ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 180 งานเลี้ยง(ปลาย)
คุณนายใหญ่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หากเป็นเรื่องธรรมดา สืออีเหนียงก็ไม่อยากทำให้ใครลำบากใจ แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของอี๋เหนียงหก สืออีเหนียงไม่ถามไม่ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเห็นข้าราวกับน้องสาวแท้ๆ” นางใช้ความสัมพันธ์มาโน้มน้าวใจ “ข้ามีเรื่องอะไรก็มาปรึกษาท่านทุกเรื่อง ท่านมีอะไรที่พูดไม่ได้เจ้าคะ!”
คุณนายใหญ่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “บอกตามตรง อาการป่วยที่แย่ลงของท่านแม่ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะเรื่องอะไร”
สืออีเหนียงมองคุณนายใหญ่ด้วยสีหน้าที่ตกใจ
คุณนายใหญ่ยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านพ่อมาถึงเมื่อคืนก่อน คนที่จวนก็เยอะขึ้นทันที เยอะจนไม่มีเรือนให้อยู่แล้ว ตอนนั้นท่านแม่ไม่ค่อยพอใจ แต่เห็นว่าท่านพ่อชอบอกชอบใจ บอกว่าท่านแม่ไม่สบาย กลัวว่าจะไม่มีใครคอยดูแล น้องสะใภ้สี่ก็พึ่งแต่งเข้ามา ดังนั้นจึงพาพวกนางมาก้มหัวให้ท่านแม่ที่เยี่ยนจิง มาเยี่ยมท่านแม่ ตอนนั้นท่านแม่พูดอะไรไม่ได้ ฝืนดื่มชาที่น้องสะใภ้สี่นำมาให้ เมื่อถึงตอนที่แบ่งเรือนกัน ความหมายของท่านแม่ก็คือ คุณชายสี่และคุณนายสี่อาศัยอยู่ที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกเหมือนเดิม อี๋เหนียงสองสามท่านและสือเอ้อร์เหนียงอยู่ที่เรือนหลัง ใครจะรู้ว่าน้องสะใภ้สี่กลับบอกว่า ลูกสะใภ้ที่ไหนกันอยู่กับท่านพ่อท่านแม่สามี จึงให้บรรดาอี๋เหนียงและคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนไปอยู่ที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกด้วยกัน ส่วนตัวเองเสนอตัวย้ายไปอยู่เรือนหลังกับคุณชายสี่ ท่านแม่คิดว่าน้องสะใภ้สี่พึ่งเข้ามาก็มาต่อปากต่อคำกับแม่สามี ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา ตำหนินางไปสองสามประโยค ถึงแม้ว่านางจะยอมรับผิดแล้ว แต่ก็ยังยืนกรานที่จะย้ายไปเรือนหลัง แต่ท่านพ่อกลับคิดว่าที่น้องสะใภ้สี่พูดมีเหตุผล เขาพยักหน้าเห็นด้วยทันที ตอนนั้นท่านแม่โมโหจนตัวสั่น…” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “ก็เพราะว่าข้าไม่ได้สังเกต หากตอนนั้นข้าสังเกตเห็น มันคงไม่มีเรื่องต่อมา ท่านแม่ก็คงไม่…”
สืออีเหนียงตกใจ
ดูแล้วคุณนายสี่สกุลโจวไม่ใช่คนโง่เขลา เหตุใดนางถึงได้โต้ตอบนายหญิงใหญ่ ไม่ยอมอ่อนข้อเลยสักนิด
หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าแย่งชิง?
นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ต่อมาเกิดอะไรขึ้นเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่พูด “เห็นว่าท่านแม่ไม่พอใจ ป้าสวี่ก็รีบเกลี้ยกล่อมท่านแม่ แต่ท่านแม่กลับถามว่าต่อไปท่านคุณชายสี่มีแผนอะไร แล้วยังบอกว่า ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว จะเอาแต่หยิบป้ายคู่ไปเบิกเงินที่ห้องบัญชีเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ต่อไปต้องทำตามกฎเกณฑ์ของสกุล ไม่ย้ายออกไปอยู่คนเดียว กินอยู่กับส่วนกลาง เงินเดือนก็ปีละยี่สิบตำลึงเงิน แล้วยังบอกว่า อย่างน้อยคุณชายสี่ก็โตมากับนาง แล้วยังเป็นคนเก่ง จู่ๆ ก็ให้เขาให้ชีวิตลำบากเช่นนี้ มันคงทำให้เขาลำบากใจ จึงให้เงินเดือนเขาปีละห้าสิบตำลึงเงิน อีกสามสิบตำลึงเงินหักจากเงินของท่านแม่”
นายหญิงใหญ่จะควบคุมหลัวเจิ้นเซิงจากทางเศรษฐกิจ
วิธีนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!
เท่ากับบีบคอของหลัวเจิ้นเซิงไว้โดยตรง
“คุณชายสี่และน้องสะใภ้สี่ได้ยินเช่นนี้ก็ขอบพระคุณท่านแม่ คุณชายสี่ยังบอกว่า ใต้เท้าโจวมีสหายสกุลเซี่ย รับตำแหน่งนายอำเภออยู่ที่มณฑลซั่งหยวน อยากได้คนทำงานในห้องบัญชีสักคนหนึ่ง ใต้เท้าโจวจึงแนะนำมา ให้คุณชายสี่ลองไปพูดคุย…”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกๆ
ดูไม่ออกว่าสกุลโจวจะมีความสามารถเช่นนี้ ไม่แปลกที่กล้ายื่นกรานจะไปอยู่เรือนหลัง
“…ตอนนั้นสีหน้าของทานแม่ไม่ค่อยดี นางถามคุณชายสี่ว่า ‘เชิญอาจารย์มาสอนหนังสือคุณชายสี่ตั้งแต่เด็ก ก็เพื่อที่จะให้เขาไปเป็นผู้ดูแลบัญชีเช่นนั้นหรือ’ คุณชายสี่ตกใจจนหน้าซีด จากนั้นก็มองไปที่คุณนายสี่ คุณนายสี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปพูดว่า ตอนนี้คุณชายสี่มีครอบครัวแล้ว จะเอาแต่เล่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ต้องทำเรื่องอะไรที่จริงจังเสียบ้าง อาชีพและการเงินไม่แยกจากกัน ถึงแม้ว่าผู้ดูแลบัญชีจะไม่ใช้ตำแหน่งที่สูงส่งอะไร แต่สามารถออกไปเรียนรู้กับใต้เท้าเซี่ยได้ ไปเรียนรู้ว่าคนอื่นทำงานเช่นไร เป็นเรื่องที่ดีต่อคุณชายสี่ เพราะว่าคุณชายสี่ยังเด็ก ออกไปหาประสบการณ์ข้านอกสักสองสามปี ไปหาความรู้ แล้วค่อยกลับมาตั้งใจเรียน บางทีมันอาจจะดีกว่าการที่เอาแต่เรียนหนังสืออยู่ที่จวนเช่นนี้”
“แล้วพี่สี่ว่าเช่นไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงรีบพูด
ลูกสะใภ้กับแม่สามีโต้ตอบกัน คนสำคัญคือสามี หากสามียืนหยัดที่จะยืนอยู่เคียงข้างลูกสะใภ้ แม่สามีก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หลัวเจิ้นเซิงเป็นคนที่เห็นนายหญิงใหญ่ก็ขาอ่อน…
“ไม่รู้ว่าอะไรดลใจคุณชายสี่” คุณนายใหญ่พูดอย่างเอือมระอา “ได้ยินน้องสะใภ้สี่พูดเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าซ้ำๆ บอกว่า เมื่อก่อนไม่รู้ว่าท่านแม่ลำบากเช่นไร ตอนนี้เขามีครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีหน้ามีตาอะไร แต่ก็จะทำให้สกุลหลัวเสียหน้าไม่ได้ ใต้เท้าเซี่ยคนนั้นก็บอกแล้วว่า ไปเป็นผู้ดูแลบัญชีก่อน หากทำได้ดี ต่อไปก็สามารถเป็นผู้ดูแลบัญชีของเหล่าขุนนาง แล้วยังพูดอีกว่า เพราะว่าต่อไปหากพี่ใหญ่เป็นขุนนางก็ต้องมีผู้ดูแลบัญชีส่วนตัว ถึงตอนนั้นเขากลับมาช่วยงานพี่ใหญ่ก็เหมือนกัน
สีหน้าของท่านแม่ย่ำแย่ แต่ท่านพ่อกลับบอกว่าดี บอกว่า คิดไม่ถึงว่าน้องสะใภ้สี่แต่งเข้ามา คุณชายสี่ก็รู้ความทันที แล้วยังชื่นชมน้องสะใภ้สี่
ท่านแม่จึงถามว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมถึงพึ่งมาบอกตอนนี้ ปล่อยให้นางกังวลอยู่ตั้งหลายวัน!
ท่านพ่อมองไปที่คุณชายสี่ คุณชายสี่มองไปที่น้องสะใภ้สี่ น้องสะใภ้สี่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า เพราะว่ายังไม่ได้ปรึกษาท่านแม่ ดังนั้นทางใต้เท้าเซี่ยก็ยังไม่ได้ตกลง แล้วยังบอกว่า ตอนที่นางอยู่ที่สกุลเดิมก็เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านแม่ บอกว่าท่านพ่อเป็นขุนนางอยู่ข้างนอก ท่านแม่ดูแลนายท่าน เลี้ยงดูลูกๆ จัดการเรื่องของสกุลได้เป็นอย่างดี เป็นสตรีที่มีความสามารถของอวี๋หัง เมื่อนางแต่งเข้ามา ท่านแม่ของนางก็เคยบอกว่า มีเรื่องอันใดก็ต้องปรึกษากับแม่สามี ดังนั้นจึงยังไม่ได้ตัดสินใจ กะว่ามาหาท่านแม่แล้วค่อยบอกท่านแม่ แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ท่านแม่ก็ถามว่าต่อไปคุณชายสี่วางแผนจะทำอะไร คุณชายสี่จึงพูดออกมา…จากนั้นก็ให้คุณชายสี่คุกเข่าลงขอโทษท่านพ่อ บอกว่า ขอโทษท่านพ่อไม่ใช่ขอโทษท่านแม่”
สืออีเหนียงสามารถจินตนาการถึงภาพตอนนั้นได้
ถึงแม้ว่านายท่านใหญ่จะไม่ชอบหลัวเจิ้นเซิงมากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นบุตรของตัวเอง ตอนนี้บุตรชายรู้จักที่จะพัฒนาตัวเองแล้ว เกรงว่าเขาคงจะดีใจมาก
“ท่านพ่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็ประคองคุณชายสี่ลุกขึ้นอย่างดีใจ บอกว่าคุณชายสี่คิดได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว รู้จักสร้างเนื้อสร้างตัว ฝากขอบคุณใต้เท้าเซี่ย ให้ตั้งใจเรียนรู้ ส่วนเรื่องเงิน บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นอกเงินของส่วนกลางยี่สิบตำลึงเงิน บวกกับเงินของท่านแม่อีกสามสิบตำลึงเงิน ท่านพ่อก็จะหักจากเงินของตัวเองอีกปีละสองร้อยตำลึงเงิน”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้า
นางคิดว่าตัวเองวางแผนเป็นแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า ยังมีคนที่มีวางแผนเป็นมากกว่าตัวเองอยู่ตรงหน้า…
“แล้วท่านพ่อยังถามพี่ใหญ่ของเจ้าว่า ‘เจ้าไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่’ แต่เจ้าก็รู้นิสัยพี่ใหญ่ของเจ้า เขามักจะหวังดีกับทุกคนในครอบครัวเสมอ ไม่เพียงแต่บอกว่าไม่ว่าอะไร แล้วยังบอกว่า เขาเองก็จะนำเงินให้คุณชายสี่ปีละยี่สิบตำลึงเงินเช่นกัน บอกให้คุณชายสี่ตั้งใจเล่าเรียน สอบจู่เหรินและบัณฑิตชั้นสูง เหมือนกับท่านพ่อและท่านอา ไปเป็นขุนนางด้วยกัน เป็นหน้าเป็นตาให้สกุล
แต่ใครจะไปรู้ พี่ใหญ่ของเจ้าพึ่งจะพูดจบ ท่านแม่ก็…อาการทรุดลงทันที”
สืออีเหนียงไม่รู้จะพูดอะไร
ปกตินายหญิงใหญ่ก็เป็นมิตรกับบรรดาอี๋เหนียงและบุตรอนุ แต่ในใจของนางไม่เคยพอใจ ตอนนี้นางป่วยอยู่บนเตียง นางอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แล้วยังมีคนมาจากอวี๋หัง ต่อมาก็นายท่านใหญ่สนับสนุนสกุลโจว บวกกับท่าทีของหลัวเจิ้นซิ่ง เชือกในหัวใจของนายหญิงใหญ่ก็ขาดไปในที่สุด…
*****
ฤดูหนาวมืดเร็ว อาหารเย็นของสกุลหลัวจึงจัดตอนยามเซิน ยามโหย่วทุกคนก็ขอตัวลาแล้วแยกย้ายกันกลับจวน
อี๋เหนียงหกพาอี๋เหนียงห้ามาส่งสืออีเหนียง
แต่คุณนายใหญ่กลับเอาแต่พูดคุยกับซื่อเหนียง นางจงใจหลีกเลี่ยง
อี๋เหนียงห้าเห็นว่าคนรอบๆ ไม่สนใจนาง นางก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร นึกถึงเมื่อก่อน…นางอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอเบ้า
เช่นนี้ ก็ถือว่าอดทนมาจนได้ดีแล้วใช่หรือไม่
สืออีเหนียงมองดูอี๋เหนียงห้าที่ไม่พูดไม่จาแต่กลับมีสีหน้าซาบซึ้ง นางก็น้ำตาคลอเบ้า พูดเบาๆ “ข้าสบายดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่เยี่ยนจิง แต่ท่านก็ทำตัวเหมือนอยู่ที่อวี๋หังก็ได้”
อี๋เหนียงห้าคิดว่าบุตรสาวของตัวเองเป็นห่วงว่านางไม่คุ้นเคย นางจึงรีบพูดว่า “นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่และคุณนายใหญ่ดีกับข้าทุกคน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
นางตอบกลับมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าสืออีเหนียงจะมีสิ่งที่อยากพูดเป็นพันคำ แต่นางก็พูดไม่ออก
พวกนางมองหน้ากันเงียบๆ
นิสัยกำหนดชะตาชีวิต อี๋เหนียงห้าเป็นคนอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะหน้าตางดงาม แต่ไม่มีใครเห็นนางเป็นศัตรู…หรือดูถูก จะว่าไปแล้ว นี่ก็เป็นวาสนาอีกอย่างหนึ่ง!
สืออีเหนียงยิ้มอย่างโล่งใจ นางย่อเขาคำนับอี๋เหนียงห้า “เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ”
“ขอบพระคุณไท่ฮูหยินแทนข้าด้วย”
ไท่ฮูหยินนำรังนกมาให้อี๋เหนียงห้า
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงห้าส่งนางขึ้นรถม้า
เมื่อรถม้ากำลังจะเคลื่อนตัวออก นางก็เดินเข้าไป “เดี๋ยวก่อน”
สืออีเหนียงเปิดม่าน “อี๋เหนียงมีอะไรหรือเจ้าคะ”
อี๋เหนียงห้ากัดริมฝีปาก มองสืออีเหนียงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
สืออีเหนียงไล่ท่านป้าที่ตามมาและคนขับรถม้าออกไป จากนั้นก็ยื่นหน้าออกไป
อี๋เหนียงห้าพูดเบาๆ “เจ้าอย่าตั้งครรภ์เร็วขนาดนั้น…ดูแลสุขภาพให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ทันใดนั้น สืออีเหนียงก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
มีแค่ลูกสะใภ้ที่คลอดบุตรชายเท่านั้นที่สามารถยืนอยู่ในสกุลของสามีได้ แต่ในวัยของนาง การคลอดบุตรไม่ใช่เรื่องง่าย ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ในฐานะแม่ นางเป็นห่วงชีวิตของบุตรสาวมากกว่า
นางยิ้มแล้วพยักหน้า แต่น้ำตากลับหลั่งไหลออกมาราวกับไข่มุก
ราวกับว่ายกก้อนหินออกจากอก สีหน้าของอี๋เหนียงห้าผ่อนคลายลง นางยิ้มแล้วโบกมือให้สืออีเหนียง “รีบกลับไปเถิด ต้องเชื่อฟังไท่ฮูหยิน เชื่อฟังท่านโหว”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วปิดม่านลง
รถม้าก็แล่นออกไปจากตรอกกงเสียนอย่างรวดเร็ว
*****
เจินเจี่ยเอ๋อร์นำของขวัญที่ได้จากสกุลหลัวให้ไท่ฮูหยินดู
“…นี่คือของขวัญจากท่านป้าสี่ที่พึ่งแต่งเข้ามาเจ้าค่ะ นี่คือของขวัญจากอี๋เหนียงห้า นี่คือของขวัญจากท่านป้าสาม!”
ไท่ฮูหยินมองดูหยกที่อี๋เหนียงห้าให้มา นางยิ้มแล้วพูดหยอกล้อกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “โต๊ะเครื่องแป้งของเจินเจี่ยเอ๋อร์มีของเพิ่มอีกแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ปิดปากยิ้ม
ไท่ฮูหยินแกะผ้าสองผืนออก
ผืนหนึ่งปักด้วยรูปแมวน้อยเล่นบอล อีกผืนหนึ่งคือเทพธิดาหม่ากู่
ป้าตู้รีบยื่นแว่นให้นาง
ไท่ฮูหยินมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “ท่านป้าคนใหม่นี้ช่างมีฝีมือเสียจริง”
สืออีเหนียงนึกถึงเรื่องที่นางโต้ตอบนายหญิงใหญ่ นางอดหัวเราะไม่ได้ “นางเป็นคนมีความสามารถเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ให้ดี “คนที่มีความสามารถมักจะคล่องแคล่ว นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ป้าตู้ของพวกเจ้ายังเป็นเด็กน้อย นางตัดกระดาษเก่งมาก ข้าเห็นว่านางมีฝีมือ จึงให้นางอยู่กับข้า…” นางพูดถึงเรื่องในอดีต
ป้าตู้ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ฮูหยินสี่ของเราก็มีฝีมือ บอกให้ข้าสอนตัดกระดาษ ข้าพึ่งจะสอนได้นิดเดียว นางก็รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไรต่อ จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่กับท่านไม่มีใครไม่มีฝีมือเจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังชื่นชมลูกสะใภ้ของข้าหรือชื่นชมตัวเองกันแน่” ไท่ฮูหยินหัวเราะ ทุกคนในห้องก็ต่างพากันหัวเราะตาม บรรยากาศในห้องพลันครึกครื้น
ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียง “ของที่เจ้าบอกให้กรมราชกิจภายในทำนั่นคืออะไร ข้าดูแล้วจะว่าเหมือนกระดานหมากรุกก็ไม่ใช่ เหมือนเก้าอี้ก็ไม่เชิง…”