ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 151 ไปมาหาสู่(ต้น)
จุนเกอตามมาด้วย แต่สืออีเหนียงต้องดูแลคุณนายใหญ่สกุลหลิน ส่วนเจินเจี่ยนเอ๋อร์ต้องดูแลฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงจึงเรียกป้าเถามาด้วย “เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าให้เกิดอะไรขึ้นแม้แต่นิดเดียว”
ป้าเถารู้อยู่แล้ว นางพยักหน้าซ้ำๆ “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวจะไม่ให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียวเจ้าค่ะ”
ในเมื่อนางเป็นคนของหยวนเหนียง หากจุนเกอเป็นอะไรไป มันก็ไม่มีผลดีต่อนาง ไม่มีความสัมพันธ์อะไรที่แข็งแกร่งไปกว่าความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า ให้ป้าเถาเป็นคนดูแลจุนเกอ ส่วนตัวเองกับคุณนายใหญ่สกุลหลินไปอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันตก ให้เด็กๆ ทั้งสามคนไปอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันออก
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะที่สนุกสนานของจุนเกอและฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ดังออกมาจากห้องทางทิศตะวันออก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ เด็กๆ สนิทสนมกันเร็วกว่าผู้ใหญ่เสียอีก”
คุณนายใหญ่สกุลหลินถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าเด็กๆ สมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมด สมัยเราไม่เหมือนตอนนี้ บรรดาท่านป้าบอกว่าไม่ให้ยิ้ม เราก็ไม่กล้ายิ้ม บรรดาท่านป้าบอกว่าอย่าเดินส่งเสียงหรือสวมเครื่องประดับ เราก็ไม่กล้าสวม กลัวพี่น้องคนอื่นจะหัวเราะเยาะว่าเราไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้ามีบุตรชายสองคน พวกเขาสองคนรวมกันยังดื้อไม่ได้ครึ่งหนึ่งของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าตอนที่ข้าตั้งครรภ์นาง ข้าจุดธูปให้พระโพธิสัตว์น้อยไปสองดอกหรือไม่ เดิมทีควรจะได้บุตรชาย แต่กลับกลายเป็นบุตรสาวกลางคัน”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้ “ดูคุณนายใหญ่พูดสิเจ้าคะ ข้าเห็นฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สดใสร่าเริง พูดจาตรงไปตรงมา เป็นเช่นนี้ก็ดีออกเจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “น่าเสียดายที่จุนเกอยังเด็ก ไม่เช่นนั้น ข้าจะให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาเป็นลูกสะใภ้เจ้า ดูสิว่าเจ้ายังจะพูดเช่นนี้อยู่หรือไม่” จากนั้นก็พูดว่า “งานแต่งของจุนเกอและสกุลเจียงเป็นเช่นไร เมื่อก่อนเคยได้ยินคนพูด ต่อมาพี่หญิงของเจ้าเสียชีวิต ก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย” นางพูดด้วยสายตาที่เป็นห่วง มองออกว่านางไม่ได้แอบหลอกถามอะไร
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณนายใหญ่ก็รู้ว่าเรื่องแต่งงานของจุนเกอ ข้าเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ต้องฟังท่านโหวและท่านแม่เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินพยักหน้าแล้วพูดด้วยความเข้าใจ “ก็จริง เช่นเดียวกับงานแต่งของคุณหนูสกุลกานสองคนนั้น กานฮูหยินก็เข้าไปแทรกแซงไม่ได้ ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับใต้เท้ากาน คุณหนูเจ็ดยังพอไหว เพราะสกุลเหลียงยังเป็นสกุลที่รู้จักกันดี แต่คุณชายสกุลเจี่ยงคนนั้น กลับไม่มีใครเคยเห็นเขามาก่อน”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็แอบตกใจ “ทำไมหรือเจ้าคะ มีข่าวลืออะไรออกมาหรือเจ้าคะ”
“ไม่มีข่าวลืออะไร” คุณนายใหญ่สกุลหลินถอนหายใจ “แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ หากมารดาแท้ๆ ของคุณหนูสามยังมีชีวิตอยู่ นางคงไม่อยากให้บุตรสาวของตัวเองแต่งไปอยู่ที่ฝูเจี้ยน แต่งออกไปครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่เยี่ยนจิงอีกเมื่อใด”
ก็จริง ห่างกันไกลขนาดนั้น ได้รับความไม่เป็นธรรมก็ไม่มีใครคอยปรึกษา แม้สกุลเดิมจะมีอำนาจมากมายเพียงใดก็ไร้ประโยชน์!
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจอยู่ในใจ ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินมาว่าสกุลเดิมของคุณนายใหญ่อยู่ที่ซังโจว?”
คุณนายใหญ่สกุลหลินพยักหน้าด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าคือคนซังโจว สกุลเซ่าแห่งซังโจว”
สืออีเหนียงเคยถามภูมิหลังและบ้านเกิดของทุกคนในสกุลหลินกับป้าตู้มาก่อนแล้ว แน่นอนว่านางต้องรู้บ้านเกิดของคุณนายใหญ่สกุลหลิน ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อนจนถึงปัจจุบัน สกุลเซ่ามีขุนนางฝ่ายทหารชั้นสูงสิบสามคน ล้วนแต่ประจำการอยู่ในกองทัพ แม่ทัพระดับสูงในกองทัพซีเป่ย สามและสี่ส่วนในสิบส่วนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับสกุลเซ่า นางจึงตั้งใจพูดถึงเรื่องนี้
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าสตรีของสกุลเซ่าแค่ใช้ไม้นวดแป้งก็สามารถเอาชนะใจบุรุษได้ จริงหรือไม่เจ้าคะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลินใช้แขนเสื้อปิดปากยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันเป็นเรื่องของสมัยก่อน”
สืออีเหนียงมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดูจากรูปร่างของคุณนายแล้ว ดูผอมเพรียวกว่าเด็กหญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเสียอีก…ท่านคงกลัวว่าข้าอยากเรียนวิชาของสกุลเดิมท่าน ถึงได้ไม่ยอมรับใช่หรือไม่”
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็ชอบใจ นางยิ้มแล้วพูดว่า “วิชาอะไรกัน เจ้าจำไว้แค่ว่าหลังทานข้าวเสร็จเดินหนึ่งร้อยก้าว อายุยืนถึงเก้าสิบเก้าปี ข้ารับรองว่าถึงตอนนั้นเจ้าต้องผอมเพรียวกว่าข้าแน่นอน”
พวกนางสองคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง สืออีเหนียงก็พูดถึงเรื่องฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “หากใจร้อนอาจจะไม่บรรลุเป้าหมาย ไม่สู้ให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาเดินเล่นที่นี่บ่อยๆ ข้าจะนำงานเย็บปักถักร้อยออกมาล่อนาง”
คุณนายใหญ่สกุลหลินรู้สึกซาบซึ้ง “ใกล้จะปีใหม่แล้ว เจ้ายังต้องคอยรับใช้ไท่ฮูหยิน ข้าไม่อยากรบกวนเจ้าจริงๆ”
“เพื่อนบ้านกัน ไม่รบกวนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “แล้วอีกอย่าง ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์เป็นเด็กสดใสร่าเริง เจินเจี่ยนเอ๋อร์เป็นเด็กขี้อาย นางมาที่นี่ พูดคุยหัวเราะกัน ไม่รู้ว่าจะคึกคักขนาดไหน”
ยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของจุนเกอและฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ดังขึ้นมาอีกครั้ง
คุณนายใหญ่สกุลหลินได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ให้นางมารบกวนเจ้าเถิด!”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลยเจ้าค่ะ ข้ายินดี!” สืออีเหนียงยิ้ม
คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าคราวหน้าข้าจะให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์มาเมื่อใดดี”
สืออีเหนียงพึมพำ “เช่นนั้น ให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ส่งเทียบเชิญเพื่อไปเชิญนางมาเที่ยวที่นี่ เพราะว่าสองสามวันนี้ข้ากำลังจะให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ช่วยข้าเย็บปักถักร้อย ให้พวกนางไปพูดคุยเรื่องนี้กันเอง”
นางซักถามเจินเจี่ยนเอ๋อร์แล้ว รู้ว่านางกำลังเรียนเย็บปักถักร้อยกับป้าตู้ของไท่ฮูหยิน สามารถเย็บรองเท้าถุงเท้าธรรมดาๆ ได้ แต่แค่ไม่ช่ำชองมากนัก
การเย็บปักถักร้อยก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทักษะ คิดว่านางยังต้องเรียนหนังสือ แล้วยังต้องฝึกพิณ คาดว่าน่าจะไม่ค่อยมีเวลาดังนั้นจึงไม่ค่อยช่ำชอง ถือโอกาสตอนนี้ที่หยุดเรียน ส่วนพิณก็ไม่สะดวกที่จะฝึก นางจึงอยากให้เจินเจี่ยนเอ๋อร์ได้ฝึกฝนเย็บปักถักร้อยบ้าง
“เป็นวิธีที่ดี!” คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นว่าสืออีเหนียงไม่เหมือนคนอื่น เอาแต่ใช้เหตุผลกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แต่กลับถูกฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สวนกลับจนพูดไม่ออก แต่หากใช้เจินเจี่ยเอ๋อร์มาชักจูงนาง นางคิดว่าแบบนี้อาจจะดีกว่า
พวกนางปรึกษากันเสร็จแล้ว จากนั้นก็พูดคุยกันสองสามประโยค เห็นว่าสายแล้ว จึงพาเด็กๆ ไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน เจอกับสวีซื่อฉิน สวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี่ยนที่มาคารวะไท่ฮูหยิน เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน เด็กๆ ก็ยังอายุน้อย จึงไม่มีพิธีรีตองมากเกินไป เด็กสามคนนั้นยืนก้มหน้าอยู่ที่นั่น แต่สายตากลับมองมาที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ เมื่อฮูหยินสามมาถึง เจินเจี่ยนเอ๋อร์ก็พาฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งที่ห้องทางทิศตะวันออก จุนเกอก็ไปนั่งด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็นั่งลงตามความอาวุโส ทานอาหารกันอย่างมีความสุข จากนั้นก็ส่งสกุลหลินกลับจวน
ฮูหยินสามก็ถามถึงเรื่องของฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ “…ข้าไม่รู้ว่าหาคู่แล้วหรือยัง ช่างเหมาะสมกับคุณชายน้อยสองของเรายิ่งนัก”
สวีซื่ออวี้เป็นบุตรอนุภรรยา เมื่อครู่ที่คุณนายใหญ่สกุลหลินล้อเล่นนางก็ไม่พูดถึงสวีซื่ออวี้เลยสักนิด ฮูหยินสามถามเช่นนี้มันดูเหมือนจะมีเจตนาที่ไม่ดี
สืออีเหนียงจึงพูดอย่างนิ่งเฉย “จะว่าไปแล้ว คุณชายน้อยสามอายุเท่ากันกับคุณชายน้อยสอง” สืออีเหนียงพูดสวนฮูหยินสาม
ฮูหยินสามตกใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันใด
แต่เพราะอยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงจึงพูดอะไรมากไม่ได้ นางยิ้มแล้วปรึกษาเรื่องเจินเจี่ยเอ๋อร์กับไท่ฮูหยิน “…อยากให้นางช่วยข้าเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ยิ้มแล้วมองไปที่เจินเจี่ยนเอ๋อร์ “ฝีมือเย็บปักถักร้อยของท่านแม่ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก เจ้าต้องถือโอกาสนี้ตั้งใจเรียน”
เจินเจี่ยนเอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอายแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” ย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง จากนั้นแม่นมก็พานางและจุนเกอกลับไปที่ห้อง
ไท่ฮูหยินถามนางว่า “เจินเจี่ยนเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วชื่นชมนาง “สนิทสนมกับฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ได้เร็วมากเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ “ในสมัยฮ่องเต้องค์ก่อน ทุกคนล้วนแต่อยู่ไม่เป็นสุข ไปไหนมาไหนก็ต้องคอยระวังหน้าระวังหลัง ไม่มีใครมีอารมณ์เลี้ยงดูเด็กพวกนี้ ต่อมาฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ คุณชายสี่ก็ยกทัพจับศึกไปทั่วแดน พี่หญิงของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง เอาแต่เลี้ยงดูจุนเกอ แม่ม่ายอย่างอี๋เจินก็เลิกไปมาหาสู่กับสหายเก่าไปหมดแล้ว เด็กพวกนี้ยิ่งไม่มีโอกาสได้ไปเจอใคร ข้าเห็นว่าเจ้าชอบนาง ต่อไปเจ้าก็เลี้ยงดูนางเถิด”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ
อยู่กับนาง อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดียวดายเหมือนตอนนี้
แล้วก็มีข้อดีอีกอย่างคือ เช่นนี้ จุนเกอและเจินเจี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องแยกกัน เจินเจี่ยนเอ๋อร์ดีกับจุนเกอขนาดนั้น จุนเกอต้องไม่ยอมแน่ๆ ถึงตอนนั้นเขาคงจะไปที่เรือนของตัวเองทุกวัน เด็กน้อย ใครดีกับเขา ใครร้ายกับเขา เขาสัมผัสได้ ตัวเองจะได้มีโอกาสสนิทสนมกับจุนเกอมากขึ้น
นางกำลังจะตอบรับว่าเจ้าค่ะ แต่ไท่ฮูหยินกลับพูดว่า “แต่ว่าเจ้าอย่าให้นางไปใกล้ชิดกับคนของสกุลเหวินมากนัก”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ แต่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล
สวีซื่ออวี้อยู่กับฉินอี๋เหนียงจนถึงอายุสองขวบแล้วถึงย้ายออกไปอยู่เรือนนอก แต่เจินเจี่ยนเอ๋อร์กลับโตมากับไท่ฮูหยิน ดูเหมือนว่าไท่ฮูหยินคงจะมีอคติกับเหวินอี๋เหนียง ดังนั้นนางจึงเลี้ยงดูเจินเจี่ยเอ๋อร์ด้วยตัวเอง
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ไท่ฮูหยินก็ยิ้มอย่างเย็นชา “ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า! สกุลเหวินคนนั้นเหลวไหลมากแค่ไหน หาเงินได้ไม่เท่าไรก็ลืมพื้นเพเดิมของตัวเอง แล้วยังดึงเจินเจี่ยเอ๋อร์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ถึงแม้ว่าเหวินอี๋เหนียงจะเป็นมารดาแท้ๆ ของนาง แต่นางก็เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของเราจวนหย่งผิงโหว ใช่ว่าคนธรรมดาจะคู่ควร เจ้าต้องจำคำของข้าเอาไว้ให้ดี” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
สืออีเหนียงตกใจ
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ สกุลเหวินก็ทำเกินไปจริงๆ…ไม่ต้องพูดถึงอี๋เหนียงอย่างนาง แม้แต่แม่เลี้ยงอย่างตัวเองยังเทียบกับหยวนเหนียงไม่ได้ ตัดสินใจเรื่องแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้ แต่ว่า ในอีกแง่มุมหนึ่ง ยิ่งไท่ฮูหยินให้ความสำคัญกับเจินเจี่ยเอ๋อร์มากเท่าใด อนาคตของเจินเจี่ยนเอ๋อร์ก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น เพราะไท่ฮูหยินรู้จักผู้คนเยอะ ให้นางเป็นคนดูแลหลัก ถึงตอนนั้นตัวเองก็ช่วยดูนิดหน่อย ไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดอะไร
สืออีเหนียงรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วรับปากว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเจินเจี่ยเอ๋อร์เป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเห็นว่าน้ำเสียงของนางเคร่งขรึม สีหน้าจริงจัง และป้าตู้ก็นำปฏิทินเข้ามาพอดี จึงปรึกษากันว่าจะให้เจินเจี่ยนเอ๋อร์ย้ายไปที่เรือนของสืออีเหนียงในวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบเอ็ด
สืออีเหนียงลังเลแล้วพูดว่า “เช่นนั้นจุนเกอ…”
“เดิมทีก็เพราะว่าหยวนเหนียงพึ่งเสียชีวิตไป เจินเจี่ยเอ๋อร์ก็เป็นเด็กละเอียดรอบคอบ ข้าจึงให้นางอยู่กับจุนเกอ” ไท่ฮูหยินพูด “ตอนนี้ก็ปีกว่าแล้ว เขาควรจะอยู่ด้วยตัวเองได้แล้ว ก็ถือโอกาสนี้แยกพวกเขาออกจากกัน”
“ท่านแม่คิดได้รอบคอบเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพยักหน้าในใจ
ทุกคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน คนที่ถูกหยวนเหนียงเลี้ยงดูมาในอ้อมแขนอย่างจุนเกอ จู่ๆ ก็ให้เขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องพึ่งพาตัวเอง เขาอาจจะทนต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ไหว ทางที่ดีที่สุดก็ควรทำเหมือนที่ไท่ฮูหยินพูด ค่อยๆ เปลี่ยนแปลง
ไท่ฮูหยินพูดต่ออีกว่า “หากต้องการสิ่งของอะไร เจ้าก็ถือป้ายคู่ที่ข้ามอบให้เจ้า ไปเอาที่ห้องเก็บของเรือนนอกเรือนในได้ตามต้องการ”
สืออีเหนียงรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” กลับมาถึงที่เรือน ก็เรียกหู่พั่วและคนอื่นๆ เข้ามา บอกว่าพรุ่งนี้เช้าให้พวกนางจัดห้องทางทิศตะวันออกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์
เหวินอี๋เหนียงที่มาคารวะสืออีเหนียงได้ยินข่าวนี้นางก็ตกใจอยู่ที่นั่น