ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 158 ชวนเชิญ(กลาง)
เมื่อใกล้ถึงยามโหย่ว สวีซื่อฉิน สวีซื่อวี้และสวีซื่อเจี่ยนก็ทยอยมาถึงแล้ว
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองดูพวกเขาสามคน จากนั้นก็มองดูสืออีเหนียงที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ทันใดนั้นนางก็เข้าใจทันที ไม่แปลกที่ท่านลุงสามและท่านป้าสามอยู่เล่นไพ่กับไท่ฮูหยิน…
นางยังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง สวีซื่อเจี่ยนก็ตะโกนเสียงดัง “เรือนของพี่หญิงสวยมากเลยขอรับ”
สวีซื่อฉินก็เดินมาแสดงความยินดีกับเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ขอแสดงความยินดีกับน้องหญิงที่ได้ย้ายเรือนใหม่” จากนั้นก็มอบบทกลอนคู่ที่เขียนขึ้นด้วยตัวเองให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นของขวัญ สวีซื่ออวี้มอบพิณสีขาวให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ สวีซื่อเจี่ยนเห็นเช่นนี้ก็หยิบของขวัญของตัวเองออกมา มันคือชามสีเหลืองฐานสีแดงคู่หนึ่ง
“เป็นเช่นไร” เขาพูดอย่างภาคภูมิใจ “แบบใหม่ของกรมราชกิจภายในปีนี้ สวยหรือไม่” จากนั้นก็มองไปที่จุนเกอ “พี่หญิงย้ายเรือน เจ้านำของขวัญใดมา”
เรื่องนี้เดิมทีก็ปิดบังจุนเกออยู่ เขาจะเตรียมของขวัญมาได้เช่นไร
เมื่อได้ยินสวีซื่อเจี่ยนพูดเช่นนี้ เขาจึงหน้าแดง ตาแดง ท่าทางเหมือนจะร้องไห้
สืออีเหนียงหยิบที่ทับกระดาษออกมาอย่างใจเย็น “นี่ไม่ใช่ของขวัญจากจุนเกอหรอกหรือ”
จุนเกอเห็นเช่นนี้ ก็รีบวิ่งเข้าไปหยิบที่ทับกระดาษนั้นมาไว้ในอ้อมแขน “นี้คือของขวัญที่ข้านำมาให้พี่หญิง”
แน่นอนว่าสวีซื่อเจี่ยนรู้ว่านี่ไม่ใช่ของขวัญที่จุนเกอเตรียมมา แต่เขาแค่หยอกล้อจุนเกอเล่น จึงเสแสร้งทำเป็นมองแล้วพูดว่า “ไม่ดีเท่าของข้า ของของเจ้าเป็นแบบเก่า”
จุนเกอได้ยินเช่นนี้ก็เบะปาก มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่น้อยใจ ทำท่าทีราวกับบอกว่าให้สืออีเหนียงรีบช่วยเขา
สืออีเหนียงจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่ารูปแบบจะไม่ใช่แบบใหม่ แต่ว่านี่คือผลึกแก้ว งดงามโปร่งแสง นับว่าเป็นของชั้นดี”
จุนเกอรีบพูด “ใช่ ใช่ ใช่ เป็นของชั้นดี”
สวีซื่อเจี่ยนกำลังอยากจะพูดอะไร สืออีเหนียงเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้มันคงจะไม่จบลงเสียที นางจึงยิ้มและอุ้มจุนเกอ “พี่ใหญ่นำบทกลอนคู่มาให้ เรานำมันไปแขวนไว้ดีกว่า จะได้ดูรื่นเริงมากขึ้นไปอีก”
จุนเกอกอดคอสืออีเหนียงแล้วตะโกนเสียงดัง “เราไปแขวนบทกลอนคู่กันเถิด ปีใหม่แล้ว เราต้องไปแขวนบทกลอนคู่”
“นี่คือบทกลอนคู่ที่เอาไว้ฉลองที่พี่หญิงย้ายเรือน” สืออีเหนียงแก้ไขให้เขา “ไม่ใช่บทกลอนคู่ปีใหม่”
นางพูดพร้อมกับอุ้มจุนเกอเดินออกไป
สาวใช้ที่มีไหวพริบยกเก้าอี้มาตั้งนานแล้ว กางบทกลอนคู่ออกแล้วแขวนไว้ที่ประตู
ท่อนบนคือ ‘ในเรือนเต็มไปด้วยดอกสาลี่’ ท่อนล่างคือ ‘ห้องโถงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม’
บทกลอนคู่ดูธรรมดาแต่ตัวหนังสือกลับดูทรงพลัง แสดงให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานเป็นอย่างดี ทำให้สืออีเหนียงแปลกใจอยู่ไม่น้อย
“คุณชายน้อยใหญ่เขียนด้วยตัวอักษรที่อิงจากบทประพันธ์ ‘พระราชวังจิ่วเฉิง’ ของโอวหยางสวิน[1]ใช่หรือไม่”
สวีซื่อฉินตอบด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เขียนไม่ค่อยดี ทำให้ท่านป้าสี่หัวเราะเยาะแล้วขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ดูกระจัดกระจายแต่ก็มีความเรียบง่ายและดูมีทักษะ”
สวีซื่อฉินตกใจ
“เช่นนั้นท่านแม่คิดว่า มันมีข้อบกพร่องอันใดขอรับ” จู่ๆ สวีซื่ออวี้ที่เงียบอยู่ตลอดก็มีสายตาเป็นประกาย
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา “ตัวอักษรของโอวหยางสวินต้องกลมดูอ่อนโยน ส่วนแนวตั้งและแนวนอนนั้นมีความแข็งแกร่ง แต่คุณชายน้อยใหญ่เป็นคนตรงไปตรงมา มีความแข็งแกร่งมากพอแต่ความอ่อนโยนไม่พอ”
สวีซื่อฉินตกใจ “ท่านอาจารย์ก็พูดเช่นนี้ขอรับ”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้พูดอะไร เขามองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
สืออีเหนียงไม่ได้สนใจสวีซื่ออวี้
สำหรับเด็กที่มีความคิดอ่านในใจอย่างเขา วิธีที่ดีที่สุดคือนิ่งไว้
นางยิ้มแล้วพูดกับสวีซื่อฉิน “การเขียนตัวอักษรไม่ใช่เรื่องง่าย คุณชายน้อยใหญ่ใช้เวลาฝึกฝนอีกสักเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็ก้าวหน้า”
สวีซื่อฉินพยักหน้าซ้ำๆ
ข้างนอกอากาศหนาว แล้วยังพาพวกเด็กๆ มาด้วย สืออีเหนียงจึงรีบเดินเข้ามาข้างใน “วันนี้มีพระกระโดดกำแพง ใช้หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล ครีบฉลาม กระเพาะปลา…” หันหน้ากลับไปก็เห็นเจินเจี่ยเอ๋อร์มองมาที่ตัวเองด้วยแววตาที่สดใส
“มีเรื่องอันใดหรือ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยถามนาง
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มและส่ายหน้า แต่สวีซื่อเจี่ยนที่อยู่ข้างๆ กลับพูดว่า “ท่านป้าสี่เก่งจริงๆ เลยขอรับ นอกจากเย็บปักถักร้อยแล้วยังรู้เรื่องการเขียนพู่กัน”
เห็นสีหน้าที่ตกใจของเขา สืออีเหนียงกลับรู้สึกว่าตัวเองสบายใจขึ้นมาก นางหยอกล้อเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเชี่ยวชาญสิ่งใดมากที่สุด”
ทันทีที่นางพูดจบ ในห้องก็เงียบสงัด แม้แต่เสียงของหิมะที่ตกลงมาจากยอดต้นไม้ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
สวีซื่อเจี่ยนส่ายหน้าแต่กลับเอ่ยปากตอบอย่างไม่ยอมแพ้ “ทำอาหารหรือขอรับ”
สืออีเหนียงเหลือบมองสวีซื่ออวี้
เขากำลังมองมาที่นางด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
สืออีเหนียงพูดอย่างจริงจัง “ข้าเชี่ยวชาญเรื่องการเขียนคำร้องมากที่สุด”
สวีซื่อเจี่ยนได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา “ท่านป้าสี่ช่างเป็นคนตลก”
สวีซื่อฉินก็หัวเราะ “น้องสามเจอคู่ต่อสู้แล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มแล้วจับมือจุนเกอ เตรียมเดินเข้าไปข้างในกับสืออีเหนียง
มีเพียงสวีซื่ออวี้ ที่มองสืออีเหนียงอย่างจริงจัง
สืออีเหนียงแอบหวั่นใจเล็กน้อย
เด็กคนนี้ช่างระแวดระวังและรอบคอบเหลือเกิน
ตามสัญชาตญาณแล้ว นางไม่ค่อยชอบเขา
นางรู้สึกว่าเขามักจะซุ่มตัวแอบมองคนอื่นอยู่ในความมืดตลอดเวลา แต่คนอื่นกลับมองเห็นแค่สายตาที่คลุมเครือของเขาเท่านั้น
“เอาล่ะ เอาล่ะ” ป้าตู้ก็กลัวว่าเด็กๆ จะเป็นหวัด “รีบเข้าไปข้างในกันเถิด อาหารเย็นหมดแล้ว”
ทุกคนยิ้มแล้วเดินเข้ามาในเรือน เดินไปนั่งที่ห้องทางทิศใต้
ที่นั่นมีโต๊ะวางอยู่แล้ว สืออีเหนียงจัดแจงให้พวกเขานั่งลง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไปสนุกกับไท่ฮูหยิน ส่วนเด็กๆ อย่างพวกเจ้าก็สนุกกันอยู่ที่นี่เถิด”
ทุกคนตกใจ เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดอย่างไม่สบายใจ “ท่านแม่ ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านทานข้าวกับพวกเราแล้วค่อยไปเถิดเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ชอบเสียงดัง ข้าไม่ยอมอยู่ฟังพวกเจ้าเอะอะโวยวายที่นี่หรอก” นางยืนกรานที่จะไปหาไท่ฮูหยิน ให้ที่ว่างสำหรับพวกเขา ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเจ้าภาพต้อนรับพวกเขา
ไท่ฮูหยินกำลังทานข้าวกับคุณชายสามและฮูหยินสาม เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามานางก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“แม้แต่ท่านแม่ก็ยังปลีกตัว ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มและถอดเสื้อคลุมออก
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่อย่างเจ้าช่างใจกว้างเสียจริง!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ฉินเกอใจดีมีเมตตา อวี้เกอเฉลียวฉลาด เจี่ยนเกอกล้าหาญ เจินเจี่ยเอ๋อร์รู้ความ ส่วนจุนเกอไร้เดียงสา ยิ่งไปกว่านั้น มีป้าตู้และป้าเถาคอยดูแลอยู่” พูดจบนางก็ย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยิน คุณชายสามและฮูหยินสาม
คุณชายสามและฮูหยินสามได้ยินสืออีเหนียงชื่นชมบุตรชายของตัวเอง พวกเขาก็ยิ้มหน้าบาน
ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ทานข้าวแล้วหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “จึงรีบมาหาท่าน ประเดี๋ยวจะมือเปล่าทั้งสองที่”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็รีบบอกให้คนยกเก้าอี้เข้ามาเพิ่ม จัดจานชาม บอกให้เว่ยจื่อไปบอกที่โรงครัว “…ทำปลาเจาให้ฮูหยินสี่ นางชอบทานที่สุด!”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน บอกให้หู่พั่วไปดูสถานการณ์ที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ก่อน จากนั้นถึงได้นั่งลงทานข้าวกับไท่ฮูหยิน ทานไปได้ครู่หนึ่ง หู่พั่วก็กลับมารายงาน “…คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยกำลังทานข้าวกันอย่างมีความสุขเจ้าค่ะ บอกให้โรงครัวส่งมันฝรั่งไป บอกสาวใช้ให้เผาถาดไฟ บอกว่าจะเผามันฝรั่งทานกัน”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “หากลวกโดนตัวเองเข้าจะทำเช่นไร ไม่ได้เป็นอันขาด” พูดจบก็รีบลุกขึ้นจะไปดู
ไท่ฮูหยินเรียกนางเอาไว้แล้วถามหู่พั่ว “ท่านป้ากับสาวใช้อยู่ด้วยหรือไม่”
หู่พั่วรีบพูด “ป้าตู้และป้าเถาคอยเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ห่างเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยก็ไม่ได้ไล่สาวใช้ออกไปเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “ล้วนแต่รู้ความ” จากนั้นเขาก็บอกหู่พั่ว “เจ้าไปคอยดูอยู่ที่นั่น หากมีเรื่องอันใดก็รีบมารายงานให้พวกเราฟัง”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
“เด็กๆ กระโดดโลดเต้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องกระต่ายตื่นตูม” ไท่ฮูหยินพูดกับฮูหยินสามเบาๆ
ฮูหยินสามไม่กล้าโต้ตอบ นางตอบรับ “เจ้าค่ะ” อย่างไม่เต็มใจ
ทันใดนั้นไท่ฮูหยินก็เปลี่ยนเรื่อง “ข้าคิดว่าเรื่องในจวนก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็ให้สืออีเหนียงไปช่วยเจ้าดูแลเรื่องในจวนเถิด”
ตัดสินใจอย่างกะทันหัน ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ฮูหยินสามจะเป็นคนพูดเอง แล้วสองสามวันนี้นางก็รอให้สืออีเหนียงมารับหน้าที่แทน เมื่อถึงเวลานางจะได้ออกไปรับตำแหน่งกับสามีของตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่นางก็รู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป
“ใกล้จะเทศกาลล่าปาแล้ว” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนช่วยคลี่คลายไขความข้องใจแต่ก็ดูเหมือนออกคำสั่งเช่นกัน “ที่จวนมีเรื่องตั้งมากมาย ปีก่อนๆ ยังมีอี๋เจินคอยช่วยเหลือ แต่ปีนี้มีแค่เจ้าคนเดียว ตอนนี้สืออีเหนียงยังอยู่ในจวน หรือจะให้เจ้าจัดการอยู่คนเดียว?”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วตอบรับ “ท่านแม่คิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ทุกคนก็ก้มหน้าทานข้าวต่อ
หลังทานข้าวเสร็จ ก็ย้ายไปดื่มชาที่ห้องทางทิศตะวันตก
สืออีเหนียงยกชาที่สาวใช้ยกเข้ามาให้ไท่ฮูหยินด้วยตัวเอง นางกำลังจะลุกขึ้นเอ่ยขอตัวลา “อวี้เกอและอีกสองสามคนพรุ่งนี้เข้ายังต้องไปเล่าเรียน ปกติยามนี้ก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีเรื่องที่น่ายินดี แต่จะละเว้นกฎเกณฑ์ไม่ได้”
ไท่ฮูหยินเห็นด้วยเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าแล้วบอก “เจ้าไปเถิด”
สืออีเหนียงขอตัวลาไท่ฮูหยินแล้วกลับไปที่เรือน เรือนปีกทางทิศตะวันออกกำลังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ได้ยินเสียงของสวีซื่อเจี่ยนและจุนเกอมาแต่ไกล
นางยิ้มแล้วเดินเข้าไป
เด็กๆ กำลังหน้าแดง แต่ละคนมีท่าทางร่าเริงดูมีความสุข
“เหตุใดท่านป้าสี่ถึงกลับมาตอนนี้เล่าขอรับ” สวีซื่อฉินที่นั่งอยู่หน้าห้องโถงนั้นเป็นคนแรกที่เห็นสืออีเหนียง เขาก็รีบเดินมาคำนับนาง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ข้ามาเชิญแขกกลับ พรุ่งนี้เช้าพวกเจ้ายังต้องไปสำนักศึกษา!”
สวีซื่อเจี่ยนร้องคร่ำครวญ “ท่านป้าสี่ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นเรื่องของบุรุษ แต่บุรุษก็มีเรื่องที่ทำไม่สำเร็จ สตรีก็ต้องช่วยคิดหาวิธี ท่านช่วยบอกท่านลุงได้หรือไม่ขอรับว่าเราก็อยากเป็นเหมือนกับตระกูลอื่น ไม่ไปเรียนช่วงฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิค่อยเปิดเรียน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นลูกผู้ชายแต่เจอปัญหากลับหลบหนี ท่านป้าสี่ไม่ชอบเลย รีบลุกขึ้นมา ไปคำนับไท่ฮูหยินแล้วกลับไปพักผ่อนได้แล้ว! รอถึงปีใหม่แล้วค่อยมาเล่นตามอำเภอใจพวกเจ้า”
ถึงแม้ว่าสวีซื่อเจี่ยนจะชอบพูดจาไร้สาระ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความ บ่นพึมพำเบาๆ เพียงไม่กี่คำแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สืออีเหนียงพาพวกเด็กๆ ไปคารวะไท่ฮูหยิน เมื่อกลับมากับเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ยามซวีแล้ว สืออีเหนียงรู้สึกเหนื่อยล้าจนอยากจะขึ้นเตียงเร็วๆ เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็รับใช้นางพักผ่อน สืออีเหนียงจึงดันตัวเจินเจี่ยเอ๋อร์ออกไปเบาๆ “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ที่นี่ยังมีพวกหู่พั่ว เจ้าไม่จำเป็นต้องรับใช้ข้าหรอก ต่อไปก็ไม่จำเป็นเช่นกัน”
นางรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเหมือนเจ้าของบ้านใจดำที่ใช้แรงงานเด็ก
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่าท่าทีของสืออีเหนียงเด็ดเดี่ยว นางจึงถอยหลังคำนับสืออีเหนียงแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงนั่งอยู่หน้ากระจกให้ปินจวี๋รับใช้นางล้างหน้าล้างตา เช้าของวันต่อมาก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปคารวะไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกออยู่เป็นเพื่อน ให้สืออีเหนียงไปหาฮูหยินสาม แล้วพูดต่อหน้าท่านป้าผู้ดูแลจวนกว่ายี่สิบคนว่า “….ใกล้จะปีใหม่แล้ว ฮูหยินสามจัดการคนเดียวไม่ไหว ฮูหยินสี่จึงมาช่วยฮูหยินสาม” แม้ว่าน้ำเสียงของไท่ฮูหยินจะเรียบนิ่งไร้อารมณ์แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเฉยเมยต่อสืออีเหนียง พวกนางยิ้มประจบสอพลอ ขยันขันแข็งและทำตัวเป็นมิตรกับสืออีเหนียง
—————-
[1]โอวหยางสวิน นักเขียนพู่กันจีนที่มีชื่อเสียง