ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 176 เดือนสิบสอง(กลาง)
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าบนใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏความโมโห เขาก็รู้สึกไม่สนุกอีกต่อไป ทันใดนั้น ในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงสืออีเหนียงจัดเสื้อผ้า
และในบรรยากาศที่อึดอัด ก็มีสาวใช้รายงานผ่านผ้าม่านด้วยความเขินอาย “พ่อบ้านไป๋มาแล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พูด “อืม” จากนั้นก็รีบเดินออกไป
ไม่รู้ว่าเหตุใด สืออีเหนียงถึงรู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมาก น้ำตารินไหลไม่หยุด
“ฮูหยิน…” หู่พั่วเดินเข้ามาเงียบๆ เห็นห้องที่กระจัดกระจายนางจึงพูดอย่างระมัดระวังว่า “บ่าวไปตักน้ำมาให้ท่านล้างหน้า ได้เวลาไปหาไท่ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รีบเช็ดน้ำตาแล้วพยักหน้าเบาๆ
หู่พั่วเรียกลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วเข้ามาเก็บข้าวของ ส่วนตัวเองและปินจวี๋คอยรับใช้สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตา ปินจวี๋เอ่ยถาม “ท่านโหวล่ะเจ้าคะ”
ไม่ควรไปคนเดียวหรือไม่
“ไม่รู้!” หู่พั่วพูด “ออกไปกับพ่อบ้านไป๋แล้ว…ข้าจะส่งคนไปดูประเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้อง” สืออีเหนียงรู้สึกเย็นชาขึ้นภายในใจ เขาไม่ใช่ไม่รู้ว่านางต้องไปคารวะไท่ฮูหยินยามนี้ของทุกวัน “เรียกแค่เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็พอ”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้าลำบากใจ “เจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปแล้วเจ้าค่ะ ให้เสี่ยวหลีมาบอกตอนที่ท่านโหวอยู่ในห้อง…”
เจินเจี่ยเอ๋อร์คงจะไม่กล้าออกไปพร้อมนาง ส่วนหู่พั่วเห็นสวีลิ่งอี๋อยู่ในห้องก็คงไม่กล้าเข้ามารายงาน
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินคนเดียว
สวีซื่อเจี่ยนกำลังเล่นลูกข่างกับจุนเกอในลาน เห็นนางเข้ามาพวกเขาก็เดินเข้ามาคำนับ สวีซื่อเจี่ยนพูดว่า “ท่านมาคนเดียวหรือขอรับ เหตุใดจึงไม่เห็นท่านลุงสี่!”
“อืม!” สืออีเหนียงพูดตอบเบาๆ “ท่านลุงสี่ของเจ้ามีธุระ ประเดี๋ยวตามมาทีหลัง”
สวีซื่อเจี่ยนพูด “ขอรับ” จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินเป็นเพื่อนนางกับจุนเกอ
ไท่ฮูหยินก็ถามว่า “คุณชายสี่ยังยุ่งอยู่หรือ!”
สืออีเหนียงพยักหน้า คุณชายสามและฮูหยินสามก็มาพอดี เห็นสืออีเหนียงมาคนเดียว เขาก็ถามด้วยความแปลกใจ “น้องสี่เล่า เจ้ามาคนเดียวหรือ”
“เขากำลังยุ่งเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบกลับ
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นอะไร ทำไมตาแดง”
“ตาข้าแดงหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงทำท่าทีตกใจ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
“หากไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ!” ฮูหยินสามหันหน้าสืออีเหนียงไปให้ไท่ฮูหยินดู ทันใดนั้น ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหวมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามตกใจ สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาแล้ว
ไท่ฮูหยินมองหน้าสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นนัย ยิ้มแล้วรับคำนับจากบุตรชาย จากนั้นก็พาบุตรชาย ลูกสะใภ้และหลานๆ ไปทานข้าวที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
เมื่อส่งพวกเขาออกไปแล้ว นางก็เรียกป้าตู้เข้ามา “ไปสืบดูว่าพวกเขาสองคนทะเลาะกันหรือไม่”
ป้าตู้ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ออกไปทางประตูหลัง ไปเรือนหลังที่พวกหู่พั่วอาศัยอยู่
เรือนหลังเงียบสงัด มีแค่ท่านป้าที่เฝ้ายามอยู่ที่นั่นคนเดียว
ป้าตู้พูดด้วยความสงสัย “ผู้คนไปไหนกันหมด”
ท่านป้าที่เฝ้ายามคนนั้นก็ยิ้มอย่างสดใส “ถูกแม่นางหู่พั่วเรียกไปสั่งสอนหมดแล้ว”
“เรื่องอะไรกัน” ป้าตู้ขมวดคิ้ว “ได้ยินมาว่าแม่นางหู่พั่วในเรือนของฮูหยินเป็นคนมีความสามารถ แต่ไม่รู้ว่านางสามารถสั่งสอนสาวใช้แทนนายหญิงได้”
ท่านป้าคนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูด “ใช่เจ้าค่ะ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่นางกลับแอบอ้างคำพูดของนายหญิงมาใช้ ฟังจากน้ำเสียงแล้วราวกับจะไล่คนออก!”
“มีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ” ป้าตู้สีหน้ามืดมนลง
ท่านป้าคนนั้นก็ยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” นางพูดเบาลง “วันนี้ท่านโหวอยู่ในห้องของฮูหยิน แต่ว่าสาวใช้นามว่าซิ่งเอ๋อร์ ท่านรู้จักซิ่งเอ๋อร์หรือไม่ หลานสาวของป้าไช่โรงซักล้างคนนั้น ไม่รู้อะไรแล้วบุกเข้าไป…” จากนั้นก็พูดเบาลงไปอีก “…เห็นท่านโหวกำลังกอดฮูหยิน…” พูดแล้วก็ขยิบตาให้ป้าตู้อย่างคลุมเครือ
ท่านโหวที่เคร่งขรึมมาตลอด กลางวันแสกๆ จะทำเรื่องพวกนั้น…
ป้าตู้รู้สึกว่าหัวของตัวเองสั่น “ดูผิดหรือไม่” นางพูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้!” ท่านป้าคนนั้นพูดเบาๆ “ไม่เช่นนั้น แม่นางหู่พั่วจะเรียกนางไปสั่งสอนทำไมเล่า…”
“อ้อ…” อย่าว่าแต่จะเชื่อ เพียงแค่คิดก็คิดไม่ถึง ป้าตู้สับสนไปหมด
“ท่านมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ” ท่านป้าคนนั้นคือคนของหยวนเหนียง จึงไม่ค่อยชอบบ่าวรับใช้ที่ติดตามเข้ามากับสืออีเหนียง นางจึงพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ไม่เช่นนั้น ข้าไปเรียกแม่นางหู่พั่วมาให้ท่านซักถาม”
“ไม่เป็นไร!” ป้าตู้พูดอย่างใจลอย “ในเมื่อนางมีธุระ พรุ่งนี้ข้าค่อยมาหานางก็ได้” พูดจบก็รีบออกไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
“เป็นเช่นไร” ไท่ฮูหยินเห็นว่าป้าตู้สีหน้าไม่ค่อยดี นางก็ร้อนใจ
นางอายุมากแล้ว สิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือลูกๆ ไม่สามัคคีกัน
สีหน้าของป้าตู้ซีดเซียว จากนั้นก็เอนตัวไปซุบซิบทีข้างหูของไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินได้ยินก็ตกใจ “เจ้า เจ้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ” ป้าตู้พูด “ไม่เช่นนั้น หู่พั่วจะทำอย่างนั้นไปทำไมเจ้าคะ”
“ไม่แปลกใจที่ทำไมวันนี้สองคนนั้นถึงไม่มาพร้อมกัน” ไท่ฮูหยินหัวเราะ “คนนั้นก็ยังตาแดงราวกับร้องไห้…คงจะถูกคนอื่นเห็นเข้าแล้วอับอาย…” จากนั้นก็พูดจาล้อเล่น “ข้ามองไม่เห็นออกว่า บุตรชายของข้าเป็นคนใจร้อน”
ป้าตู้ได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “ไท่ฮูหยิน…มีแม่สามีที่ใดพูดเช่นนี้กันเจ้าคะ”
“วัยหนุ่มสาวก็ล้วนแต่มีช่วงเวลาที่ทำตัวเหลวไหลกันทั้งนั้น” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! แก่แล้วประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
*****
อีกด้านหนึ่ง สืออีเหนียงกำลังก้มหน้าก้มตาเย็บปักถักร้อยไป ชำเลืองมองสวีลิ่งอี๋ที่เอนตัวอ่านหนังสืออยู่บนหมอนอิงใบใหญ่ไป
เหตุใดจึงยังไม่กลับไปอีก…
ตอนไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยินนางไปคนเดียว ตอนทานข้าวก็ไม่มองมาที่นางเลยแม้แต่น้อย กลับมาก็ไม่พูดไม่จา…เมื่อครู่ตัวเองยังรินชาให้เขา แต่เขากลับทำท่าทีไม่สนใจ นางยอมให้ขนาดนี้แล้ว เขายังจะนอนไม่พูดอะไรสักคำอยู่ที่นี่ทำไมกัน
สืออีเหนียงไม่พอใจ นางขยิบตาให้หู่พั่ว
หู่พั่วพยักหน้า เดินออกไปแล้วถือน้ำร้อนเข้ามาชงชาให้สวีลิ่งอี๋ มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน สาวใช้น้อยของเฉียวอี๋เหนียงมาถามว่า วันนี้ต้องรอท่านโหวหรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋
แต่สวีลิ่งอี๋กลับทำท่าทีเหมือนไม่ได้ยิน จากนั้นก็พลิกหนังสือที่อยู่ในมือ
สืออีเหนียงจึงวางเข็มกับด้ายในมือลง แล้วเดินเข้าไปพูดเบาๆ “ท่านโหว ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ…”
สวีลิ่งอี๋ไม่เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย เขาพูด “อืม” เบาๆ “เจ้าไปตักน้ำมาให้ข้าแช่เท้าเถิด”
หมายความว่าคืนนี้ไม่ไปเรือนเฉียวอี๋เหนียงแล้ว
สืออีเหนียงยังอยากจะเกลี้ยกล่อมเขา แต่เห็นเขาขมวดคิ้ว จึงไม่อยากยั่วอารมณ์ของเขา บอกสาวใช้น้อยว่า “ไปบอกเฉียวอี๋เหนียง วันนี้ท่านโหวมีธุระไม่ไปนอนที่เรือนของนางแล้ว”
สาวใช้น้อยตอบรับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋อีกครั้ง
เห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมองหนังสือ แต่มือกลับไม่ขยับพลิกหน้ากระดาษเลยแม้แต่น้อย สืออีเหนียงเบ้ปากแล้วบอกให้สาวใช้ไปนำน้ำอุ่นมาแช่เท้าให้สวีลิ่งอี๋
*****
“ท่านโหวไม่มาแล้ว!” เฉียวเหลียนฝังตกใจ “ท่านโหวรู้หรือไม่”
สาวใช้น้อยพูดด้วยความลำบากใจ “แม่นางหู่พั่วบอกให้บ่าวรอก่อน จากนั้นก็ออกมาบอกให้บ่าวกลับมารายงานท่าน ตอนนั้นท่านโหวและฮูหยินก็อยู่ในห้อง ท่านโหวไม่พูดอะไร ฮูหยินจึงเดินเข้าไปถาม สุดท้ายท่านโหวบอกให้ฮูหยินรับใช้เขาแช่เท้าเจ้าค่ะ…”
สีหน้าของเฉียวเหลียนฝังซีดลงทันที
ซิ่วหยวนที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเห็นเช่นนี้ก็รีบหยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อมอบให้สาวใช้น้อย “ลำบากเจ้าแล้ว นำไปซื้อขนมทานเถิด”
สาวใช้น้อยรับมาด้วยความดีใจ ย่อเข่าคำนับเฉียวเหลียนฝังแล้วเดินออกไป
เดินมาถึงหน้าประตู เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางหยุดเดินแล้วหันมาพูด “เฉียวอี๋เหนียงเจ้าคะ บ่าวได้ยินพี่หญิงที่เรือนบอกว่า วันนี้ยามบ่ายท่านโหวกอดฮูหยินทำเรื่องแบบนั้น แต่พี่ซิ่งเอ๋อร์เข้าไปเห็นเข้า…ฮูหยินอารมณ์เสียใส่ท่านโหวเพราะเรื่องนี้ ทำให้ท่านโหวโมโห ไม่สนใจฮูหยินทั้งช่วงบ่ายเจ้าค่ะ”
มีเสียงดัง ปั้ง ถ้วยชาโบราณที่อยู่ในมือของเฉียวเหลียนฝังก็ตกลงบนพรมสีแดง กลิ้งไปหยุดอยู่บนอิฐสีน้ำทะเล
สีหน้าของซิ่วหยวนเปลี่ยนไปทันที นางรีบเดินเข้าไปผลักสาวใช้น้อยคนนั้นออกไป “รู้แล้ว ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”
สาวใช้น้อยถูกผลักออกมาจากประตู นางอดไม่ได้ที่จะเกาหัวแล้วมองดูผ้าม่านที่ปลิวไสวไปมาอยู่ข้างหลังแล้วพึมพำเบาๆ “ไม่แปลกที่ป้าเถาบอกให้ข้าเดินออกมาที่หน้าประตูก่อนแล้วค่อยพูด…” ทันทีที่นางพูดจบ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างแผ่วเบาดังออกมาจากข้างหลังม่าน
นางอยากเข้าไปดู แต่ก็นึกถึงคำพูดที่ป้าเถาบอกว่า ‘หากพูดจบแล้วก็รีบออกมา’ ในที่สุด…นางก็ระงับความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็วิ่งไปรายงานป้าเถา
*****
สืออีเหนียงมองดูใบหน้าที่เคร่งขรึมของสวีลิ่งอี๋ภายใต้แสงไฟ นางบอกตัวเองอีกครั้ง ข้าไม่ผิด ทำเรื่องแบบนั้นกลางวันแสกๆ มันไม่สอดคล้องกับประเพณีอยู่แล้ว เขามีสิทธิ์อะไรมาอารมณ์ไม่ดี ที่ตัวเองรู้สึกผิดก็แค่เพราะว่าเกรงกลัวในอำนาจของเขาก็แค่นั้น แต่เรื่องนี้ นางไม่ผิด!
เมื่อคิดเช่นนี้ ความหงุดหงิดในใจก็หายไปไม่น้อย
นางหันหลังให้สวีลิ่งอี๋ แต่ไฟบนหัวเตียงสว่างจ้าเกินไป ดังนั้นนางจึงพลิกตัวกลับไปหันหน้าให้สวีลิ่งอี๋เหมือนเดิม มุดหัวเข้าไประหว่างหมอนแล้วหลับตาลง
เขาอยากทำอะไรก็ทำเถิด! พรุ่งนี้ตัวเองจะกลับสกุลเดิม หากตาบวมกลับไป อี๋เหนียงเห็นแล้วอาจจะคิดว่าตัวเองร้องไห้…
สวีลิ่งอี๋ถือหนังสืออยู่ในมือ แต่หางตากลับเหลือบมองสืออีเหนียงที่พลิกตัวไปมาข้างๆ
ดูเหมือนว่าตัวเองไม่สนใจนาง นางก็ไม่สบายใจเป็นอย่างมาก!
เห็นว่านางพลิกตัวกลับมาอีกครั้ง เขาก็ค่อยๆ ยิ้มมุมปาก
เดิมทีแค่อยากจะหยอกนางเล่น แต่ใครจะรู้ว่าสาวใช้จะโพล่งเข้ามา…
เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย
เขาเองก็เสียหน้าเหมือนกัน!
แล้วอีกอย่าง ก็แค่ออกไปกับพ่อบ้านไป๋ แต่นางกลับไม่รอตัวเองไปที่เรือนของไท่ฮูหยินก่อน หากใครเห็นเข้า ก็คงจะคิดว่าพวกเขาสองคนทะเลาะกัน
เขาจงใจทำเช่นนี้ ก็เพราะว่าอยากให้สืออีเหนียงร้อนใจ
รอยยิ้มของสวีลิ่งอี๋กว้างขึ้น
ผ่านไปไม่นาน…ก็ยอมเอ่ยปากคุยกับนาง
ใครจะไปรู้ว่า คนที่พลิกตัวไปมาอยู่ข้างๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เงียบไปแล้ว
เขาตกใจ เอียงตัวไปมอง ก็เห็นนางนอนตะแคงหลับไปแล้ว
“สืออีเหนียง!”
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋พลันมืดมน
แต่นางกลับขยับจมูกไปมา มุดหน้าเข้าไปในผ้าปูที่นอน
“เจ้า…” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงดังขึ้น
สืออีเหนียงพึมพำสองสามคำ จากนั้นก็มุดหน้าลงไปลึกกว่าเดิม