ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 16 สถานการณ์ (ปลาย)
อู่เหนียงเอางานมาส่งตั้งนานแล้ว วันๆ จึงเอาแต่อยู่ที่เรือนนายหญิงใหญ่ ตอนที่พวกหู่พั่วไปนางก็ไม่ได้อยู่ที่เรือนตัวเอง
คนที่ต้อนรับพวกนางคือจื่อเวย
นางยกชามาให้ทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม “นานๆ ทีน้องหู่พั่วจะมา” มีความสนิทสนมแค่ในน้ำเสียงแต่กลับไม่มีความเคารพ
เมื่อก่อนหู่พั่วเป็นคนของนายหญิงใหญ่ ตอนนี้เป็นคนของสืออีเหนียง…ทุกคนจึงเท่าเทียมกัน
ไม่…ความสำคัญของคุณหนูสิบเอ็ดเมื่ออยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่จะเทียบเท่าคุณหนูห้าได้อย่างไร!
ใช่ว่าหู่พั่วจะฟังไม่เข้าใจ
แต่นี่แหละคือความสัมพันธ์ของมนุษย์…
นางยิ้มเจื่อน “เดิมทีอยากจะให้คุณหนูห้าช่วยพวกเราคิด แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณหนูห้าไปหานายหญิงใหญ่”
จื่อเวยประหลาดใจเล็กน้อย
หู่พั่วอธิบายว่า “เจ้าก็รู้ว่าช่วงนี้คุณหนูของพวกเราไม่ออกไปไหน เอาแต่จดจ่ออยู่กับการปักม่านกันลม แต่ว่าเช้าวันนี้นายหญิงใหญ่ได้เรียกให้ช่างทำเสื้อมาวัดขนาดเสื้อผ้าคุณหนูสิบเอ็ด เสื้อข้างในสี่ตัว เสื้อกั๊กยาวหกตัว กระโปรงสี่ตัว กระโปรงยาวตัวหนึ่งตัว กระโปรงเย่ว์หวาหนึ่งตัว แล้วยังมีเสื้อข้างในอีกสี่ตัว กางเกงข้างในสี่ตัว รองเท้าหกคู่ ถุงเท้าสิบสองคู่…เมื่อก่อนพี่ตงชิงเป็นคนดูแลเรื่องนี้ ครั้งนี้พี่ตงชิงต้องช่วยคุณหนูสิบเอ็ดทำงานปัก ข้าจึงไม่อยากรบกวน คิดว่าคุณหนูห้าเป็นคนที่รสนิยมดีที่สุด เวลาที่นายหญิงใหญ่ทำเสื้อผ้าใหม่ก็จะให้คุณหนูห้ามีส่วนร่วมด้วย ข้าจึงอยากให้คุณหนูห้าช่วยข้าคิดสักหน่อย”
จื่อเวยมองหู่พั่วที่มีท่าทางภาคภูมิใจ ยิ้มอย่างเย็นชาในใจ
นางมาขอความคิดเห็นเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามาเพื่ออวดต่างหาก!
“เช่นนั้นก็ทำตามคุณหนูของข้าก็ได้” จื่อเวยสีหน้าเรียบเฉย “เช้าวันนี้ช่างเย็บผ้าก็มาที่เรือนเจียวหยวนเช่นกัน บอกว่ามาทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิให้คุณหนูห้าตามคำสั่งของนายหญิงใหญ่ ทั้งหมดก็มีเสื้อข้างในสี่ตัว เสื้อกั๊กยาวหกตัว กระโปรงสี่ตัว กระโปรงยาวหนึ่งตัว กระโปรงเย่ว์หวาหนึ่งตัว แล้วยังมีเสื้อข้างในอีกสี่ตัว กางเกงสี่ตัว รองเท้าหกคู่ ถุงเท้าสิบสองคู่เช่นกัน ที่คุณหนูของพวกเราไปพบนายหญิงใหญ่ก็เพราะเรื่องนี้ ประการแรกเพื่อต้องการจะคำนับขอบคุณนายหญิงใหญ่ ประการที่สองก็เพราะอยากฟังความคิดเห็นของนายหญิงใหญ่ว่าจะใช้เนื้อผ้าและสีแบบไหนดี” นางกล่าวพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้วน้องหู่พั่วเคยรับใช้นายหญิงใหญ่ และยังได้ดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับ การออกความคิดเห็นเรื่องเสื้อผ้าของคุณหนูสิบเอ็ด ก็ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงไม่ใช่หรือ”
ปินจวี๋ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ทุกคนต่างพากันบอกว่าหู่พั่วมีนิสัยอ่อนโยนและซื่อสัตย์ไม่ใช่หรือ
ทำไมพอมาอยู่ที่หอลู่จวินจึงได้พูดจาโอ้อวดเช่นนี้!
“พวกเราก็แค่อยากจะถามคุณหนูห้าว่านางเลือกสีอะไรน่ะเจ้าค่ะ” ปินจวี๋ยิ้มแล้วสนทนาต่อ ไม่อยากให้หู่พั่วพูดอะไรที่ทำให้คนอื่นต้องขุ่นเคืองอีก “ทุกคนจะได้ไม่ทำซ้ำสีกัน หากเป็นเช่นนั้นจะไม่สวยงาม”
ก็จริง…
เมื่อความคิดวาบเข้ามาในหัว จื่อเวยจึงยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ตามความคิดคุณหนูของข้า เสื้อข้างในเป็นสีขาวนวลจันทร์ สีแดงเข้ม สีเขียวอ่อน และสีเหลืองขมิ้น แขนและตัวเสื้อกั๊กใช้สีแดงกุหลาบหนึ่งตัว สีแดงดอกหลิวหนึ่งตัว สีแดงเข้มหนึ่งตัว สีม่วงองุ่นหนึ่งตัว สีเขียวใบหญ้าหนึ่งตัว สีชมพูอ่อนหนึ่งตัว ส่วนกระโปรง เลือกด้ายกระโปรงเป็นสีขาว สองตัวเย็บริมอีกสองตัวไม่เย็บริม กระโปรงยาวใช้สีถั่วเขียว กระโปรงเย่ว์หวาใช้สีม่วงเข้ม ส่วนเสื้อข้างใน กางเกงข้างใน รองเท้าและถุงเท้าก็สีเดียวกันกับปกติที่ใส่อยู่”
นางพูดไป ปินจวี๋ก็แอบจำไปด้วย
“คุณหนูของข้ายังอยากจะทำที่รัดหน้าอกอีกสองตัว และกระโปรงเย่ว์หวาอีกสองตัว” จื่อเวยตาเป็นประกาย “นายหญิงใหญ่ได้สั่งให้สะใภ้หลิวช่วยทำให้เป็นพิเศษ”
สะใภ้ของตระกูลหลิวเป็นช่างเย็บปักถักร้อยที่ฝีมือดีที่สุดในจวนสกุลหลัว
“จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะว่าคุณหนูของข้าไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่เย็บปักถักร้อยที่หาได้ยากในหังโจวอย่างคุณหนูสิบเอ็ด” จื่อเวยปิดปากแล้วหัวเราะ “มิเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนสะใภ้หลิว นางเป็นถึงสาวใช้ที่มากับนายหญิงใหญ่ตอนแต่งเข้ามา”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการบอกพวกนางว่าสิ่งที่คุณหนูสิบเอ็ดมีคุณหนูห้าของพวกนางก็มีเหมือนกัน และสิ่งที่คุณหนูห้าของพวกนางมี แต่ว่าคุณหนูสิบเอ็ดอาจจะไม่มี
ปินจวี๋หน้าเขียว แต่กลับไม่โทษที่จื่อเวยพูดจาทิ่มแทง แต่โทษหู่พั่วที่ไปป่าวประกาศให้คนอื่นรู้
“คุณหนูห้ากับคุณหนูของพวกเรามีอาจารย์ศิลปะคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าคุณหนูของพวกเรารักงานเย็บปักถักร้อยมากกว่า แต่คุณหนูของพวกเจ้ารักการเขียนตัวอักษรมากกว่าก็เท่านั้น” นางยิ้มแล้วพูดสรรเสริญเยินยออู่เหนียง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วกล่าวลา “เจ้าเองก็ยุ่งอยู่ พวกเรายังต้องไปช่วยคุณหนูสิบเอ็ดเลือกเนื้อผ้ากับสีผ้า ต้องขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ”
จื่อเวยไม่ได้รั้งพวกนางไว้ เดินออกไปส่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ระหว่างทางปินจวี๋นึกถึงที่มาของหู่พั่ว จึงต้องระงับความโกรธแล้วพูดกับหู่พั่วอย่างอ้อมค้อมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “คุณหนูของพวกเราเป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด เมื่อมีอะไรดีๆ ก็จะให้พี่ๆ น้องๆ ก่อน โดยเฉพาะของกินของใช้ ไม่เคยไม่พิถีพิถันและไม่ให้ความสำคัญ”
เมื่อหู่พั่วได้ฟังจึงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง คิดไม่ถึงว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจพูดออกมาจะทำให้พี่จื่อเวยต้องขุ่นเคือง นางคงไม่โทษพวกเราหรอกนะ” คำพูดที่พูดออกมากลับไม่ได้แสดงถึงความกังวลเลยแม้แต่นิด
ปิ่นจวี๋รู้ว่านางไม่ได้ใส่ใจคำพูดของตัวเอง จึงได้แต่แอบถอนหายใจในใจ
ตัวเองไม่มีสิทธิ์ไปว่านาง แต่คุณหนูควรมีสิทธิ์ว่านางไม่ใช่หรือ! แต่ว่าสิ่งสำคัญที่คุณหนูต้องทำตอนนี้คือปักม่านกันลม จะทำให้นางต้องเป็นกังวลในตอนนี้ได้อย่างไร รอให้ม่านกันลมนี้ปักเสร็จก่อนแล้วค่อยพูดก็แล้วกัน หากไม่ไหวจริงๆ นับจากนี้ตัวเองก็แค่จับตาดูนางก็พอ
เพียงเวลาไม่นานทั้งสองก็เดินมาถึงศาลาทางเดิน
หู่พั่วยิ้มให้ปินจวี๋แล้วพูดว่า “หากพี่ปินจวี๋มีเรื่องต้องทำก็กลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปหาสะใภ้หลิวสักหน่อย”
ปินจวี๋ประหลาดใจ “เจ้าจะไปทำอะไร”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะช่วยคุณหนูเลือกเนื้อผ้ากับสี หากไม่ไปดูว่าสะใภ้หลิวมีเนื้อผ้ากับสีอะไรบ้าง แล้วจะช่วยคุณหนูเลือกได้อย่างไร”
ปินจวี๋รีบร้อนขึ้นมา “เจ้าก็รู้ว่าข้าพูดเป็นมารยาทเฉยๆ เจ้าจะจริงจังไปทำไม คนในเรือนของเราไม่เคยออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก หากเจ้ามีเรื่องอะไร อีกสักครู่ไปรายงานคุณหนูแล้วค่อยว่ากัน”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูกำลังตั้งใจปักม่านกันลม พวกเราจะไปรบกวนคุณหนูด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร” ไม่รอให้ปินจวี๋พูดอะไรต่อก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก “พี่ปินจวี๋วางใจได้ ข้าไปสักครู่เดียวเดี๋ยวก็กลับมาเจ้าค่ะ”
ปินจวี๋กระทืบเท้า รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วลากนางกลับไปที่หอลู่จวิน “ข้าไม่ได้จะขวางเจ้า เพียงแต่ว่าต้องไปรายงานคุณหนูก่อน!”
******
สืออีเหนียงกำลังปักกระเป๋าอยู่ที่นั่น
ตงชิงก็กำลังปักกระเป๋าเหมือนกับสืออีเหนียง
นางปักไปบ่นไป “ทุกคนรู้ว่าปีนี้ท่านต้องรีบปักม่านกันลม ต่อให้ท่านไม่ปักกระเป๋าให้ก็ไม่มีใครตำหนิว่าท่านไม่มีมารยาทหรอกเจ้าค่ะ”
ตั้งแต่งานปักของสืออีเหนียงประสบความสำเร็จเล็กน้อย ทุกปีก่อนถึงเทศกาลฤดูใบไม้ผลินางก็จะปักกระเป๋าจำนวนมาก เมื่อถึงช่วงเย็นของวันส่งท้ายปีเก่าก็จะมอบให้แก่ญาติๆ สกุลหลัวที่มาสักการะบรรพบุรุษ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “เป็นเพราะว่าข้าปักม่านกันลมจนเหนื่อยแล้ว จึงอยากจะมาทำอย่างอื่นบ้างก็เท่านั้น”
ตงชิงวางงานในมือลงแล้วจะพยุงนางขึ้นไปนอนบนเตียง “ถ้าเหนื่อยก็พักเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงกำลังจะปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม สาวใช้น้อยก็มารายงานว่าหู่พั่วกับปินจวี๋มาแล้ว
ทั้งสองประหลาดใจเล็กน้อย รีบหุบยิ้มในทันที สืออีเหนียงไปนั่งอยู่หน้าสะดึงปักผ้า ส่วนตงชิงเดินไปเปิดผ้าม่าน “มีอะไร”
ปินจวี๋กับหู่พั่วเดินเข้ามา บอกเรื่องที่ว่าหู่พั่วจะไปหาสะใภ้หลิวเพื่อเปลี่ยนเนื้อผ้าและสีเสื้อผ้าที่สืออีเหนียงตัดสินใจไว้เรียบร้อยแล้วในตอนเช้า
สืออีเหนียงมองดูหู่พั่วที่สีหน้าแสดงออกถึงความใจกว้าง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามนางว่า “ทำไมต้องแก้หรือ”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูเป็นคนสัดส่วนเล็ก ผิวขาวเนียนละเอียดและบอบบาง บ่าวแค่อยากจะเลือกผ้าไหมนุ่มๆ และสีที่เรียบหรูมาทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิให้คุณหนูเจ้าค่ะ…”
ไม่รอให้นางพูดต่อ สืออีเหนียงพยักหน้า “เดิมทีเจ้าเคยเป็นผู้ดูแลเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้ท่านแม่ ย่อมมีรสนิยมดีกว่าพวกเราเป็นธรรมดา เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจก็แล้วกัน”
หู่พั่วยิ้มตอบรับแล้วเดินจากไป
ปินจวี๋ถอนหายใจ “คุณหนู ท่านรู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิของคุณหนูห้าครั้งนี้เลือกใช้แต่สีที่สดใส หากพวกเราทำตามที่หู่พั่วบอก เลือกใช้แต่สีที่นุ่มนวลสง่างาม จะไม่เป็นการขัดแย้งกับคุณหนูห้าหรือเจ้าคะ นี่เป็นสิ่งที่ท่านไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ประหลาดใจ ถามปินจวี๋ว่า “พี่ห้าเลือกสีอะไรบ้าง”
ปินจวี๋พูดให้ฟังอย่างละเอียด
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็หัวเราะ “เจ้ามีอะไรต้องกังวล อย่าลืมสิว่าเรื่องนี้ให้หู่พั่วเป็นคนตัดสินใจทั้งหมด”
ปินจวี๋เข้าใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม
นางพูดอย่างลังเลว่า “แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้นางเป็นคนในเรือนของพวกเราแล้ว เราจะปล่อยให้นางสร้างปัญหาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็หัวเราะ “นางไม่สร้างปัญหาหรอก”
ปินจวี๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตงชิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือต้องปักม่านกันลมให้ทันเวลา ส่วนเรื่องอื่นๆ เอาไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถิด”
นางไม่ได้พูดอะไรต่อ ย่อเข่าคำนับแล้วเดินถอยออกไป แต่ลึกๆ ในใจก็ยังปล่อยวางไม่ได้ นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่นฟังการเคลื่อนไหวจากด้านนอกเพื่อที่ต้องการจะถามถึงสถานการณ์ที่หู่พั่วไปหาสะใภ้หลิว
ไม่นานนางก็ได้ยินป้าซินกำลังทักทายใครสักคน “แม่นางหู่พั่วกลับมาแล้วหรือ”
ปินจวี๋ลุกขึ้นมาจัดชายเสื้อให้เรียบร้อย แล้วนั่งรอหู่พั่วเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา แต่กลับผ่านประตูไป
ปินจวี๋รู้สึกประหลาดใจ
ลุกขึ้นเปิดผ้าม่านมองดูข้างนอก
เห็นว่าหู่พั่วเดินเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง
ห้องนั้นมีบันไดขึ้นไปที่เรือนของสืออีเหนียง
หรือว่านางต้องการจะไปหาคุณหนูสิบเอ็ด
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัวนางก็แอบตกใจ คิดถึงคำที่หู่พั่วพึ่งจะคุยที่เรือนของอู่เหนียง นางยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเดาไว้ไม่ผิดแน่นอน
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ปินจวี๋ก็เดินตามไป
พึ่งจะขึ้นบันไดได้ไม่กี่ขั้นนางก็ได้ยินเสียงของหู่พั่ว “…แค่ถุงเท้าก็ทำไปแล้วสิบสองคู่”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงตอบรับอย่างกระตือรือร้นของไป่จือ “ตอนที่คุณหนูสิบเอ็ดวัยกำลังโต ไม่เหมือนกับคุณหนูของพวกเรา ทุกปีจะต้องทำเสื้อผ้าสองสามหีบ เสื้อผ้าในหีบแน่นจนเอามือเสียบเข้าไปไม่ได้”
“มีใครบ้างล่ะที่จะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่กันเจ้าคะ” หู่พั่วหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ก็เพียงแค่อยากจะเพิ่มชุดใหม่ให้ตัวเองสักสองสามชุดก็เท่านั้น”
“ใช่แล้ว” เสียงของไป่จือค่อนข้างไม่เต็มใจ “เพียงแต่ว่าคุณหนูของพวกเราไม่เหมือนคนอื่น หากจะทำเสื้อผ้าไม่สู้ไปซื้อหนังสือสักสองสามเล่มให้นางมีความสุข”
“หมายความว่าครั้งนี้ไม่ได้ทำเสื้อผ้าให้คุณหนูสิบอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของหู่พั่วแอบแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
เมื่อปินจวี๋ได้ฟังก็โกรธเป็นอย่างมาก ตะโกนเรียกหู่พั่วอยู่ข้างล่างหอ “คุณหนูกำลังรอให้เจ้ากลับไปรายงานอยู่นะ”
หู่พั่วไม่ได้พูดอะไรต่อ ยิ้มแล้วเดินลงมาข้างล่างหอ
ปินจวี๋ขอโทษไป่จือด้วยสีหน้าละอายใจ “นางเป็นคนของนายหญิงใหญ่…”
ไม่รอให้นางพูดจบ ไป่จือก็จับมือนาง “เจ้าไม่ต้องพูดอะไร ข้ารู้อยู่แก่ใจ”
“อาจเป็นเพราะว่าช่างเย็บผ้ามีเรื่องมากมาย จึงต้องค่อยๆ แบ่งทำ” นางอดไม่ได้ที่จะปลอบใจไป่จือ “ผ่านไปสองวันช่างเย็บผ้าก็จะมาวัดขนาดให้คุณหนูสิบ”
ไป่จือยิ้มแห้ง “การทำเสื้อผ้าให้คุณหนูในจวนนั้นเป็นเรื่องที่กำหนดไว้อยู่แล้ว ข้าไม่เห็นต้องกลัวว่าพวกเขาจะไม่ทำเสื้อผ้าให้คุณหนูสิบ เพียงแต่ว่าคุณหนูสิบเป็นพี่ แต่กลับไปทำให้คุณหนูสิบเอ็ดก่อน…เดิมทีพวกเราก็ลำบากอยู่แล้ว เกรงว่าชีวิตต่อจากนี้คงจะลำบากมากกว่าเดิม”