ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 178 งานเลี้ยง(ต้น)
เห็นสืออีเหนียงหันมามองตัวเอง นายหญิงใหญ่ก็เบะปากแล้วกระแอมใส่นาง
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าอาการของนายหญิงใหญ่จะแย่ลงขนาดนี้ แย่ลงจนพูดไม่ได้…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจะต้องจัดงานเลี้ยงใหญ่โตขนาดนี้ มาแค่สองสามคนก็พอแล้วไม่ใช่หรือ
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางเดินเข้าไปย่อเข่าคำนับแล้วเอ่ยเรียก “ท่านแม่
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปเรียก “ท่านยาย” อย่างรู้ความ
แต่นายหญิงใหญ่ไม่มองเจินเจี่ยเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย นางเอาแต่จ้องมองสืออีเหนียง
ป้าสวี่ที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูด “คุณนายสิบเอ็ด นายหญิงใหญ่มีเรื่องจะพูดกับท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเดินเข้าไป
นายหญิงใหญ่มองหน้านาง ใบหน้าของนางแดงก่ำ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดบางอย่างออกมา แต่ว่านางฟังไม่เข้าใจ นางจึงมองไปที่ป้าสวี่
ป้าสวี่อธิบาย “นายหญิงใหญ่ถามเรื่องที่ท่านโหวลาออกจากตำแหน่งเจ้าค่ะ”
เป็นห่วงจุนเกอเช่นกระมัง
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ท่านโหวเป็นโรคข้อเท้าอักเสบ ปีนี้อากาศหนาว ต้องไปราชสำนักเช้าทุกวัน เขาลำบากมากจริงๆ เจ้าค่ะ จึงขอลาออก ไม่ใช่เพราะเรื่องอันใด ฮ่องเต้ก็ทรงพยายามรั้งเขาไว้”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้สายตาของนางก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก สายตาของนายหญิงใหญ่พลันกระด้างขึ้นมาอีกครั้ง นางพึมพำบางอย่าง
สืออีเหนียงก็หันไปหาป้าสวี่อีกครั้ง
ป้าสวี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ นางเอาหูเข้าไปใกล้ๆ นายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่พึมพำสองสามประโยค
ป้าสวี่พยักหน้า ยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียง “นายหญิงใหญ่บอกว่า อย่าให้ท่านโหวหุนหันพลันแล่น จุนเกอยังเด็กอยู่เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า รู้สึกว่าพูดเรื่องนี้ตอนนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร ในห้องเต็มไปด้วยผู้คน ใครจะรู้ว่าพูดออกไปแล้วมันจะกลายเป็นเช่นไร นางจึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ไท่ฮูหยินรู้ว่าข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่จึงบอกให้ข้านำโสมมาให้ท่านบำรุงร่างกาย ท่านโหวก็บอกให้คนนำเตรียมสมุนไพรพวกเง็กเต็ก เถียนชีและตังกุยมาให้ท่านด้วยเจ้าค่ะ ทุกคนล้วนแต่รอให้ท่านกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเร็วๆ!”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเบาๆ
ซื่อเหนียงเห็นว่าพวกนางพูดคุยกันเสร็จแล้ว นางก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปคำนับนายหญิงใหญ่ “ครั้งก่อนน้องเขยเจ็ดนำเออร์เจียวจากซานตงมาให้ท่าน ท่านทานแล้วหรือยังเจ้าค่ะ ให้เขานำมาอีกดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มอย่างแข็งกระด้าง
ป้าสวี่ที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วตอบแทน “รบกวนคุณนายสี่บอกท่านเขยเจ็ดว่า นายหญิงใหญ่รู้สึกขอบคุณเขาเป็นอย่างมาก เออร์เจียวดีมากเจ้าค่ะ แต่ที่นำมาครั้งก่อนยังทานไม่หมด หากท่านเขยเจ็ดและคุณนายเจ็ดมีเวลาก็แวะมาที่เยี่ยนจิง มานั่งเล่นที่จวนสักหน่อยคงจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ได้เจ้าค่ะ” ซื่อเหนียงยิ้มแล้วพูดคุยกับนายหญิงใหญ่สองสามประโยค
อี๋เหนียงหกยิ้มแล้วลากหญิงสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ามา “คุณนายทั้งสองคนยังไม่เคยเจอนางใช่หรือไม่ นี่คือคุณนายสี่ที่พึ่งแต่งเข้ามาสกุลเรา”
สืออีเหนียงและซื่อเหนียงมองไปที่หญิงผู้นั้น
บอกว่าอายุยี่สิบปี แต่มองดูแล้วอายุเยอะกว่าความจริงตั้งสามสี่ปี รูปร่างปานกลาง ผิวไม่ขาวมากแต่ก็ไม่ถือว่าดำ ใบหน้าทรงเหลี่ยม คิ้วยาว ดวงตาของนางสดใสเป็นประกาย ดูแล้วมีพลังและสงบเสงี่ยม ม้วนผมมวยดอกโบตั๋น สวมเครื่องประดับไข่มุกและดอกไม้ไหมสีเหลืองสองดอก
เห็นว่าอี๋เหนียงหกแนะนำนาง นางก็ย่อเข่าคำนับพวกนางสองคนอย่างเป็นมิตร “ข้าสกุลโจว คารวะคุณนายทั้งสองท่านเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงและซื่อเหนียงคำนับกลับ ซื่อเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสี่ของเราช่างมีวาสนา แต่งงานกับภรรยาที่มีความสามารถเช่นนี้” จากนั้นก็หยิบต่างหูออกมาคู่หนึ่ง สืออีเหนียงหยิบไข่มุกหนานจูที่ไท่ฮูหยินมอบให้กับของขวัญที่ตัวเองเตรียมมาออกมา มันคือกำไลคู่หนึ่ง
คุณนายสี่ไม่ได้ทำสีหน้าดีใจเมื่อเห็นไข่มุกหนานจูของไท่ฮูหยิน แล้วก็ไม่ได้ทำสีหน้าเสียใจเมื่อเห็นต่างหูของซื่อเหนียงง นางรับมา ยิ้มแล้วเอ่ยขอบคุณพวกนางทั้งสอง จากนั้นก็หยิบรองเท้าออกมามอบให้พวกนาง
ภายในใจของสืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
ดูเหมือนว่านายหญิงใหญ่จะหาภรรยาที่ดีมาให้คุณชายสี่
นางพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปคารวะท่านป้าสี่
คุณนายสี่มอบผ้าเช็ดหน้าให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ “ข้าปักเองกับมือ ขอมอบให้เจี่ยเอ๋อร์”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยขอบคุณ สืออีเหนียงแนะนำอี๋เหนียงสามและอี๋เหนียงห้าให้นางรู้จัก
อี๋เหนียงทั้งสองคนยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ อี๋เหนียงสามมอบปิ่นปักผมไข่มุกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ อี๋เหนียงห้ามอบหยกสีเขียวให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ว่าอี๋เหนียงห้าคือมารดาแท้ๆ ของสืออีเหนียง นางจึงอดไม่ได้ที่จะมองหน้าอี๋เหนียงห้ากับสืออีเหนียงไปมาด้วยสายตาที่อยากรู้อยากเห็น พวกนางสองคนมีความคล้ายคลึงกัน
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คุณชายสามและคุณนายสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
เขาคือน้องชายแม่เดียวกันกับตัวเอง ซื่อเหนียงยิ้มแล้วเดินไปต้อนรับ “ทำไมถึงพึ่งมาเล่า”
คุณนายสามยิ้มแล้วมองไปที่คุณชายสาม “ก่อนจะออกมา บอกว่าไม่ได้ทานซุปเปรี้ยวเผ็ดมานานแล้ว จึงบอกให้คนไปทำให้เขาทานเจ้าค่ะ”
คุณชายสามอยู่ที่เยี่ยนจิงนานแล้ว เขาใช้ชีวิตเหมือนกับคนเยี่ยนจิง
ซื่อเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ทำตัวราวกับเด็กน้อย”
คุณชายสามยิ้มอย่างซื่อบื้อ เมื่อสังเกตเห็นว่าทั้งห้องมีแต่ญาติผู้หญิง เขาก็คำนับนายหญิงใหญ่อย่างเขินอายแล้วรีบออกไปที่เรือนของหลัวเจิ้นซิ่งทันที คุณนายสามคำนับสืออีเหนียง สืออีเหนียงก็บอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์มาคำนับท่านน้าสาม คุณนายสามคิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ นางจึงหยิบเครื่องประดับสีแดงทับทิมบนหัวออกมาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ จากนั้นอี๋เหนียงหกก็พาคุณนายสี่ไปคำนับคุณนายสาม คุณนายสามนำต่างหูใบหลิวสีทองหนึ่งคู่ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้มอบให้คุณนายสี่เป็นของขวัญ คุณนายสี่ก็มอบรองเท้าหนึ่งคู่ให้คุณนายสาม
คุณนายใหญ่บอกให้ทุกคนนั่งลงดื่มชา
เฉียนหมิงและอู่เหนียงก็มาถึงแล้ว
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างดีใจ เห็นได้ชัดว่านางชอบเฉียนหมิงจริงๆ
เฉียนหมิงคำนับนายหญิงใหญ่ จากนั้นก็โน้มตัวลงไปคุยนาง “…สีหน้าของท่านดีขึ้นกว่าเมื่อวานไม่น้อยขอรับ โรคภัยไข้เจ็บมาราวกับภูเขาถล่ม แต่กลับหายไปอย่างช้าๆ ท่านไม่ต้องรีบร้อน เรื่องของสกุลมีพี่ใหญ่ภรรยาและสะใภ้พี่ใหญ่คอยจัดการ ท่านแค่ดูแลตัวเองให้ดี ก็นับว่าเป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่ของลูกๆ อย่างเราแล้ว…” รอยยิ้มของเขาหล่อเหลา ท่าทีของเขาอ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ และในสายตาของนายหญิงใหญ่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
พูดคุยกันสองสามประโยค เฉียนหมิงก็ลุกขึ้น “ข้าออกไปพบพี่ใหญ่ ประเดี๋ยวค่อยมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่าน”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าซ้ำๆ แล้วพึมพำสองสามคำ
ป้าสวี่รีบพูด “นายหญิงใหญ่บอกว่า บอกพวกคุณชายดื่มให้น้อยๆ หน่อยนะเจ้าคะ”
กลิ่นอายของความสนิมสนม ไม่ต้องพูดก็เห็นอย่างชัดเจน
เฉียนหมิงรีบรับปากสัญญา “ไม่เยอะขอรับ มีพี่ใหญ่ภรรยาอยู่ พวกเราไม่ก่อเรื่องแน่นอนขอรับ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มแล้วพยักหน้า เฉียนหมิงก้มหน้าทักทายคนในห้อง จากนั้นก็รีบไปที่เรือนของหลัวเจิ้นซิ่ง ทิ้งอู่เหนียงที่ท้องโตไว้ที่นี่
คุณนายสามรีบไปยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง
นางจับเอวแล้วนั่งลง สาวใช้ที่รับใช้นางคือจื่อย่วน
“จื่อเวยล่ะ” คุณนายสามยิ้มแล้วถาม
“อ๋อ!” อู่เหนียงพูดอย่างไม่พอใจ “ศิษย์สกุลหั่นสำนักศึกษาฮั่นหลินย่วนไม่มีใครดูแล ข้าเห็นว่าจื่อเวยก็อายุไม่น้อยแล้ว จึงให้นางแต่งกับกับศิษย์สกุลหั่น”
สืออีเหนียงตกใจ เห็นว่าทุกคนในห้องก็มีสีหน้าตกใจ รู้ว่าคนอื่นก็คิดเหมือนตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ได้ยินข่าวนี้
นางอดไม่ได้ที่จะมองจื่อย่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า นายหญิงใหญ่ก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันแปลกๆ
นางรับใช้อู่เหนียงมาตั้งแต่เด็ก ติดตามนางแต่งเข้าไปสกุลสามี เหตุใดถึงให้นางแต่งออกไปง่ายๆ เช่นนี้…
แต่นี่เป็นเรื่องของอู่เหนียง ไม่ว่าอู่เหนียงจะมีความคิดเห็นเช่นไร นางก็ไม่ควรเอ่ยถาม
บางทีทุกคนก็อาจจะรู้สึกเหมือนกัน ทันใดนั้น บรรยากาศก็แปลกไป
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วเอ่ยกอบกู้สถานการณ์ “เฮ้อ ทำไมเขยสิบกับคุณนายสิบถึงยังไม่มา”
อี๋เหนียงหกก็รีบพูดตาม “นั่นน่ะสิ เหตุใดถึงยังไม่มา ข้าออกไปดูดีกว่า!” จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกไป
บรรยากาศในห้องพลันผ่อนคลายลงไม่น้อย
ซื่อเหนียงจับมือคุณนายสี่ “นี่คือคุณนายห้าของพวกเรา เจ้าก็ทำความรู้จักเสีย”
คุณนายสี่ย่อเข่าคำนับอู่เหนียงด้วยความเคารพ แต่ท่าทีของอู่เหนียงกลับนิ่งเฉย นางหยิบกำไลสีทองออกมาให้เป็นของขวัญ คุณนายสี่มอบรองเท้าหนึ่งคู่ให้นาง อู่เหนียงยิ้ม จื่อย่วนเดินเข้าไปรับมา นางหันมาพูดกับสืออีเหนียง “…มาถึงตั้งแต่เมื่อใด” จากนั้นก็ทักทายเจินเจี่ยเอ๋อร์ “เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่างเป็นแขกคนสำคัญ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เดินเข้าไปคำนับอู่เหนียง
แต่สืออีเหนียงกลับขมวดคิ้ว
จะว่าไปแล้ว อู่เหนียงและคุณชายสี่คือพี่น้องกัน คุณชายสี่เป็นบุตรอนุภรรยา ใช้ชีวิตอยู่ในสกุลหลัวก็ไม่ได้สบาย นางควรจะให้เกียรติน้องสะใภ้ใหม่ที่พึ่งแต่งเข้ามา สนับสนุนพวกเขาสองคน แต่นางกลับทำท่าทีเย็นชาต่อคุณนายสี่ โชคดีที่เป็นแค่พี่สามี หากเป็นแม่สามี ไม่รู้จะทำเช่นไร!
นางครุ่นคิด อี๋เหนียงหกยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณนายใหญ่ จวนเม่ากั๋วกงส่งคนมาบอกว่าวันนี้ท่านเขยสิบมีธุระ มาไม่ได้เจ้าค่ะ ส่วนคุณนายสิบก็ไม่ค่อยสบายจึงไม่สะดวกมาเจ้าค่ะ”
บรรยากาศพลันเยือกเย็น
สืออีเหนียงเหลือบมองนายหญิงใหญ่ สายตาของนางเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ปิดปากยิ้ม “สือเหนียงคนนี้ ท่านเขยสิบไม่มานางก็ไม่มา ถึงตอนนั้นมีหลานชายเพิ่มขึ้นมา ท่านป้าอย่างข้าก็ต้องยกระดับตัวเองเสียหน่อย ต้องให้นางมา เชิญด้วยตัวเองข้าถึงจะยอมไป”
“จะว่าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องไปอยู่ดีเจ้าค่ะ!” ซื่อเหนียงเอ่ยแซวนาง
ทุกคนพากันหัวเราะ
ซื่อเหนียงจับมือคุณนายสี่ “เจ้าอย่าหัวเราะ พี่สะใภ้ของเราชอบล้อเล่น ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”
คุณนายสี่ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่พูดอะไรกันเจ้าคะ ข้าเห็นว่าทุกคนสนิทสนมกันเช่นนี้ ข้าก็อิจฉา จะหัวเราะเยาะได้เช่นไร” พูดได้น่าฟังเป็นอย่างมาก
ซื่อเหนียงจึงเอ่ยแกล้งคุณนายใหญ่ “เห็นหรือยัง ช่างเป็นคนที่มีความสามารถ ท่านต้องระวังเอาไว้ อย่าให้น้องสะใภ้หัวเราะเยาะเอาได้”
คุณนายใหญ่ยิ้มอย่างไม่สนใจ “อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง ข้าอยากจะมีคนที่มีความสามารถมาช่วยข้าสักคนอยู่แล้ว”
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงไม่น้อย
แต่สืออีเหนียงกลับเห็นความไม่สบายใจในสายตาของคุณนายใหญ่ นึกถึงภาพตอนที่ตัวเองเข้ามาที่ประตู นางรู้สึกว่ามันมีบางอย่าง...
นางยังไม่มีโอกาสซักถามคุณนายใหญ่ ก็มีเด็กรับใช้ชายเข้ามารายงาน “คุณนายสิบเอ็ด นายท่านใหญ่เชิญท่านไปที่ห้องหนังสือขอรับ”
สืออีเหนียงตกใจ บอกให้หู่พั่วอยู่เป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ พูดกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ จากนั้นก็ไปห้องหนังสือกับเด็กรับใช้ชาย
ในห้องหนังสือ นอกจากนายท่านใหญ่แล้วก็ยังมีคุณชายใหญ่ หลัวเจิ้นซิ่ง
สีหน้าของพวกเขาสองคนเคร่งขรึม มีกลิ่นอายของการพิจารณาคดี
และเรื่องที่สามารถทำให้พวกเขาเคร่งขรึมเช่นนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของสวีลิ่งอี๋
นางย่อเข่าคำนับ นายท่านใหญ่ชี้ไปที่เก้าอี้หน้าประตู บอกให้นางนั่งลง
“เหตุใดท่านโหวถึงไม่มาด้วย ที่ข้าเชิญทุกคนมาในวันนี้ก็เพราะอยากเจอกับท่านโหว”
สืออีเหนียงตกใจ
นางคิดว่างานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแนะนำคุณนายสี่ให้ทุกคนรู้จัก
“ท่านโหวข้อเท้าอักเสบเจ้าค่ะ…” นางพูดเหมือนเดิม
“เป็นโรคข้อเท้าอักเสบจริงหรือ” สีหน้าของนายท่านใหญ่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าปีนั้นท่านโหวกวาดล้างทหารของกองทัพทหารอวี้หลินถึงแปดแสนนาย แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับชัยชนะ เหตุใดถึงได้ลาออกจากตำแหน่งเพียงเพราะเป็นโรคข้อเท้าอักเสบเช่นนี้”