ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 157 ชวนเชิญ(ต้น)
เหวินอี๋เหนียงไม่พูดอะไร ฉินอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้ามา ยิ้มแล้วพูดว่า “เรามาดูว่าคุณหนูใหญ่มีสิ่งใดให้ช่วยหรือไม่!”
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจขึ้นมาทันที นางรู้ว่าเหวินอี๋เหนียงอยากมาเจอบุตรสาวของตัวเอง… แต่เพราะว่าสถานะที่แตกต่างกัน หากนางสนับสนุนให้เจินเจี่ยเอ๋อร์กับเหวินอี๋เหนียงอยู่ด้วยกันเหมือนแม่กับลูก หากคนอื่นมาเห็นเข้า ก็คงจะหัวเราะเยาะว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ เรื่องนี้ นางทำไม่ได้ แต่ว่าความรักของแม่กับลูก หากเหวินอี๋เหนียงคิดถึงเจินเจี่ยเอ๋อร์ อยากจะมาหานางเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้นางก็ต้อนรับเสมอ
“ในเมื่ออี๋เหนียงมาแล้ว เช่นนั้นก็ช่วยดูว่าในเรือนยังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่” สืออีเหนียงยิ้ม แต่สายตากลับมองไปที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ เห็นนางมองเหวินอี๋เหนียงด้วยสีหน้าที่สับสน
แยกจากกันตั้งหลายปีแล้ว จู่ๆ ก็มาเจอกันอีกครั้ง คิดว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์คงไม่รู้ว่าจะพูดกับเหวินอี๋เหนียงเช่นไร!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพาพวกนางเดินชมเรือน เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ไม่กล้ารอช้า นางรีบเดินตามสืออีเหนียงไป
เหวินอี๋เหนียงดูใจลอย แต่ฉินอี๋เหนียงกลับเอ่ยชื่นชมเป็นครั้งคราว เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ก้มหน้าแอบมองไปที่เหวินอี๋เหนียงเป็นครั้งคราว
เดินชมเสร็จแล้ว ทุกคนก็มานั่งลงอีกครั้ง สืออีเหนียงบอกให้คนไปยกเก้าอี้มาให้อี๋เหนียงทั้งสอง “…มีเวลาไม่มาก คงต้องอยู่เช่นนี้ชั่วคราว” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าจะสร้างเรือน และหลังจากที่ฮูหยินห้าย้ายออกมาจากสวนดอกไม้หลังจวนแล้วก็จะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เลือกเรือนอยู่คนเดียวให้พวกนางฟัง เหวินอี๋เหนียงจะได้สบายใจ
“ฮูหยินคิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ” เหวินอี๋เหนียงมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่แปลกใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “มันคือเรื่องของข้าอยู่แล้ว ไม่มีคำว่ารอบคอบไม่รอบคอบ แต่ต่อไปนี้คุณหนูใหญ่ก็จะมาอยู่กับพวกเรา ทุกคนไม่มีเรื่องใดทำก็ไปหามาสู่กันบ่อยๆ ครอบครัวเดียวกัน กลมเกลียวสนิทสนมกันเช่นนี้ ถึงจะเหมือนครอบครัว”
เหวินอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
เห็นว่าสายแล้ว สืออีเหนียงจึงเชิญพวกนางอยู่ทานข้าวด้วยกัน “เฉียวอี๋เหนียงไม่สบาย เช่นนั้นก็ไม่ต้องเรียกนาง วันนี้ไม่มีคนนอก ทุกคนนั่งลงทานข้าวเถิด”
นางไม่อยากตั้งกฎเกณฑ์ให้เหวินอี๋เหนียงต่อหน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์ เพราะนางเป็นมารดาแท้ๆ ของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ต้องเห็นแก่หน้าเจินเจี่ยเอ๋อร์สักหน่อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์มองสืออีเหนียง นางน้ำตาคลอเบ้า
เหวินอี๋เหนียงก็ตกใจ
ตั้งแต่สืออีเหนียงแต่งเข้ามา นางก็เย็นชากับอี๋เหนียงอย่างพวกนางมาตลอด นอกจากช่วงเวลาคารวะ นางก็ไม่เคยออกมาเจอพวกนาง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องอันใดก็จะให้สาวใช้มารายงาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเชิญพวกนางมาทานข้าวด้วย
นี่เป็นครั้งแรก
ทันใดนั้น นางก็มีความรู้สึกสับสน
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะเห็นแก่หน้านางขนาดนี้ และสิ่งที่ยิ่งคิดไม่ถึงก็คือ ตัวเองไม่ต้องแสดงท่าทีต่ำต้อยต่อหน้าบุตรสาวของตัวเอง…
เหวินอี๋เหนียงย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงบอกให้คนจัดโต๊ะสามโต๊ะ
ตัวเองนั่งกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอ
ป้าตู้และป้าเถานั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
อี๋เหนียงสองคนนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คึกคักขนาดนั้น แต่ก็มีความสุขดี
หลังจากทานข้าวเสร็จ ป้าตู้และป้าเถาก็พาจุนเกอไปพักผ่อนที่ห้องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ แต่เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับไปนอนกลางวันที่เรือนของสืออีเหนียงกับสืออีเหนียง ส่วนอี๋เหนียงทั้งสองคนก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
สืออีเหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่หน้ากระจกด้วยกัน หู่พั่วรับใช้สืออีเหนียงถอดเครื่องประดับและต่างหู เสี่ยวหลีก็มารับใช้เจินเจี่ยเอ๋อร์ถอดปิ่นปักผมไข่มุก เจินเจี่ยเอ๋อร์มองไปที่เตียงของสืออีเหนียงอย่างเขินอาย สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “รีบไปนอนเถิด ประเดี๋ยวเราค่อยตื่นมาคิดว่าตอนเย็นจะทานอะไร!”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า นางยิ้มแล้วหลับตา เมื่อสืออีเหนียงหายใจจังหวะปกติแล้ว นางก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเพดานอย่าเงียบๆ พลางคิดถึงเหวินอี๋เหนียง
รูปร่างที่งดงาม ผิวขาว ดวงตาที่มีรอยยิ้ม สวมต่างหูยาวสีทอง สวมเครื่องประดับเพชรตาแมว ราวกับชิงช้าที่แกว่งไปมา ช่างดูสวยงาม
แต่เป็นเพราะเหตุใดที่เมื่อทุกคนพูดถึงนางล้วนทำท่าทีดูถูก และพูดกันว่านางทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน…
ฉับพลับนางก็รู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อนึกถึงท่านแม่ที่นอนอยู่ข้างๆ ของตน นางก็พลิกตัวเบาๆ อย่างระมัดระวัง
ก่อนหน้านั้น นางเคยไปเจอกับเหวินอี๋เหนียงหนึ่งครั้ง
มันคือตอนที่ท่านแม่คนก่อนเสียชีวิต…ที่จวนกำลังวุ่นวาย นางแสร้งทำเป็นหลงทางแล้ววิ่งไปยังเรือนเล็กทางทิศตะวันออก แต่ว่าเหวินอี๋เหนียงไม่อยู่ที่นั่น นางไม่กล้ารอนานจึงก้มหน้าแล้วเดินออกมา แต่เมื่อมาถึงหน้าประตู นางก็ได้ยินคนตะโกนเรียกเหวินอี๋เหนียง และเมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นเพียงร่างสีขาว
ไม่รู้ว่าเหวินอี๋เหนียงแอบไปหาตัวเองบ้างหรือไม่…หรือว่า นางแค่ทำเงินได้ จะไปหาตัวเองหรือไม่ไปก็ไม่สำคัญ มีครั้งหนึ่งที่นางหลับไป ได้ยินป้าหู แม่นมของตัวเองและเว่ยจื่อคุยกัน บอกว่า ‘เจี่ยเอ๋อร์ช่างน่าสงสาร ฉินอี๋เหนียง มารดาแท้ๆ ของอวี้เกอ ไม่กล้าเดินผิดแม้แต่ก้าวเดียว เพราะกลัวว่าจะทำให้บุตรชายของตัวเองลำบาก แต่เหวินอี๋เหนียงกลับขอแค่มีเงิน แม้แต่บุตรสาวของตัวเองก็ยอมขาย…คนสกุลหวังผู้นั้นเป็นคนเช่นไรกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้จวนหย่งผิงโหวมีฮองเฮา แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียงอะไร ก็ไม่ควรให้คุณหนูใหญ่ของเราไปแต่งงานกับสกุลพ่อค้าเช่นนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่านางได้ผลประโยชน์จากสกุลหวังเท่าไร!’
ตอนนั้นนางหลับตาแน่น กลัวว่าป้าหูจะรู้ว่าตนตื่นแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลับตาแน่นขนาดนั้นแต่น้ำตากลับยังคงหลั่งไหลออกมา
คิดเช่นนี้ นางก็อยากจะร้องไห้อีกครั้ง
แต่จู่ๆ ก็มีมืออันอ่อนโยนจับที่ไหล่ของนาง “เจินเจี่ยเอ๋อร์ ข้าก็เป็นบุตรสาวของอี๋เหนียงเหมือนกัน” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสงบ “เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สิ่งที่เราเลือกได้ก็คืออนาคตของตัวเอง”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หันกลับมาด้วยน้ำตาที่รื้นขอบตา ก็พบกับดวงตาคู่หนึ่งที่ดูอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ของเดือนสาม
“อย่าร้องไห้ไปเลย!” สืออีเหนียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้นาง “น้ำตาของสตรีคือไข่มุก แต่หากไหลออกมามากเกินไป มันจะกลายเป็นตาปลาไปเสีย”
เจินเจี่ยเอ๋อร์หัวเราะทั้งน้ำตา
สืออีเหนียงลูบผมของนาง “เจินเจี่ยเอ๋อร์ ปีนี้เจ้าพึ่งจะอายุสิบเอ็ดปี ยังมีช่วงเวลาที่ดีอีกมากมาย เรื่องในอดีต เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ในชีวิตของเจ้า ต่อไปเจ้าจะต้องได้เจอกับผู้คนและเรื่องราวที่ดีกว่า ต้องมีอนาคตที่ดีกว่า”
เจินเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า
นางนึกถึงตอนที่ได้ยินว่าท่านพ่อจะแต่งงานกับน้องสาวของท่านแม่คนก่อน นางยังกังวลและหวาดกลัว…แต่สุดท้ายแล้วเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปตามที่นางคิด เช่นนี้ถือว่าต่อไปนางก็จะได้เจอกับคนที่ดีกว่าใช่หรือไม่
เจินเจี่ยเอ๋อร์ลังเลที่จะพูด
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “เจ้าไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยกับเหวินอี๋เหนียงเช่นไรใช่หรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์นิ่งเงียบ
“นางเป็นอี๋เหนียงของสกุล เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ของสกุล เจอกันแล้วก็พูดคุยกันตามปกติก็พอ” สืออีเหนียงบอก “หากนางมีเรื่องอันใด แค่ไม่ใช่เรื่องที่ทำร้ายคนอื่น หากเจ้าช่วยเหลือได้ก็ช่วย นี่คือความเป็นแม่ลูก”
นางบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าไปใกล้เหวินอี๋เหนียงไม่ได้
ไท่ฮูหยินพูดชัดเจนขนาดนั้นแล้ว เจินเจี่ยเอ๋อร์คือคุณหนูใหญ่ของจวนหย่งผิงโหว ต่อไปนางต้องแต่งกับสกุลที่คู่ควรกับจวนหย่งผิงโหว พฤติกรรมของนางจะต้องสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของสังคมนี้ ไม่เช่นนั้น นางก็จะรู้สึกเจ็บปวดและถูกปฏิเสธจากสังคม
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มตอบ
“พักผ่อนเถิด” สืออีเหนียงยิ้ม “ประเดี๋ยวป้าตู้เห็นเข้า หากนางคิดว่าข้าแอบตีเจ้าแล้วไปฟ้องท่านย่า ข้าคงจะแย่แน่นอน!” นางพูดเล่นหยอกเย้า
เจินเจี่ยเอ๋อร์ปิดปากยิ้ม นางถามสืออีเหนียงเบาๆ “ท่านแม่ ท่านก็ลำบากใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงตกใจ
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูดเบาๆ “มีอวี้เกอ มีข้า จุนเกอ แล้วยังมีบรรดาอี๋เหนียง ท่านก็ลำบากใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มีคนรับรู้ว่านางก็ลำบากใจ…
จู่ๆ สืออีเหนียงก็น้ำตาคลอเบ้า
นางยิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ลำบากใจ เจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นผู้ช่วยที่ดีของข้า จุนเกอก็รู้ความ อวี้เกอ ถึงแม้ว่าข้าไม่ค่อยสนิทกับเขา แต่เขาก็เป็นเด็กรักเรียนและเฉลียวฉลาด ข้าก็ชอบเขามาก บรรดาอี๋เหนียงก็ล้วนแต่รับใช้ท่านพ่อของเจ้ามาตั้งแต่ก่อนข้าเข้ามา แล้วยังมีพวกเจ้า ข้าคิดว่าทุกอย่างในตอนนี้นั้นดีมากแล้ว”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นว่ามีน้ำใสๆ ในดวงตาของนาง นางก็พยักหน้าเบาๆ เอนหัวพิงบนไหล่ของสืออีเหนียงอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ในห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงของกระดิ่งแขวนดังเบาๆ ที่ทำให้รอบๆ ยิ่งดูเงียบสงัดมากขึ้น
*****
“พระกระโดดข้ามกำแพง กระต่ายป่าหั่นลูกเต๋าผัดซอส ผัดนกพิราบ ผัดหนามมังกรภูเขา ผัดปลาดอกกุ้ยฮวากับผัดกะหล่ำปลี…” เจินเจี่ยเอ๋อร์เงยหน้ามองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่สับสน “ทำ…ทำไมเยอะขนาดนี้เล่าเจ้าคะ…”
“วันนี้เป็นวันย้ายเรือนของเจ้า!” สืออีเหนียงยิ้ม “รอให้ถึงฤดูร้อนปีหน้าที่เจ้าไว้ทุกข์เสร็จแล้ว เราค่อยไปหาเรือนให้เจ้าอยู่ที่สวนหลังจวน แล้วค่อยจัดงานเลี้ยงอีกครั้ง อีกทั้งยังสามารถเชิญฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สกุลหลินมาร่วมงานด้วยได้”
เจินเจี่ยเอ๋อร์เขินอาย “เสียดายเงินเจ้าค่ะ”
“นานๆ ทีคงไม่เป็นอะไร” สืออีเหนียงยิ้มแล้วยื่นรายการให้หู่พั่ว “นำรายการอาหารไปให้โรงครัว”
หู่พั่วยิ้มแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงเรียกปินจวี๋เข้ามา “เจ้าไปที่ห้องหน่วนฝังของสวนดอกไม้หลังจวน นำดอกไม้ที่ออกดอกแล้วมากสักสองสามกระถาง เอามาประดับประดา”
ปินจวี๋ยิ้มตอบรับคำสั่งแล้วเดินออกไปยังห้องหน่วนฝังทันที
สืออีเหนียงลี่ว์อวิ๋นไปเรียกสะใภ้หนานหย่งให้เข้ามา “ให้นางมวยผมสวยๆ ให้พวกเรา”
ลี่ว์อวิ๋นยิ้มแล้วตอบรับ
จุนเกอวิ่งมาหาพลางร้องเรียก “ท่านแม่ ท่านแม่ ยังมีข้าอีกคน ให้ข้าทำอะไรดีขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวดอกไม้ของห้องหน่วนฝังมาแล้ว เจ้าช่วยจัดดอกไม้ก็ได้”
จุนเกอพยักหน้าซ้ำๆ
ป้าเถาที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “ไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่ได้นะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ายืนดูอยู่ข้างๆ ตั้งหลายคน ก็เฝ้าดูเขาไว้ อันใดที่ย้ายง่ายๆ ก็ให้เขาคอยช่วยก็พอ ข้าไม่ได้จะให้เขาย้ายจริงๆ เสียหน่อย พวกเจ้าจะเป็นห่วงอะไรกัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็พูดว่า “ให้ข้าช่วยดูเขาย้ายเถิดเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงห้ามนางไว้ “วันนี้เราต้องแต่งตัวสวยๆ จุนเกอ เรื่องย้ายดอกไม้ก็คงต้องยกให้เจ้าแล้ว”
แต่จุนเกอกลับไม่ยอม เขาดึงแขนเสื้อของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “ข้าไม่ย้ายดอกไม้แล้ว ข้าอยากแต่งตัวสวยๆ เหมือนพี่หญิง”
“ก็ได้” สืออีเหนียงยิ้ม “เราหวีผม เจ้าก็คอยดูอยู่ข้างๆ”
จุนเกอตอบรับ “ขอรับ” ป้าเถาเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อสะใภ้หนานหย่งมาแล้ว สืออีเหนียงก็จับมือเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปที่ห้องข้างใน จุนเกอก็เดินตามมาราวกับหางน้อย
ตัวเอกของวันนี้คือเจินเจี่ยเอ๋อร์ แน่นอนว่าสืออีเหนียงไม่มีทางแย่งนาง นางพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งหน้ากระจก บอกให้สะใภ้หนานหย่งมวยผมให้นาง ประดับด้วยดอกไม้ เสี่ยวหลีรับใช้นางเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกั๊กยาวลายไม้ไผ่สีขาวพระจันทร์ งดงามราวกับดอกบัวสีขาว
“พี่หญิงงามมากเลยขอรับ!” จุนเกอยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็พอใจ จับมือนางไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันออก
โคมสีแดงแขวนอยู่ใต้ชายคา บนโต๊ะวางเต็มไปด้วยดอกไม้ ส่วนบนโต๊ะยาวในห้องโถงกลางมีต้นพุดตานสีแดงดอกใหญ่ ประดับประดาทำให้เรือนดูงดงามมากยิ่งขึ้น
“ราวกับขึ้นปีใหม่” ป้าตู้ยิ้มแล้วมองดูดอกไม้พวกนั้น
“ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ!” สายตาของเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นประกาย
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
แต่ในใจของนางกำลังเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ที่ซีซาน
เขาจากไปสามวันแล้ว ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งข่าวคราวของเขา ข่าวคราวที่เกี่ยวกับอาการขององค์ชายห้าก็ไม่มี…ปิดข่าวได้มิดชิดขนาดนี้ ช่างดูผิดปกติ
สกุลสวีจะเป็นเช่นไร สิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่คือสิ่งใด…สืออีเหนียงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ดังนั้นนางจึงอยากถือโอกาสตอนที่เจินเจี่ยเอ๋อร์ย้ายเรือน ทำความสนิทสนมกับพวกเด็กๆ
ช่วงเวลาวิกฤติแบบนี้ ครอบครัวต้องสามัคคีกันถึงจะสามารถต้านทานลมหนาวได้