ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 160 ตกใจ(ต้น)
สืออีเหนียงส่งสายตาให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นสัญญาณให้นางหลบไปก่อนชั่วคราว แต่กลัวว่านางจะคิดมากจึงรีบเข้าไปอธิบายเสียงเบาว่า “ท่านพ่อของเจ้ากลับมาตอนนี้ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรู้ความ “ท่านแม่รีบไปเถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงแหวกม่านแล้วเดินเข้าไปในห้อง
มีชุนมั่วกับซย่าอีกำลังปรนนิบัติสวีลิ่งอี๋เปลี่ยนชุดในห้องอาบน้ำ
สืออีเหนียงให้คนไปชงชาร้อนๆ แล้วนั่งรอสวีลิ่งอี๋บนเตียงเตาริมหน้าต่างในห้องชั้นใน
สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตาเสร็จอย่างรวดเร็วสวมชุดสีขาวเดินออกมา เสื้อที่เปิดอยู่เผยให้เห็นกล้ามอกที่ดูแข็งแกร่ง
เขาบอกกับชุนมั่วและซย่าอีว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ที่นี่มีฮูหยินคอยปรนนิบัติก็พอแล้ว”
ทั้งสองจึงวางชุดผ้าไหมสีฟ้าไว้บนตั่งนั่ง ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงรู้ว่าเขามีเรื่องจะพูดจึงไล่บ่าวรับใช้ข้างกายของตนออกไปแล้วเข้าไปช่วยเขาแต่งตัว
มองไปยังเส้นผมสีดำเงาที่อยู่ตรงหน้า สูดดมกลิ่มหอมอ่อนๆ ที่ออกมาจากเส้นผม อารมณ์ของสวีลิ่งอี๋พลันสงบลงในทันที เขาไม่อาจจะทำลายความเงียบสงบในเวลานี้ แต่ก็เข้าใจว่าเวลาไม่เคยรอใคร…ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างจนใจว่า “องค์ชายห้าทรงประชวรจนสิ้นพระชนม์ไปเมื่อสามวันก่อนแล้ว”
องค์ชายห้าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แล้วยังเป็นเมื่อสามวันก่อน…เกิดเรื่องอันใดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้กันแน่
คนมักจะมีสัญชาตญาณหวาดกลัวกับอนาคตที่มองไม่เห็น
สืออีเหนียงมือไม้สั่น ผูกปมเข็มขัดสองรอบก็ผูกไม่ได้
“ฮองเฮาทรงสบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
ลูกน้อยจากไปคนเป็นแม่ย่อมเสียใจเป็นที่สุด ในใจของนางนั้นกำลังสับสน จึงเผลอตัวหลุดปากถามเสียงเบาไปตามสัญชาตญาณ
สวีลิ่งอี๋เห็นว่ามือเล็กขาวผ่องของนางสั่นไหวเล็กน้อย ก็รับรู้ได้ว่าในใจของนางนั้นกำลังตื่นตระหนก จึงค่อยๆ กุมมือนางไว้ “พึ่งได้ข่าวเมื่อคืนนี้ ร้องไห้ทั้งคืน วันนี้ฟ้ายังไม่สางก็รีบเดินทางกลับวัง” พูดพลางเอ่ยปลอบใจนางไปด้วย “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้ารู้ข่าวนี้เป็นคนแรกๆ จึงได้เตรียมการไว้แล้ว…”
แต่ว่าในยามนี้ความจริงไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือการตอบสนองของฮ่องเต้
“ฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” นางปล่อยให้เขากุมมือของตัวเองเอาไว้ รู้สึกถึงความอบอุ่นบนฝ่ามือที่ค่อยๆ แผ่ซ่านเข้ามา ตอนนี้นางต้องการสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองสามารถเผชิญหน้ากับพายุที่กำลังจะมาถึงได้อย่างเข้มแข็ง
ดวงตาของสวีลิ่งอี๋ฉายแววชื่นชม
สตรีมักจะซักถามรายละเอียดแล้วเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนไปจนหมด แต่สืออีเหนียงกลับชี้ไปที่ประเด็นสำคัญได้โดยตรง
เขาอดไม่ได้ที่จะสังเกตคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด
คิ้วโค้งดั่งคันศร จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคู่นั้นที่เปล่งประกายสดใส ทำให้ใบหน้าขาวกระจ่างใสดุจหิมะแรกของนางดูสงบนิ่ง ทำให้เขานึกถึงหยกแวววาว สงบเสงี่ยมและงดงาม กลมกลึงดูอ่อนโยน…ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกเบิกบานและสบายใจ
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเขาก็กุมมือนางไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงความนุ่มนวลจากมือนิ่มของนาง
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้จัดพิธีศพเช่นเดียวกันกับเชื้อพระวงศ์” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “กรมพิธีการกำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ พรุ่งนี้ก็น่าจะรู้ผลแล้ว” เสียงของเขาหยุดลงในทันที
บางครั้งฮ่องเต้ก็มักจะทรงทำบางอย่างให้สมดุล…การรับสั่งให้จัดพิธีศพเฉกเช่นเดียวกันกับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะสืบสาวเรื่องนี้ บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงการชดเชยให้เท่านั้น
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็พลันนึกขึ้นได้ว่าสวีลิ่งอี๋น่าจะมีเรื่องที่ต้องการจะพูดกับนาง
ในตอนนี้เวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก นางไม่มีเวลามาเล่นเกมเดาใจกับเขาแล้ว
สืออีเหนียงเอ่ยถามตรงๆ ว่า “ท่านโหวต้องการให้ข้าทำสิ่งใด กำชับมาได้เลยเจ้าค่ะ!”
ฉลาดเฉลียวเสียจริง…
แววตาของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ข้าได้ยื่นป้ายหยกให้กรมพระราชวังไปแล้ว อีกสักครู่เจ้าต้องพาท่านแม่เข้าวังไปพบฮองเฮา”
แม้ว่าสองพี่น้องจะกลับมาจากซีซานด้วยกัน แต่อย่างไรเชื้อพระวงศ์กับขุนนางก็มีความแตกต่างกัน ใช่ว่าจะพบกันได้ทุกเมื่อ
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านโหวมีสิ่งใดที่จะให้ข้าไปบอกกล่าวกับฮองเฮาด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอก” การตอบสนองของภรรยาได้ตอกย้ำความประทับใจของเขาที่มีต่อนางอีกครั้ง สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย “หลายปีมานี้ฝ่าบาทปฏิบัติต่อฮองเฮาอย่างสม่ำเสมอ ประการแรกเป็นเพราะฮองเฮาไม่เคยเข้ามาก้าวก่ายเรื่องการปกครอง ประการที่สองเป็นเพราะฮองเฮาเคารพต่อองค์ฮ่องเต้ในฐานะพระสวามีของนางเสมอ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะความเกรงกลัวในอำนาจของฮ่องเต้ เจ้าจงจำไว้ว่าอย่าให้ฮองเฮาทรงเกิดความคิดอื่นใด ตราบใดที่ฮ่องเต้ให้ความเคารพต่อฮองเฮาเช่นเดิม สกุลสวีของเราก็จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เจ้าเข้าใจหรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้าตอบ “ข้าเข้าใจแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้เป็นประโยชน์ต่อเรา หากฮองเฮารู้สึกคับแค้นใจ ฮ่องเต้ก็มีแต่จะรู้สึกละอายใจ” แต่ในใจกลับรู้สึกเหน็บหนาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
องค์ชายห้าทรงสิ้นพระชนม์ แต่กลับมีเพียงเสด็จแม่ของเขาเท่านั้นที่ร่ำไห้ให้เขา คนอื่นถึงแม้ว่าจะมีน้ำตาแต่ก็ถูกบดบังด้วยแรงกดดันของการอยู่รอดและความปรารถนาในทางโลก…
นางดึงมือออกมาจากฝ่ามือของเขา ช่วยเขาใส่เสื้อตัวนอก “ข้าต้องออกเดินทางเมื่อใดจึงจะเหมาะสมเจ้าคะ”
ทันใดนั้น สวีลิ่งอี๋ก็รู้สึกถึงความว่างเปล่าในฝ่ามือ พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ไม่ได้คิดที่จะสืบเสาะหาต้นเหตุของความรู้สึกและอารมณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะเขายังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ
“ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนจึงจะได้พบฮองเฮา” น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งเป็นอย่างมาก “ทานข้าวก่อนแล้วค่อยไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้อารมณ์ของฮองเฮามั่นคง จะให้เกิดเรื่องขึ้นอีกไม่ได้ ส่วนเรื่องอื่นนั้นข้าจะจัดการเอง!”
สีหน้าของเขาเคร่งขรึม แววตาเย็นเฉียบดุจกระบี่ที่ออกมาจากฝัก ไอเย็นและไอสังหารแผ่ซ่านออกมา
สืออีเหนียงตัวสั่นเทา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักได้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือแม่ทัพที่สั่งการทหารนับหมื่นคน และเป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชน…เพื่อที่จะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป เขาไม่ลังเลที่จะแกว่งดาบตัดเสี้ยนหนามที่อยู่ข้างหน้าเขา
******
เมื่อรู้ข่าวว่าองค์ชายห้าสิ้นพระชนม์แล้ว ไท่ฮูหยินกลับมีท่าทีสงบเสงี่ยมกว่าที่สืออีเหนียงคาดคิดเอาไว้มาก
นางหลับตาลง เอนกายพิงหมอนอิงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย หางตามีหยดน้ำตารินไหลออกมา
ฮูหยินสามที่มาปรนนิบัติไท่ฮูหยินทานอาหารนั้นยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ท่านแม่ เรื่องนี้ใครก็คิดไม่ถึงมาก่อน ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น” สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยิน เขาเอ่ยปลอบไท่ฮูหยินเสียงเบา “ยังดีที่องค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามไม่เป็นอะไร นับว่าเป็นโชคดีในความโชคร้าย”
ไท่ฮูหยินไม่พูดไม่จา
สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงรีบเดินมาแล้วพูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ไม่รู้ว่าฮองเฮาทรงเสียใจมากเพียงใด แล้วยังมีองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสามที่พึ่งจะเสียน้องชายไป ฮองเฮาจะสูญเสียที่พึ่งอีกไม่ได้…”
ไท่ฮูหยินลืมตาขึ้นมาในทันที ดวงตาคมกริบ นางพูดเสียงเบาว่า “ยกอาหารเข้ามาเถิด”
น้ำเสียงฟังดูสงบและมีสติเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คำพูดบางประโยคก็มีเพียงไท่ฮูหยินเท่านั้นที่จะเอ่ยได้…
เวลานี้เป็นช่วงที่อ่อนไหวได้ง่ายที่สุด
เมื่อฮูหยินสามได้ยินดังนี้ก็รีบวิ่งออกไปโดยเร็วปานนักโทษที่พึ่งถูกปล่อยตัวเพื่อไปเรียกสาวใช้
พวกนางทานข้าวอย่างรีบร้อน ฮูหยินสามปรนนิบัติไท่ฮูหยินแต่งองค์ทรงเครื่อง สืออีเหนียงกลับไปเปลี่ยนชุดที่เป็นทางการแล้วก็กลับมาใหม่ พาไท่ฮูหยินไปที่ห้องพระพร้อมกับสวีลิ่งอี๋
นางจุดธูปสามดอกไหว้พระโพธิสัตว์ หลังจากนั้นโขกศีรษะคำนับสามครั้งด้วยความเคารพ ไท่ฮูหยินพนมมือคุกเข่าลงบนเบาะรองแล้วสวดมนต์ขอพรอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไปกันเถิด!”
สืออีเหนียงตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” แล้วเข้าไปพยุงไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ก็ช่วยพยุงไท่ฮูหยินขึ้นรถด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงประตูตะวันออก พึ่งจะลงจากรถม้าก็มีขันทีออกมาต้อนรับ “ไท่ฮูหยิน ท่านมาแล้ว” จากนั้นก็คำนับสืออีเหนียง “ฮูหยิน!”
สืออีเหนียงเพ่งตามอง ก็พบว่าเป็นเหลยกงกง
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เขาต้อนรับทั้งสองคนไปที่พระตำหนักคุนหนิงอย่างนอบน้อม
ตลอดทางมักจะเห็นขันทีและนางกำลังแขวนผ้าขาวอยู่
เมื่อมาถึงพระตำหนักคุนหนิงกลับเห็นนางกำนัลจำนวนมากยืนอยู่ที่สวน เมื่อเห็นพวกนางเดินเข้ามาก็มีขันทีรูปร่างอ้วนท้วมเข้ามาต้อนรับทันที คำนับนางแล้วพูดเสียงเบาว่า “ฝ่าบาททรงประทับอยู่ข้างใน ขอให้ไท่ฮูหยินกับฮูหยินโปรดรอก่อน”
“ขอบคุณเฮ่อกงกง” ไท่ฮูหยินกล่าวขอบคุณขันทีผู้นั้นแล้วยืนรออยู่ที่หน้าประตูกับสืออีเหนียง
เหลยกงกงยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้ “เชิญไท่ฮูหยินนั่งลงรอก่อนเถิด”
ไท่ฮูหยินกล่าวขอบคุณความหวังดี แต่ยังคงยืนอยู่ดังเดิม “จะละเว้นกฎไม่ได้”
ขณะที่กำลังพูดคุยก็มีขันทีน้อยออกมาจากห้องหน่วนเก๋อทางทิศตะวันออก “ฮ่องเต้ทรงเรียกพบไท่ฮูหยินและฮูหยินจวนหย่งผิงโหว” โค้งคำนับเชิญทั้งสอง “ไท่ฮูหยินและฮูหยินโปรดตามข้ามา”
เมื่อเหลยกงกงได้ยินดังนั้นก็รีบพาทั้งสองคนเข้าไปในพระตำหนักทันที
สืออีเหนียงไม่กล้ามองสำรวจ ก้มหน้าก้มตาประคองไท่ฮูหยินเข้าไปในพระตำหนัก เดินเข้าไปโขกศีรษะคำนับตามไท่ฮูหยิน
มีชายผู้หนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “จัดเตรียมที่นั่งให้ไท่ฮูหยิน”
สืออีเหนียงรู้ว่าคนที่พูดคือฮ่องเต้ นางจึงระมัดระวังมากขึ้น ไม่กล้าแม้แต่จะเอียงศีรษะ นางจ้องมองไปที่พรมสีแดงสะพรั่งที่อยู่ใต้เท้าของนาง
ทันใดนั้นนางกำนัลก็ยกเก้าอี้จิ่นอู้มาทันที
ไท่ฮูหยินไม่กล้าแม้แต่จะพูด
“ที่นี่มีแต่คนกันเอง ไท่ฮูหยินไม่ต้องพิธีรีตองมากมาย”
ไท่ฮูหยินกล่าวขอบพระทัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้
สืออีเหนียงรีบไปยืนอยู่ข้างหลังไท่ฮูหยิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของฮองเฮา “ข้าทำให้ท่านต้องกังวลใจไปด้วย”
“ฮองเฮาโปรดรักษาสุขภาพด้วยเพคะ” ไท่ฮูหยินสะอึกสะอื้นพูดต่อไปไม่ได้
สืออีเหนียงได้ยินเสียงร้องไห้เบาๆ จากฮองเฮา
“ลิ่งเฉิน” ฮ่องเต้เกลี่ยกล่อมฮองเฮาเบาๆ “เจ้าร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน ระวังดวงตาจะอักเสบ ยังมีองค์ชายอีกสองพระองค์ที่เจ้าต้องดูแล แล้วยังมีหกพระตำหนักที่เจ้าต้องคอยจัดการ…ยิ่งไปกว่านั้นไท่ฮูหยินก็อยู่ที่นี่ หากเจ้าเป็นเช่นนี้ไท่ฮูหยินก็จะโศกเศร้าตามไปด้วย”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังเช่นนี้ ก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาที่หางตา
ทุกคนล้วนโศกเศร้า หากนางมีท่าทีนิ่งเฉยเกินก็ย่อมไม่ดี เทียบกับองค์ชายห้าที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนแล้วนางเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋มากกว่า ไม่รู้ว่าเขาจะต้องทำเรื่องใดบ้าง ไม่รู้ว่าสกุลสวีจะผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
เมื่อฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็ค่อยๆ กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้รินไหลออกมา
“ที่นี่มีไท่ฮูหยินอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ส่วนเราจะกลับไปพระตำหนักเฉียนชิงก่อน ยังมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับกรมพิธีการ” ขณะที่ฮ่องเต้กำลังตรัส สืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงเสียดสีกันของเสื้อผ้า “เจ้าอย่าลุกขึ้นเลย” ฮ่องเต้ตรัสต่อว่า “พักผ่อนสักหน่อยเถิด อีกสักครู่ข้าจะมาหาเจ้า”
หรือว่าฮองเฮาจะทรงโศกเศร้าจนต้องนอนบนเตียงลุกไม่ไหวแล้ว…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็หันไปตามทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว
หลังผ้าม่านห้ามังกรสีเหลืองสดใส มีฮองเฮานอนอยู่บนเตียงจริงๆ ชายรูปงามร่างสูงใหญ่กำลังเก็บปลายผ้าห่มให้นาง
“หม่อมฉันจะหลับลงได้อย่างไรเพคะ…” ก่อนที่ฮองเฮาจะพูดจบฮ่องเต้ก็ถอนหายใจ “ลิ่งเฉิน วันนี้ถือว่ายกเว้นกฎหนึ่งครั้ง…ในใจของเราช่าง…” จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินผ่านสืออีเหนียงออกไปราวกับสายลม
สืออีเหนียงพึ่งจะกล้าเงยหน้าขึ้นมา เห็นฮองเฮานอนซบหมอนอิงร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อไท่ฮูหยินเห็นก็ร้องไห้ตามไปด้วย สืออีเหนียงจึงรีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินรับผ้าเช็ดหน้ามา ร้องไห้พลางพูดเสียงเบาว่า “สงสารองค์ชายใหญ่กับองค์ชายสาม คนหนึ่งกำลังรีบเดินทางมาด้วยใจที่ร้อนดั่งไฟ อีกคนก็ได้แต่มองเสด็จแม่ที่กำลังโศกเศร้าเสียพระทัย…”