ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 171 เติบโต(ปลาย)
ดูเหมือนว่าไทเฮาพึ่งจะสังเกตเห็นไท่ฮูหยินและสืออีเหนียงจึงตรัสด้วยความประหลาดใจว่า “ไท่ฮูหยินมาถึงแล้วเหตุใดจึงไม่มีใครมารายงาน” แล้วยังตำหนิคนรอบตัว “ไท่ฮูหยินเป็นพระสัสสุของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะเทียบกับบรรดาฮูหยินของเหล่าขุนนางได้อย่างไร ต่อไปนี้หากไท่ฮูหยินมาขอเข้าเฝ้าให้มารายงานโดยตรงได้เลยไม่ต้องรีรอ”
ขันทีรีบตอบรับทันที “พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ฮูหยินรีบคุกเข่าคำนับขอบพระทัย สืออีเหนียงเดินตามหลังไท่ฮูหยินมาและคุกเข่าตามไท่ฮูหยิน
ไทเฮาเข้าไปจับมือไท่ฮูหยินแล้วพยุงลุกขึ้นด้วยตัวเอง “ข้าเองก็หวังว่าไท่ฮูหยินจะเข้าวังมาพูดคุยกับข้า” ท่าทางทอดถอนใจ “ตอนนี้คนที่จะพูดคุยกับข้าก็น้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ข้ายากที่จะยอมรับความแก่ได้” จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางพระตำหนักคุนหนิง “พวกเรามาพูดคุยกันเถิด”
ไท่ฮูหยินตอบรับอย่างนอบน้อม “เพคะ” เดินตามไทเฮาไปที่พระตำหนักตงหน่วนเก๋อที่ฮองเฮาประทับอยู่
ไทเฮาและฮองเฮานั่งลงตามลำดับ ให้ไท่ฮูหยินนั่งบนเก้าอี้จิ่นอู้ ส่วนสืออีเหนียงยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินถามถึงอาการพระประชวรของฮองเฮา “…เมื่อได้ยินราชโองการของฮ่องเต้ หม่อมฉันก็รู้สึกกังวลตลอดทั้งคืน”
“ข้าไม่เป็นไร” ฮองเฮาเอ่ยปลอบใจไท่ฮูหยิน “แค่รู้สึกหนาวเหน็บเป็นครั้งคราว และไม่ค่อยสบายเพียงเล็กน้อย ทานยาของหมอหลวงหลิวแล้วรู้สึกดีขึ้นมาก”
ไทเฮายิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินไม่ต้องกังวล ข้ามาเยี่ยมฮองเฮาทุกวัน เมื่อวานยังมีอาการไออยู่เล็กน้อย แต่เช้าวันนี้ยังไม่เห็นฮองเฮาไอเลย”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าแล้วพูดอย่างเกรงใจว่า “ฮองเฮามีไทเฮาอยู่ข้างกายเช่นนี้ คิดว่าอีกไม่นานก็คงหายดีแล้วเพคะ”
ไทเฮามองฮองเฮาแล้วยิ้ม “ข้าเพียงแค่มาอยู่เป็นเพื่อนนางเท่านั้น” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ตานหยางสบายดีหรือไม่ ได้ยินว่าสองวันก่อนไม่สบายหรือ”
ไท่ฮูหยินพูดว่า “นางยังเด็ก นี่ก็เป็นท้องแรก จึงยังไม่ค่อยรู้ความ…”
ทั้งสองคนพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัว สืออีเหนียงยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยินอย่างนอบน้อม สายตาจับจ้องไปที่ฮองเฮา
นางยิ้มและมีสีหน้าอ่อนโยนเช่นเคย แต่แววตากลับเผยให้เห็นว่านางกำลังเหม่อลอย
จะให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
ไม่กลัวความพิการทางร่างกาย จะกลัวก็แต่ความพิการทางจิตใจ
ที่นางกังวลใจเช่นนี้เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องบางอย่างในใจ หากเป็นสตรีธรรมดาทั่วไป เพียงได้บ่นกับสหายสนิทสักสองสามคำก็จะหายโกรธและรู้สึกดีขึ้น แต่นางกลับเป็นมารดาของแคว้น ทุกการกระทำไม่อาจเกินขอบเขตได้ เพราะบางครั้งคำพูดเพียงไม่กี่คำก็จะถูกขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นจะทำลายภาพลักษณ์ของฮองเฮา และเรื่องความลับของราชวงศ์ นางจึงไม่สามารถเอ่ยปากพูดกับใครได้…ในเมื่อฮ่องเต้คือความโดดเดี่ยว แล้วฮองเฮาเล่าจะไม่โดดเดี่ยวได้อย่างไร!
เมื่อคิดได้เช่นนี้สืออีเหนียงก็เงยหน้ามองฮองเฮาอย่างกล้าหาญ
เมื่อเวลาผ่านไปฮองเฮาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังมองมาที่ตัวเอง เมื่อหันไปก็เห็นน้องสะใภ้ที่อายุเพียงสิบสี่ปีกำลังกะพริบตาให้นาง
ฮองเฮาประหลาดใจเล็กน้อย
เบิกตาโตแล้วหันกลับไปมองอีกครั้ง
สืออีเหนียงกำลังยิ้มให้ฮองเฮา
แววตาของฮองเฮาเผยให้เห็นความประหลาดใจ แต่ไม่นานก็กลับมาดูสงบอีกครั้ง
เมื่อไทเฮากับไท่ฮูหยินพูดคุยกันเสร็จ ฮองเฮาก็ถามถึงเรื่องสืออีเหนียงกับไท่ฮูหยินว่า “…ได้ยินมาว่าฮูหยินหย่งผิงโหวไม่สบาย ต่อมาข้าไม่ค่อยสบายจึงไม่ได้เรียกหมอหลวงหลิวมาซักถาม ตรวจพบสาเหตุหรือไม่ว่าเป็นอะไรกันแน่”
คำถามนี้นางไม่ควรเป็นคนตอบ
สืออีเหนียงก้มหน้าลง
ไท่ฮูหยินพูดว่า “ระดูของนางมักจะมาไม่ตรง จึงให้หมอหลวงหลิวมาช่วยจับชีพจรให้”
“ตายจริง” ไทเฮาพูดขึ้น “นี่เป็นเรื่องใหญ่ จะละเลยไม่ได้”
“ใช่แล้วเพคะ” ไท่ฮูหยินยิ้มเจื่อนๆ “ตอนนี้เลยกำลังทานยาบำรุงอยู่”
ฮองเฮาเรียกสืออีเหนียง “ตามข้าไปที่ห้องปีกตะวันออก” ให้นางในข้างกายรออยู่ที่ห้องโถงหลัก
สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับอย่างว่าง่าย “เพคะ” แล้วเดินตามฮองเฮาไปที่ห้องปีกตะวันออก
ไท่ฮูหยินประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ไทเฮากลับมองแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ดูเหมือนว่าฮองเฮาจะเรียกลูกสะใภ้ของตนไปถามเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว…บุตรชายสกุลสวีมักจะมีร่างกายซูบผอม จนถึงตอนนี้สวีลิ่งอี๋ก็มีบุตรชายจากภรรยาเอกเพียงคนเดียว ซ้ำยังไม่ค่อยแข็งแรง ไม่แปลกที่ฮองเฮาได้ยินแล้วจะรู้สึกกังวลใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไทเฮาก็ยิ้มแล้วสั่งให้คนยกถั่วตัดออกมา “ห้องครัวพึ่งทำมาใหม่ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วกล่าวขอบพระทัย แต่ในใจกลับนึกถึงฮองเฮาและสืออีเหนียงที่อยู่ห้องปีกตะวันออก
******
นั่งอยู่ที่เตียงเตาริมหน้าต่าง ฮองเฮามองสืออีเหนียงที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่มีทางจะจ้องมองอย่างกล้าหาญโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำยังยิ้มให้ตัวเองอีก แต่การที่พูดคุยเรื่องความรุ่งเรืองของครอบครัวและเรื่องสามีภรรยากับเด็กสาวที่ไม่คุ้นเคยและอายุมากกว่าบุตรชายของตัวเองไม่เกินสองปีก็กระไรอยู่ เพราะนางเองก็ไม่ใช่คนที่หัวช้า!
สีหน้าของนางเผยให้เห็นความลังเล
เมื่อสืออีเหนียงเห็นดังนั้นนางก็ตัดสินใจเริ่มก่อน ก้มหน้าอย่างนอบน้อมแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “หม่อมฉันแค่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ไม่เพียงแต่ทำให้ท่านโหวเอ่ยถาม แต่ยังทำให้ฮองเฮาต้องทรงเอ่ยถามเพราะกังวลเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยเพคะ” ขณะที่พูดก็ย่อเข่าลง “ตอนที่หม่อมฉันพึ่งจะแต่งงานเข้ามา เห็นว่าท่านโหวดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ในใจจึงรู้สึกหวาดกลัว” สีหน้าของนางดูเขินอายเล็กน้อย พูดถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋นอนไม่หลับเพราะเรื่องบุตร “…ถึงได้รู้ว่าถึงจะดูเย็นชาแต่จริงๆ แล้วข้างในเขาเป็นคนอบอุ่น” จากนั้นก็เล่าถึงเรื่องที่ฮูหยินสามเอาข้าวดีๆ ไปเปลี่ยนเป็นข้าวรามาทำโจ๊ก“ ท่านโหวใจกว้างมาก ไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิคุณชายสามและพี่สะใภ้สามที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม แต่กลับไปทบทวนตัวเอง แล้วไปจัดการเรื่องด้วยตัวเองที่ประตูเมืองฟู่เฉิง ซ้ำยังนัดคุณชายสามมาพูดคุยเรื่องในใจในคืนนั้น…” อธิบายกับฮองเฮาถึงความคิดของคุณชายสามกับฮูหยินสาม แล้วก็แผนที่สวีลิ่งอี๋เตรียมจะลาออกจากตำแหน่งให้คุณชายสามไปเป็นขุนนางเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่สกุล
ฮองเฮาเริ่มมีสีหน้าสงบนิ่ง ยิ่งสืออีเหนียงพูดนางก็ยิ่งมีสีหน้าจริงจัง เมื่อพูดว่าสวีลิ่งอี๋กำลังจะลาออกจากตำแหน่งนางก็มีสีหน้าตกตะลึง “เหตุใดท่านโหวถึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้าเลย”
“ท่านโหวประพฤติตัวด้วยความชอบธรรม ทั้งยังมีน้ำใจและคุณธรรมต่อพี่น้อง หากไม่ใช่เพราะข้าอาศัยอยู่เรือนเดียวกันกับท่านโหว ก็คงมิอาจมองเจตนาที่ลึกซึ้งของเขาออกได้”
เมื่อฮองเฮาได้ยินก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ดูอบอุ่น “ดูแล้วฮูหยินจะใส่ใจเรื่องของท่านโหวเป็นอย่างมาก”
เมื่อสืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
“ท่านโหวมีกิริยามารยาทสูงส่ง หม่อมฉันชื่นชมเป็นอย่างมากเพคะ” เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาที่เป็นพี่สาว สืออีเหนียงจึงได้แต่ยกยอปอปั้นสวีลิ่งอี๋
ฮองเฮาเห็นว่านางดูสงบนิ่ง แต่แก้มของนางกลับแดงระเรื่อ แววตาดูเขินอาย ก็สัมผัสได้ว่านางพยายามปกปิดความห่วงใยที่มีต่อสวีลิ่งอี๋อย่างสุดกำลัง แววตาของฮองเฮาจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“หม่อมฉันโง่เขลา ไม่มีกำลังที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับกิจของราชสำนัก ได้แต่ดูแลชีวิตประจำวันของท่านโหวอย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้ท่านโหวต้องถูกรบกวนจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือน” สืออีเหนียงพูดต่อว่า “เมื่ออากาศหนาวก็อุ่นเตาผิงมือให้ท่านโหว เมื่อท่านโหวอารมณ์ไม่ดีก็เล่าเรื่องตลกให้ท่านโหวฟัง ช่วยดูแลอวี้เกอ เจินเจี่ยเอ๋อร์ และจุนเกอ…”
เมื่อฮองเฮาได้ยินก็มีสีหน้านิ่ง พึมพำออกมาว่า “ไม่ให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนมารบกวนท่านโหว…”
สืออีเหนียงพยักหน้า เล่าให้ฮองเฮาฟังอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นที่สวีลิ่งอี๋นึกถึงชีวิตตอนเด็กๆ ที่อยู่กับฮองเฮาหลังจากที่องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์แล้ว “…ต่อให้ไม่สบายใจก็ทำได้เพียงพูดต่อหน้าหม่อมฉันเท่านั้น วันรุ่งขึ้นเขาก็ออกไปข้างนอกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หม่อมฉันเห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสารท่านโหว” พูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับที่หางตา “และยิ่งเป็นห่วงฮองเฮากับฮ่องเต้ ฮองเฮานอกจากจะทรงเป็นพระราชมารดาขององค์ชายห้าแล้ว ยังทรงเป็นมารดาของแคว้นนี้ ฮ่องเต้นอกจากจะทรงเป็นพระราชบิดาขององค์ชายห้าแล้ว ก็ยังทรงเป็นบิดาของแคว้นนี้ ไม่เพียงแต่มีนักประวัติศาสตร์เหล่านั้นที่คอยจับตาดู แต่ยังรวมไปถึงขุนนางนักปราชญ์และขุนนางทหารในราชสำนักอีกด้วย เมื่อเทียบกับสถานการณ์ของท่านโหวแล้ว พระองค์ทรงลำบากกว่าเป็นเท่าตัว”
ขณะที่นางกำลังพูดหางตาของฮองเฮาก็มีน้ำตาคลอ
ยังดีที่สามารถร้องไห้ได้…
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะคุกเข่าลง “หม่อมฉันพูดจาเหลวไหลทำให้ฮองเฮาทรงเสียพระทัย” แล้วพูดต่อว่า “หากท่านโหวรู้เข้าไม่รู้ว่าจะเสียใจเพียงใด”
ฮองเฮามองนางโดยไม่พูดไม่จา
สืออีเหนียงไม่มีเวลาที่จะมานิ่งเงียบใส่นาง
พูดทั้งๆ ที่คุกเข่าอยู่ “ก่อนที่หม่อมฉันจะมา ท่านโหวได้ให้หม่อมฉันมาบอกกับพระองค์ว่าให้พระองค์ทำตามพระประสงค์ของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งอื่นใด ถึงเขาจะเป็นขุนนางแต่เขาก็เป็นพระอนุชาของพระองค์เช่นกัน แม้ว่าจะต้องบุกน้ำลุยไฟ เพียงแค่พระองค์ตรัสมาคำเดียว เขาก็พร้อมที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์เพคะ”
ดวงตาของฮองเฮาค่อยๆ ลุกโชน จ้องมองไปที่สืออีเหนียง “ถ้าข้าต้องการให้เขาฆ่าคนล่ะ”
สืออีเหนียงมองฮองเฮาอย่างแน่วแน่ สีหน้าสงบเยือกเย็น ราวกับว่าฮองเฮากำลังถามว่า ‘วันนี้อากาศเป็นอย่างไรบ้าง’ นางตอบอย่างใจเย็นว่า “ท่านโหวบอกว่าลูกน้องของเขามีทั้งทหารและกุนซือ ไม่ว่าฮองเฮาจะมีรับสั่งอย่างไร หม่อมฉันก็เพียงแค่นำข่าวไปบอกเพียงเท่านั้น แม้ว่าจวนของพวกเขาจะอาศัยกรมพระราชวังหาเงินได้มากมายจนร่ำรวยคับฟ้า แต่สกุลสวีของเราก็ไม่ได้กระจอก หากหาเงินเทียบพวกเขาไม่ได้ เช่นนั้นก็ตัดลู่ทางคนพวกนั้นเสีย การที่จะทำให้สูญเสียพันธมิตรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ฮองเฮาฟังอยู่พักใหญ่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทว่าหางตากลับมีน้ำตาคลอ
“น้องสี่ยังคงดื้อรั้นเหมือนเดิม” ขณะที่พูดน้ำตาก็ไหลรินออกมา “เจ้าไปบอกเขา อย่าให้เขาทำอะไรบุ่มบ่าม” พูดพลางสะอึกสะอื้น “การที่ยอมถอยให้คนอื่นจะทำให้ตัวเองได้พบกับสิ่งที่มีความสุขยิ่งกว่า พวกเขาเป็นหม้อดินเผา แต่น้องร่วมท้องของข้ากลับเป็นเครื่องลายครามที่ละเอียดอ่อน หากทำแตกพวกเขาก็ไม่มีปัญญาจะชดใช้ได้ ตอนนี้ฝ่าบาทเพียงแค่นึกถึงบุญคุณในตอนนั้นก็เท่านั้น…แต่เสือจะดุร้ายแค่ไหนมันก็ไม่กินลูกตัวเอง ฮ่องเต้ย่อมมีแผนการของตัวเอง จะทำลายแผนการใหญ่ของฮ่องเต้ไม่ได้ จะทำให้ศัตรูหัวเราะเยาะและคนที่รักต้องเจ็บปวด”
สืออีเหนียงมองฮองเฮาด้วยความประหลาดใจ
นางคิดว่าตัวเองจะต้องพูดพล่ามมากกว่านี้เสียอีก คิดไม่ถึงว่า…
ในใจของฮองเฮาคงจะรู้ดีอยู่แล้ว!
สิ่งที่นางต้องการคือบันไดและโอกาสที่ทำให้ฮองเฮาเปลี่ยนความคิดได้!
ฮองเฮามองสืออีเหนียงที่แววตาดูแปลกใจจึงรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของตัวเองทำให้สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก
นางรู้สึกเจ็บปวดใจ
แต่ก็แอบชื่นชมสืออีเหนียงอยู่เล็กน้อย
ที่สืออีเหนียงพูดนั้นเป็นความจริง ไม่ใช่ว่าได้รับคำสั่งเพื่อให้มาทดสอบนาง…
น้องสี่ยังไม่เปลี่ยน
ยังเหมือนเมื่อก่อน
มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงขอบตาแดง น้ำตาไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้
******
ทั้งสองร้องไห้อย่างเงียบๆ เมื่อเดินออกมาจากห้องนั้นพวกนางขอบตาแดงทั้งคู่ แววตาไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความสงสัย ยิ้มแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ฮูหยินหย่งผิงโหวของพวกเราทำให้ฮองเฮาต้องเสียพระทัยอย่างนั้นหรือ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง “ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านโหวจึงมีบุตรยากเช่นนี้”
เมื่อไทเฮาได้ยินแววตาก็กลับมามีความสุขเช่นเดิม “ฮูหยินของท่านโหวมิใช่ว่าอายุยังน้อยอยู่หรอกหรือ อีกไม่กี่ปีก็ดีขึ้นแล้ว หากฮองเฮากังวลมากจริงๆ ข้าเห็นว่าในฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะมีการเลือกสาวงาม มิสู้ให้ฮ่องเต้เลือกคนสวยๆ มามอบให้ท่านโหว คิดว่าฤดูใบไม้ผลิปีถัดไปไท่ฮูหยินก็จะได้อุ้มหลานชายแล้ว”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็พยายามปกปิดความตกใจไว้ในใจ ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ที่นี่ยังมีฮองเฮาและไท่ฮูหยินอยู่ ไม่มีความจำเป็นที่นางจะต้องพูด
เมื่อฮองเฮาได้ฟังก็ถอนหายใจยาว “แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่บุตรของภรรยาเอก จะมีอีกสักกี่คนก็ไม่มีประโยชน์”
ไทเฮาชะงักไปครู่หนึ่ง
ฮองเฮาตรัสกับไท่ฮูหยินว่า “นี่ก็ล่วงเวลาเลยมามากแล้ว อีกสักครู่ฝ่าบาทก็จะมาเสวยพระกระยาหาร ข้าไม่รั้งท่านไว้แล้ว”
ไท่ฮูหยินลุกขึ้นอย่างเงียบๆ คำนับพร้อมสืออีเหนียงแล้วถอยออกไป