หลังจากที่ทุกคนได้ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์จากไปแล้ว ก็ได้นั่งรถลากกลับไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน โน้มน้าวและปลอบโยนไปครึ่งค่อนวัน อารมณ์จิตใจของไท่ฮูหยินก็ค่อยๆ ดีขึ้น จากนั้นก็ได้หันไปถามสวีลิ่งอี๋ว่า “เช้าตรู่เช่นนี้ เจ้าไปทำอะไรมาหรือ”
“อ๋อ!” เขาตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉย “ฟั่นเหวยกังให้คนส่งจดหมายมา ถามว่าขาของข้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ยอมไปนอนพักอยู่บนเตียง แต่กลับออกไปส่งจดหมายถึงนอกเรือนด้วยตัวเอง…
สืออีเหนียงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินเองก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา
แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ถามออกมา ไท่ฮูหยินกลับเปลี่ยนเรื่องไปคุยอย่างอื่นแทน นางหันไปถามฮูหยินสามว่า “เรื่องทำความสะอาดในเรือนเตรียมการเสร็จแล้วหรือไม่ ป้ายผ้ากลอนคู่สิริมงคลและแผ่นกระดานยันต์ไม้ท้อที่ใช้ติดหน้าประตู ล้วนจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วหรือ”
ฮูหยินสามยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ท่านวางใจเถิด เตรียมเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ท่านเพียงแค่เตรียมเงินที่จะให้ในวันตรุษจีนก็พอเจ้าค่ะ!”
เมื่อไท่ฮูหยินถูกหยอกล้อ ก็หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินสาม ทางเฟิงไถส่งดอกไม้มาแล้วเจ้าค่ะ”
ปีนี้อากาศค่อนข้างหนาวเป็นพิเศษ ดอกไม้ที่เรือนก็เลยไม่พอ จึงไปสั่งดอกไม้ที่เฟิงไถมาเพิ่ม
ฮูหยินสามจึงลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปดูเสียหน่อยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับสืออีเหนียงว่า “น้องสะใภ้สี่ เจ้าเองก็ตามมาดูด้วยสิ! ตรงไหนควรประดับดอกไม้อะไร จะได้รู้และเข้าใจ”
สืออีเหนียงหันไปมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินจึงพยักหน้าเบาๆ “ไปเถิด!”
สืออีเหนียงจึงค่อยย่อตัวทำความเคารพไท่ฮูหยินพร้อมฮูหยินสาม จากนั้นก็เดินตามหลังกันไป
ในเรือนจึงเหลือเพียงสวีลิ่งอี๋และฮูหยินห้าที่เป็นน้องสะใภ้ ฮูหยินห้าไม่ได้อยู่ต่อ นางเท้าสะเอวแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นก็ขอตัวลากับไท่ฮูหยิน “…อยากจะกลับไปนอนเอนหลังสักหน่อยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินจึงไม่ได้ขอให้นางอยู่ต่อ หันไปสั่งป้าตู้ให้ช่วยประคองนางไปส่งที่หน้าประตู จากนั้นก็ให้เว่ยจื่อพาเด็กๆ ไปยังห้องปีกทิศตะวันออก ส่วนตนนั้นก็อยู่คุยเรื่องส่วนตัวกับสวีลิ่งอี๋ต่อ
เมื่อฮูหยินห้ากลับไปถึงเรือน ก็ได้พูดคุยเรื่องส่วนตัวกับป้าสือ
“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวอะไรจากทางอี้อี๋เหนียงของเรือนคุณชายสามหรือไม่”
ป้าสือพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “รายละเอียดของทางฝั่งอี้อี๋เหนียงเป็นอย่างไรนั้นบ่าวเองก็ไม่ชัดเจน แต่หลายวันมานี้ทางฮูหยินสามเอาแต่เก็บข้าวเก็บของ ราวกับว่าจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเลยเจ้าค่ะ”
“ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก?” ฮูหยินห้าชะงักฝีเท้าลง เผยให้เห็นถึงแววตาฉงนใจ “ไท่ฮูหยินยังอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจวนนี่?”
“ฉะนั้นบ่าวจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในเจ้าค่ะ” ป้าสือเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ “ท่านดูจากที่ฮูหยินสามปฏิบัติต่อฮูหยินสี่…เหมือนกำลังบอกสอนเกี่ยวกับการดูแลจวนด้วยความจริงใจอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “ในใจของข้ารู้สึกไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น”
ป้าสือได้ยินแล้วก็พูดขึ้นว่า “ท่านพูดเช่นนี้ มีเรื่องอีกเรื่องด้วยเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าชะงักไปทันที “เรื่องอะไร”
“บ่าวได้ยินอี้อี๋เหนียงบอกว่าเมื่อวานนี้ฮูหยินสามได้พูดถึงเสียนเจี่ยเอ๋อร์ไปเซ่นไหว้พระแม่ฝีดาษ ตั้งใจพาคุณชายน้อยใหญ่ไปเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ แต่ถูกสาวใช้ของคุณนายใหญ่สกุลกานขวางไว้ที่นอกประตู บอกว่าคุณนายใหญ่ต้องอยู่ดูแลเสียนเจี่ยเอ๋อร์ ไม่สะดวกรับแขก แต่กลับให้คนที่เดินตามหลังมาติดๆ เช่นคุณชายน้อยใหญ่ของเจิ้นหนานโหวสกุลหวังที่มาเยี่ยมไข้เข้าเรือนไป…ฮูหยินสามอับอายจนทนอยู่ต่อไม่ไหว จึงได้รีบกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”
บ้านคุณชายสามมักจะชอบวางมาดใหญ่เพื่อตบตาผู้อื่นเสมอ ฮูหยินห้าไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่กลับไปให้ความสนใจกับอีกเรื่อง “คุณชายน้อยใหญ่ของเจิ้นหนานโหวสกุลหวัง? หลานชายของพี่หญิงโจว?”
ป้าสือพยักหน้าพร้อมกับยิ้มขึ้นพลางตอบไปว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้าจึงยกแขนเสื้อขึ้นมาบังพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ