ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 184 ประทัด(ต้น)
หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงกับไท่ฮูหยินเรียบร้อยแล้ว ก็กลับไปยังที่พักของตน เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินตามสืออีเหนียงเข้าเรือนหลักด้วยความลังเลใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่านางเหมือนมีอะไรจะพูดกับตนอย่างไรอย่างนั้น ลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วกำลังปูที่นอนเพื่อให้สวีลิ่งอี๋ได้กลับมานอนพักยามบ่าย ส่วนนางกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปก็ยังห้องปีกทิศตะวันออก
“เป็นอะไรไป” นางยิ้มพร้อมกับถามเจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าอยากไปร่วมเทศกาลตรุษจีนเป็นเพื่อนป้าสะใภ้รองเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงรีบพูดขึ้นว่า “ป้าสะใภ้รองอยู่ที่ซีซานคนเดียว…ตรงนี้ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง น้องสามแล้วก็จุนเกอ…ข้าเองก็เป็นเด็กผู้หญิง…”
ความหมายก็คือ ที่เรือนคนเยอะ เพิ่มนางมาสักคนไม่ได้เยอะขึ้น ขาดนางไปหนึ่งคนก็ไม่น้อยลงแต่อย่างใด แต่ฮูหยินสองอยู่ตัวคนเดียว หากนางไปอยู่ด้วย ก็จะรู้สึกมีเพื่อนขึ้นมา
ดี!
ถือเป็นความคิดที่ดี
แต่อย่างไรเสีย นางก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของจวนสกุลสวี ไม่อยู่ร่วมส่งท้ายปีใหม่ เกรงว่าไท่ฮูหยินคงจะเป็นคนแรกที่จะไม่อนุญาต
มองดูเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่ทั้งเป็นคนเอาใจใส่และละเอียดอ่อน สืออีเหนียงจึงใจอ่อนยอมถอยไปหนึ่งก้าว
“ข้าจะบอกเรื่องนี้กับพ่อเจ้าให้ ดูว่าพ่อเจ้าจะว่าอย่างไร”
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ดีว่าสิ่งที่ตนขอไปนั้นมันมากเกินไป แต่เมื่อนึกถึงสีหน้าที่เยือกเย็นของป้าสะใภ้รองขึ้นมา เงาแผ่นหลังที่แสนจะโดดเดี่ยวเดียวดาย สุดท้ายนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดความในใจออกมา ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าสืออีเหนียงจะช่วยตนพูด นางจึงค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงมองรอยยิ้มพริ้มพรายของนางที่ราวกับฤดูใบไม้ผลิเดือนห้าก็ไม่ปาน นางรอบคอบและระมัดระวังเสมอมา คอยเป็นกังวลตลอดเวลาว่าน้ำเสียงที่ตนพูดออกไปนั้นจะสุภาพหรือไม่ หากเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่หรือ
“เจ้าอย่าพึ่งรีบดีใจไปเสียก่อน” นางรีบพูดตัดกำลังใจเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ยังไม่รู้ว่าพ่อเจ้าจะยอมรับปากหรือไม่”
แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่คิดเช่นนั้น นางยังคงยิ้มแย้มดังเช่นเดิม “ไม่ว่าจะรับปากหรือไม่ แต่ท่านแม่ก็ยอมช่วยข้าพูดกับท่านพ่อ”
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นเล็กน้อย
นางนึกไม่ถึงมาก่อนเลย ว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์จะเป็นเด็กที่รู้จักซาบซึ้งในน้ำใจขนาดนี้
เมื่อกลับไปถึงห้องแล้ว สวีลิ่งอี๋กำลังเอนตัวพิงหมอนอ่านหนังสืออยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เจินเจี่ยเอ๋อร์ไปหาเจ้า มีเรื่องอันใดหรือไม่”
เขาออกตัวถามนางก่อน ไม่มีโอกาสใดจะเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับบอกเล่าความตั้งใจของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…ฟังจากน้ำเสียงของพี่สะใภ้สาม ปีใหม่ก็จะสั่งคนไปส่งของให้กับพี่สะใภ้รอง หากว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ตามไปด้วย ไม่รู้ว่าพี่สะใภ้รองจะดีใจแค่ไหนกัน!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ประเดี๋ยวข้าจะไปปรึกษากับท่านแม่ดู”
เขายอมออกหน้าช่วย เรื่องนี้ก็ถือว่าง่ายขึ้นมากแล้ว
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ และถือโอกาสนี้ถามเรื่องฮูหยินสองขึ้นมา “…เหตุใดถึงไม่รับเลี้ยงหรือรับหลานมาเป็นบุตรบุญธรรมสักคน เช่นนี้จะสามารถช่วยคลี่คลายปมของจวนสอง อีกทั้งยังสามารถช่วยให้พี่สะใภ้รองไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายอีกด้วย”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ปรากฏแววตาเศร้าสลด ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้รองไม่ยินยอม ข้าเองก็ไม่สามารถไปบังคับได้” พูดจบเขาก็วางหนังสือลง จากนั้นก็เอนตัวลงนอน “ข้าจะนอนพักเสียหน่อย” ราวกับว่าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็พลิกตัวหันเข้าด้านในแล้วนอนหลับไป
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก พอนึกๆ ดูแล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขาเอง จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ นางช่วยเขาห่มผ้า จากนั้นก็ไปนอนพักที่ห้องปลายสุดทิศตะวันออกของเรือนหน่วนเก๋อ
ตอนที่ตื่นขึ้นมา สวีลิ่งอี๋ก็ไม่ได้อยู่ในเรือนแล้ว
“ท่านโหวเห็นว่าฮูหยินยังนอนอยู่ ก็เลยไปที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นแล้วเจ้าค่ะ” ลี่ว์อวิ๋นสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงพลางตอบกลับอย่างระมัดระวัง
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเวลาก็ไม่เช้าแล้ว จึงหันไปสั่งนางให้ย้ายโต๊ะปักผ้าไปที่เตียงเตาริมหน้าต่างของห้องชั้นใน “…ไม่คืบหน้าเลย”
“ปักอักษร ‘ปั้น’ เสร็จแล้ว” ลี่ว์อวิ๋นยิ้มพร้อมกับเข้าไปย้ายโต๊ะปักผ้า “ท่านงานล้นมือเหลือเกินนี่เจ้าคะ”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หู่พั่วก็เดินเข้ามาพอดี “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยมาเจ้าค่ะ”
นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว มาเวลานี้ เกรงว่าคงจะมีเรื่องเร่งด่วนกระมัง
สืออีเหนียงให้หู่พั่วรีบไปพานางเข้ามา
ครั้งนี้นางสวมชุดเป้ยจื่อผ้าถักสีดอกติงเซียงม่วงอ่อนๆ เส้นผมแววเงาเป็นระเบียบเรียบร้อย มองดูแล้วมีชีวิตชีวายิ่งนัก
นางย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะห่างกันมาก แต่ก็อยากจะมาคารวะฮูหยินเสียหน่อย พอมานึกดูแล้ว ช่วงนี้เกรงว่าฮูหยินคงจะยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมต้อนรับเหล่าบรรดาขุนนางและฮูหยินทั้งหลาย มารบกวนท่านในเวลานี้เกรงว่าจะไม่เหมาะควร ทุกคนจึงให้บ่าวออกหน้าแทน อยากให้ฮูหยินมอบอักษร ‘โชคดีมีสุข’ ให้พวกเราใช้ติดในจวนเพื่อเป็นสิริมงคลเสียหน่อย จะได้เสริมบารมีของท่านเองด้วยเจ้าค่ะ”
ช่างพูดเสียจริง
คนติดตามของนางในจวนมีเพียงว่านต้าเสี่ยนคนเดียวที่คอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้และคอยทำธุระให้ ถึงเวลาก็สามารถติดตามผู้ดูแลมาคารวะสวีลิ่งอี๋เนื่องในวันปีใหม่ได้ด้วย ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นคนไกล ถึงแม้ว่าจะรีบร้อนมาคารวะวันปีใหม่ก่อน มาผสมปนเปกันกับหญิงวัยกลางคนทั้งหลายที่เป็นผู้ลากมากดีของจวนสกุลสวีและจากเรือนอื่นๆ ก็จะกลายเป็นซอมซ่อและดูกระจอกไปโดยทันที หากมีแค่คนของจวนของสืออีเหนียงจวนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่สกุลสวีอยู่ด้วยกันตั้งหลายครอบครัว หากมีการเปรียบเทียบกันแล้ว จะต้องมีพวกแบ่งชนชั้นที่ชอบประจบประแจงเบื้องบนข่มเหงรังแกเบื้องล่างพูดจาไปเรื่อยอย่างแน่นอน มาสร้างความลำบากใจให้กับสืออีเหนียง สู้ไม่มาเสียยังดีกว่า
สืออีเหนียงไม่ได้กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะตน เพียงแค่รู้สึกว่าอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ เดินทางตั้งไกลเพื่อมาคารวะตน ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเป็นการระดมคนเสียมากกว่า ได้ยินสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็ได้ให้ลี่ว์อวิ๋นไปเอาพู่กันและหมึก ให้หงซิ่วไปนำกระดาษโรยทองสีแดงสดกว้างยาวราวสิบนิ้วไปเขียนที่ห้องปลายสุดทางทิศตะวันออกของเรือนหน่วนเก๋อ สืออีเหนียงเขียนอักษร ‘โชคดีมีสุข’ รวดเดียวเจ็ดถึงแปดตัวอักษร
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยที่อยู่ข้างๆ เอาแต่พูดคำว่า ‘ดี’ ไม่หยุดหย่อน หลังจากที่สืออีเหนียงเขียนเสร็จแล้ว ก็มองดูลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วนำพู่กันและกระดาษโรยทองไปตากให้แห้งที่ห้องโถง จากนั้นก็เข้าไปช่วยประคองสืออีเหนียงไปยังเตียงเตาใหญ่ที่ห้องปีกทิศตะวันตก
“…ฮูหยินอักษรนี้เขียนได้มีชีวิตชีวาและทรงพลังเป็นอย่างมาก สะใภ้ว่านอี้จงเห็นแล้วคงจะทั้งทอดถอนใจและคร่ำครวญอย่างแน่นอน” นางพูดจาอย่างระมัดระวังพร้อมกับสังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงไปด้วย ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านไม่รู้ ว่าหลังจากสะใภ้ว่านอี้จงทราบเรื่องที่ท่านมีเจตนาจะให้คนใช้คนสนิทของท่านแต่งงานกับบุตรชายของนาง ก็เอาแต่วิ่งมาหาบ่าวทุกวัน หากไม่ชวนคุยเรื่องซี่โครงหมูก็ชวนคุยถึงเรื่องเครื่องในหมูแทน ทำเอาบ่าวกลั้นขำแทบไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ”
นางคงกำลังหยั่งเชิงตนอยู่กระมัง!
สืออีเหนียงเอาแต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไรออกมา และได้ชวนนางคุยเรื่องอื่นแทน
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยถือว่าข่มอารมณ์ไว้ได้ดี นางสามารถพูดคุยไปตามเจตนาและอารมณ์ของสืออีเหนียงได้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องว่านอี้จงอีก
สืออีเหนียงมองแล้วก็แอบพยักหน้าเบาๆ จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเกี่ยวกับเรื่องหลักทำนองคลองธรรมแทน จนไปถึงเรื่องผู้ดูแลหลักของตระกูล
เมื่อหลิวหยวนรุ่ยได้สืบความเรื่องนี้มาอย่างชัดเจนตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าผู้ดูแลหลักของจวนสกุลสวีนั้นเป็นฮูหยินสาม บางคนคิดว่าไม่ช้าก็เร็ว วันข้างหน้าสืออีเหนียงก็จะต้องรับตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักของตระกูลอยู่ดี แต่หนึ่งนั้นเพราะนางอายุยังน้อย สองคือคนในจวนนั้นค่อนข้างมาก แต่ตนไม่ได้เป็นคนติดตามของสืออีเหนียงเสียหน่อย วันข้างหน้าหากจะหาคนช่วยทำธุระที่ดีๆ หน่อย ก็คงจะไม่ตกมาถึงตัวเองอย่างแน่นอน สู้ฉวยโอกาสที่ฮูหยินสามกำลังจะเปลี่ยนตำแหน่งครั้งนี้ หาจุดยืนสักที่ให้กับตนเอง หลังจากที่สืออีเหนียงได้ขึ้นเป็นผู้ดูแลหลักแล้ว คงจะไม่เปลี่ยนคนทั้งหมดหรอกกระมัง ไม่แน่บางทีตนอาจจะโชคดีได้ตำแหน่งที่มั่นคงสักตำแหน่งก็เป็นได้
ในตอนแรกนางคิดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นตน เกรงว่าคงจะทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่หลังจากที่สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ทำความรู้จักและได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับสืออีเหนียงแล้ว ก็เปลี่ยนความคิดไปในทันที
ฮูหยินทั้งสี่อายุยังน้อย แต่จิตใจนั้นไม่ได้น้อยแล้ว ไม่ว่าทำอะไรก็สุขุมหนักแน่น แม้ว่านางจะอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำเช่นนั้นได้ และก็ยังได้ยินมาว่าที่นางแต่งงานเข้าจวนก็เพราะไท่ฮูหยินชื่นชอบ แม้แต่ท่านโหวก็คอยเกรงใจและให้เกียรตินางเสมอ จึงรีบเปลี่ยนการกระทำจากเดิมทีที่ไม่ให้ความสนใจและความเคารพ ไปเป็นประจบประแจงทวีคูณขึ้นมา
เห็นสืออีเหนียงถามตนเกี่ยวกับเรื่องที่เรือนขึ้นมา ก็คิดเอาว่าสืออีเหนียงนั้นกำลังเตรียมตัวจะขึ้นเป็นเจ้าของจวนในภายภาคหน้า จึงไม่กล้าสะเพร่าประมาท เล่าทุกอย่างที่นางรู้ออกมาจนหมด สิ่งที่ไม่รู้ก็พยายามเล่าทุกอย่างที่เคยได้ยินมาทั้งหมด น้ำเสียงคำพูดคำจาค่อนข้างกระตือรือร้น นางเล่าด้วยความตื่นเต้นและเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงสังเกตเห็นว่าสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยนั้นไม่เพียงแต่ฉลาดหัวไวไหวพริบดี นางยังเป็นคนพูดจาไพเราะน่าฟังและไม่โอ้อวดคุยโต มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก นางเป็นคนฟังมากแต่พูดถามน้อย
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “พ่อบ้านไป๋ให้คนมาส่งม่านเก๋อปู้เจ้าค่ะ”
เร็วขนาดนี้เชียวหรือ
สืออีเหนียงงุนงงเป็นอย่างมาก จึงให้ลี่ว์อวิ๋นรีบไปรับมา
หลิวหยวนรุ่ยรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที และได้ไปดูม่านมุ้งของเตียงเป็นเพื่อนสืออีเหนียง
นำมาห้าหลังในคราวเดียว สองหลังเป็นลายเรียบง่ายธรรมดา หลังหนึ่งปักลายต้นหญ้าและแมลง หลังหนึ่งปักลายบุปผา ส่วนอีกหลังนั้นปักลายสัญลักษณ์ ‘มงคลห้าประการ’ ฝีเข็มการปักเย็บละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลายธรรมดา ดูพลิ้วไหวและนุ่มนวลดุจควันไฟ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เนื้อผ้าธรรมดาทั่วไป สืออีเหนียงรู้สึกชื่นชอบเป็นอย่างมาก
“พ่อบ้านไป๋บอกว่าหากฮูหยินไม่ถูกใจ ก็ให้บอกกล่าว จะได้ให้กรมราชกิจภายในของวังช่วยตัดเย็บให้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว” นานๆ ครั้งไม่เป็นไรหรอก แต่หากไปรบกวนกรมราชกิจภายในเสียทุกครั้ง ก็ไม่เหมาะควรเท่าไรนัก “เช่นนี้ดีมากแล้ว”
สาวใช้จึงได้กลับไปแจ้งกับพ่อบ้านไป๋ว่าสืออีเหนียงนั้นเลือกหลังที่มีลายปักเรียบง่าย จากนั้นก็ให้หู่พั่วเปลี่ยนม่านมุ้งสีแดงสดหลังเดิมเป็นม่านเตียงหลังใหม่
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็อึ้งจนตาค้าง
นางครุ่นคิดในใจ มิน่าเล่า ทุกครั้งที่จวนสกุลหลัวพูดถึงจวนสกุลสวี ก็มักจะเผยให้เห็นถึงสีหน้าที่อิจฉาริษยาเสมอ
นางยิ้มพร้อมกับรีบเข้าไปช่วย กล้าที่จะช่วยเปลี่ยนม่านมุ้งสีแดงสด แต่ไม่กล้าที่จะช่วยกางมุ้งหลังใหม่ลายเรียบง่ายที่ละเอียดอ่อนผืนนั้น
ยังไม่ทันที่จะเปลี่ยนเสร็จ หงซิ่วก็ได้นำอักษร ‘โชคดีมีสุข’ ที่หมึกแห้งแล้วเข้ามา จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่าอี๋เหนียงทั้งสามมาถึงแล้ว
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยที่ค่อนข้างฉลาดและหัวไว นางรีบเข้าไปรับกระดาษที่เขียนอักษร ‘โชคดีมีสุข’ กล่าวขอบคุณสืออีเหนียง จากนั้นก็มีสาวใช้นำทางพานางออกไป
สืออีเหนียงไปยังเตียงเตาห้องปีกทางทิศตะวันออก อี๋เหนียงทั้งสามนั่งลงล้อมรอบเตียงเตา หลังจากสาวใช้ชงชาเข้ามาให้เรียบร้อยแล้ว สืออีเหนียงก็ได้ให้หู่พั่วไปนำหนังสือรายการสิ่งของที่จะมอบให้ทั้งสี่เรือนมาอ่านให้อี๋เหนียงทั้งสามฟัง
ฉินอี๋เหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก เหวินอี๋เหนียงเองก็เริ่มตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เหมือนกับว่าเข้าใจขึ้นมา ส่วนเฉียวเหลียนฝังนั่งจิบชาอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับนางใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อหู่พั่วอ่านจบแล้ว เหวินอี๋เหนียงก็รีบพูดขึ้นทันทีว่า “พี่หญิง ท่านเป็นนายหญิงใหญ่ของจวนหลังนี้ แน่นอนว่าเรื่องในจวนต้องถือคำพูดท่านเป็นหลัก ไหนเลยจะต้องมาถึงพวกข้า ช่วยออกความคิดเห็นกัน!”
ฉินอี๋เหนียงไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของสืออีเหนียง แต่นางเข้าใจความหมายคำพูดของเหวินอี๋เหนียง จึงรีบพูดตามหลังว่า “ฮูหยิน ข้ากับเหวินอี๋เหนียงคิดเห็นตรงกัน แต่ล้วนฟังท่านเจ้าค่ะ”
เฉียวอี๋เหนียงได้ยินแล้วกลับหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ
สิ่งที่กองกลางแบ่งมาให้ก็เป็นเพียงแค่เงิน ขนม และของกินในปีใหม่ ไม่ใช่การแบ่งปันผลประโยชน์กำไรของการค้าอะไรเสียหน่อย แน่นอนว่าสืออีเหนียงคงจะไม่มาแสดงความใจกว้างใจใหญ่อยู่แล้ว
สืออีเหนียงเห็นว่าเฉียวเหลียนฝังไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไร และก็ไม่ได้สนใจตนด้วย นางจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทุกคนได้อยู่ร่วมกันถือเป็นบุญวาสนา ข้าเองก็ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด ของไม่ได้มากมาย แต่ละเรือนก็แบ่งตามจำนวนคนให้ทั่วถึง ฉลองปีใหม่ดีๆ ก็ถือว่าเป็นเจตนาของข้า” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “หากพวกเจ้ารู้สึกว่าของมันน้อยไป ข้าเองก็ไม่สามารถเพิ่มให้มากกว่านี้ได้”
“จะรู้สึกน้อยได้อย่างไร!” ฉินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยความเก้อเขินว่า “ปีนี้ยังมากกว่าปีที่แล้วตั้งสองร้อยตำลึงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงใจเต้นแรงขึ้นมา นางเก็บอาการพร้อมกับยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็ดี!” จากนั้นก็มอบหนังสือรายการที่จะต้องแบ่งของให้กับสวีซื่ออวี้ เจินเจี่ยเอ๋อร์ จุนเกอและอี๋เหนียงทั้งสามให้กับทุกคน “อีกประเดี๋ยวทุกคนก็ให้สาวใช้ที่ดูแลกุญแจของแต่ละคนมาเอาของกับหู่พั่วก็แล้วกัน!”
ฉินอี๋เหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ” เหวินอี๋เหนียงยิ้มพร้อมกับกล่าวขอบคุณสืออีเหนียง ราวกับว่าสืออีเหนียงได้ให้ของมีค่าแก่พวกนางอย่างไรอย่างนั้น ดูดีใจและกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ส่วนเฉียวอี๋เหนียง นางเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าที่เย็นชา
สืออีเหนียงก็เริ่มพูดถึงเรื่องหน้าที่ของเวรยามที่คอยดูแลขึ้นมา “…ฟังจากน้ำเสียงของท่านโหว ปีใหม่นี้อาจจะจุดพลุ เมื่อถึงเวลาที่เรือนก็จะมีแขกเหรื่อมาร่วมงาน มีละครงิ้ว พวกเจ้าแต่ละจวนต้องจัดการแบ่งหน้าที่ดูแลของเวรยามให้ดี จะได้ไม่ต้องเกิดปัญหาเรื่องลักเล็กขโมยน้อยของคนนอก หรือมีคนไปชนข้าวของล้มเข้า ทำให้เกิดไฟไหม้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เขียนรายชื่อของเวรยามทั้งหมดที่ดูแลทั้งกลางวันและกลางคืนของทุกวันมาให้หู่พั่วด้วย”
ทั้งสามอึ้งไปตามๆ กัน