ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 135 ไปเป็นเพื่อน(ปลาย)
ความลังเลของสวีลิ่งอี๋ทำให้สืออีเหนียงแอบหัวเราะอยู่ในใจ
จุดเปลี่ยนเนื้อหาของประโยคหลังนี้คงจะเป็นประเด็นสำคัญที่สวีลิ่งอี๋จะพูดกับตัวเองในวันนี้
อันที่จริงแล้วเขาคิดมากเกินไป
การเผชิญเรื่องใหญ่อย่างการแยกจวนและอนาคตนั้น นางไม่อยากจะเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋ ดังนั้นไม่ว่าสวีลิ่งอี๋จะตัดสินใจอย่างไรนางก็จะแสดงท่าทีอย่างเคารพและเชื่อฟัง
“ท่านโหวมีเรื่องอันใดจะกำชับข้าหรือไม่เจ้าคะ” สืออีเหนียงหาทางออกให้เขา
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังเช่นนั้นก็มีสีหน้าอึดอัดใจ
“คืออย่างนี้…” จังหวะในการพูดของเขาค่อนข้างช้าเพื่อทำให้คนฟังครุ่นคิดตาม “พวกเราสามคนพี่น้อง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงข้า น้องห้าอยู่ในหน่วยทหารองครักษ์ หากพี่สามมารับราชการอีก เกรงว่าจะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไป”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็เกิดความคิดเข้ามาในหัว
หรือว่าเขาอยากจะ…
“ท่านโหวหมายความว่า…” น้ำเสียงของนางดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าหมายถึงคนเราไม่ควรจะกอบโกยเอาประโยชน์ทั้งหมด” สวีลิ่งอี๋จ้องตาสืออีเหนียง “เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าคิดว่าจะลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคแล้วให้พี่สามเข้ารับราชการแทน”
ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง!
สืออีเหนียงอดยิ้มมุมปากไม่ได้
ลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพห้าเหล่าทัพแห่งกองทัพภาคแต่ยังคงรักษาตำแหน่งราชครูของรัชทายาทไว้ จากนั้นก็ใช้ตำแหน่งขุนนางชั้นสูงระดับสามมาแลกกับตำแหน่งนายอำเภอระดับเจ็ด…ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือสำนักตรวจการ เกรงว่าคงยากที่จะพูดอะไรได้กระมัง แถมยังฉวยโอกาสดึงตัวเองลงมาจากจุดสูงสุดที่สะดุดตาของทุกคน ทำให้สถานการณ์ร้อนระอุของสกุลสวีเย็นลง แม้แต่คุณชายสามก็มองเห็นเจตนาที่แท้จริงของสวีลิ่งอี๋อย่างชัดเจน หากจิตใจไม่โหดร้ายพอ เกรงว่าคงจะรู้สึกซาบซึ้งที่น้องชายเสียสละเพื่อตัวเองขนาดนี้ และหากหลังจากนี้คุณชายสามซาบซึ้งในน้ำใจของสวีลิ่งอี๋เพราะเหตุนี้ เช่นนั้นไม่ว่าฮูหยินสามจะดิ้นรนเพียงใดแต่ก็จะไม่มีทางทำอะไรได้
ยิงธนูนัดเดียวได้นกสองตัว!
แต่เหตุใดเขาจึงพูดเรื่องนี้กับนางกันเล่า หรือเพราะกลัวว่านางจะคัดค้าน เท่าที่ตัวเองรู้ดูเหมือนว่าเรื่องเช่นนี้จะเกี่ยวพันกับเกียรติยศและโชคชะตาของสกุล เขาไม่ควรจะมาสนใจการคัดค้านของภรรยากระมัง…
สืออีเหนียงอดหันไปมองสวีลิ่งอี๋ไม่ได้
แต่กลับเห็นการลองใจผ่านแววตาของเขา
ที่แท้เขาก็ยังไม่วางใจในตัวนาง…
เมื่อความคิดนี้วาบเข้ามาในหัว สืออีเหนียงพลันเข้าใจในทันที
ก่อนหน้านี้หยวนเหนียงจะต้องมีเรื่องขัดแย้งกับเขาเพราะเรื่องเหล่านี้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงทดสอบทัศนคติของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะดูเหมือนถูกบังคับให้ยอมรับการทดสอบ แต่อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสได้ทดสอบ!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวมักจะเท้าชา ควรจะพักผ่อนให้มากๆ”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็มีแววตาสงบนิ่ง
ที่สืออีเหนียงพูดนั้นเป็นความจริง
เมื่อคนมีชื่อเสียงหรือมีเงินทองก็มักจะดึงดูดความสนใจและสร้างปัญหาได้ง่าย
นางนั่งรับลมเย็นๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ย่อมหวังว่าต้นไม้ใหญ่จะแผ่กิ่งก้านสาขา แต่ก็ยิ่งหวังว่าต้นไม้ใหญ่นี้จะไม่ล้มลงท่ามกลางพายุฝน
“ข้าเกรงว่าข้าจะมีเวลาอยู่เรือนอีกมาก” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียงด้วยแววตาเป็นประกาย “ต่อไปเกรงว่าคงยากที่จะได้เข้ารับราชการอีก”
สืออีเหนียงอดถอนหายใจไม่ได้
ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่มุ่งมั่นมาตลอดชีวิตเพื่อที่จะเกษียณเมื่ออายุสามสิบห้าหรือสี่สิบปี หลังจากนั้นก็เริ่มดื่มด่ำกับความสุขของชีวิต…แต่สวีลิ่งอี๋ยังอายุไม่ถึงสามสิบปีเลย!
จะว่าไปแล้วนางเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะถึงจุดจบ…ในใจนางรู้สึกปวดใจเล็กน้อย นางคิดด้วยความเป็นห่วง ดูจากท่าทางของเขาแล้วคงจะไม่มีงานอดิเรกใด ต่อให้เกษียณอายุพักอยู่ที่เรือนก็คงจะสิ้นเปลืองเวลาเปล่าๆ
ทว่ากลับไม่กล้าเผยสีหน้าออกมา เพียงแต่ยิ้มอย่างสดใส “ท่านโหวทำงานเพื่อครอบครัวมาหลายปี หากสามารถมีเวลาว่างอยู่ที่เรือน ใช้ชีวิตที่สงบสุขปลูกดอกไม้เลี้ยงนกได้ ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร มองนางด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
เขาฟังออกว่านางพูดด้วยความจริงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความอิจฉาอยู่เล็กน้อย
สตรีที่มีคุณธรรมนอบน้อมและยกย่องสามี ย่อมจะเคารพการตัดสินใจของสามี แต่เรื่องอิจฉา…เหตุใดนางถึงอิจฉากันเล่า
ส่วนสืออีเหนียงที่รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ ของสวีลิ่งอี๋ก็ใจเต้นขึ้นมา
คำตอบของตนสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก แต่เพราะเหตุใดสวีลิ่งอี๋ถึงไม่พอใจ
มีตรงไหนที่พูดผิดไปอย่างนั้นหรือ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสืบสาวราวเรื่อง ต้องคิดหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของเขา รอให้ถึงเวลากลางคืนที่อยู่คนเดียวค่อยเก็บมาคิดให้ดี…อย่างไรเสียช่วงนี้เขาก็ไปพักอยู่กับอี๋เหนียงคนอื่นๆ คืนนี้ตัวเองอยากจะทำอะไรก็ทำ
“ท่านโหว เรื่องที่ท่านจะลาออกจากราชการ ท่านต้องปรึกษากับท่านแม่หรือไม่” คิ้วของสืออีเหนียงเผยให้เห็นความกังวล “ถึงอย่างไรก็ยังมีเรื่องที่คุณชายสามจะออกไปรับราชการนอกเมืองหลวงอีก…”
สวีลิ่งอี๋มองภรรยาด้วยสายตาจริงใจ ในใจรู้สึกแปลกๆ แต่ว่าแปลกที่ใดเขาเองก็ยังบอกไม่ถูก
ในความจริงแล้วเขากำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่ การที่สืออีเหนียงคิดถึงเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงวันนั้นที่นางบอกเขาว่าอย่าพูดเรื่องแยกจวนตามอำเภอใจก็รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล…เขารีบทิ้งความรู้สึกสับสนนี้ออกจากหัวทันที แล้วเอ่ยถามสืออีเหนียงว่า “เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
ลาออกจากตำแหน่ง…เข้ารับราชการ…ข่าวเหล่านี้มาอย่างกะทันหันเกินไป อย่าว่าแต่ตอนนี้ที่นางยังสับสนอยู่ ต่อให้ไม่สับสนนางก็ไม่ได้มีความมั่นใจมายมากถึงเพียงนั้น นางไม่กล้าที่จะออกความคิดเห็นต่อหน้าเขา อีกอย่างนางยังรู้สึกว่าด้วยนิสัยที่ระแวดระวังของสวีลิ่งอี๋ อีกทั้งสถานะของตัวเองในสายตาของเขาตอนนี้ หากยังหาทางออกของเรื่องนี้ไม่ได้เขาไม่มีทางบอกนางตรงๆ เช่นนี้แน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แน่นอนว่าเขาได้เริ่มลงมือและได้เห็นผลลัพธ์เบื้องต้นแล้ว เช่นนั้นตัวเองก็เพียงแค่ออกความคิดเห็นเป็นกลางก็พอแล้ว…
เมื่อความคิดผ่านเข้ามาในหัว สืออีเหนียงก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย พูดอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าละอายใจยิ่งนัก ตอนนี้ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ เพียงแต่รู้สึกว่าหลายปีมานี้ท่านโหวต้องออกรบไปทั่ว ตอนนี้ได้อยู่เรือนอย่างสงบสุขนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง…”
ประโยคที่นางค่อยๆ พูดว่า ‘ตอนนี้ได้อยู่เรือนอย่างสงบสุข’ ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านใบหน้า ทำให้สวีลิ่งอี๋รู้สึกสบายใจถึงที่สุด สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา
“ข้าแค่เป็นห่วงก็เท่านั้น ท่านโหวตั้งใจวางแผนเพื่ออนาคตของคุณชายสาม คุณชายสามเป็นคนเข้าใจง่ายและรู้จักขอบเขต แต่ถึงอย่างไรพี่สะใภ้สามก็เป็นสตรี อาจจะมีวิสัยทัศน์ไม่เหมือนคุณชายสาม อย่างน้อยจะต้องถูกพี่สะใภ้สามเอาไปพูดอย่างแน่นอน เราควรจะทำให้นางพอใจจะได้ไม่เกิดความเข้าใจผิด เช่นนั้นแล้วความตั้งใจอันดีงามของท่านโหวจะได้ไม่ต้องเสียเปล่าเจ้าค่ะ…”
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้ฟังก็พยักหน้า
“แล้วไหนจะท่านแม่อีก คุณชายสามเติบโตมาข้างกายของนาง มาบัดนี้จู่ๆ ก็บอกว่าจะไปรับราชการนอกเมืองหลวง ก็ควรจะต้องหาเหตุผลที่ทำให้ท่านแม่เชื่อถือได้ มิเช่นนั้นอาจจะทำให้นางรู้สึกเสียใจ หลังจากที่คุณชายสามจากไป เรื่องในบ้านจะจัดการอย่างไร กิจการควรจะจัดการอย่างไร ท่านแม่เป็นคนมองการณ์ไกล ท่านควรจะไปปรึกษาท่านแม่ในเวลานี้ ด้วยความคิดตื้นๆ ของข้า ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดเป็นแน่”
“ที่เจ้าพูดก็ถูก” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อยแล้วสวมรองเท้า “นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราไปกันเถิด”
ดูเหมือนว่าตัวเองจะคาดเดาไม่ผิด สวีลิ่งอี๋ไม่เพียงแต่มีความคิดนี้มานานแล้ว ซ้ำยังเริ่มลงมือแล้วด้วย!
สืออีเหนียงครุ่นคิด นางนั่งลงแล้วสวมรองเท้าให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋กลับดึงนางขึ้นมา “เรียกสาวใช้มาก็พอแล้ว!”
สาวใช้ถูกไล่ออกไปจนหมด จากนั้นก็ตั้งใจเรียกสาวใช้เข้ามาเพื่อใส่รองเท้าให้โดยเฉพาะ…มันจะเป็นอย่างไรถ้าข่าวนี้แพร่งพรายออกไป!
สืออีเหนียงนั่งลงอีกครั้ง “นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ท่านโหวไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปหรอกเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ห้ามนางไว้แต่สีหน้ากลับรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าไม่คุ้นชิน
สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางยังไม่เคยนั่งลงใส่รองเท้าให้เขาเช่นนี้จริงๆ ด้วย
ในช่วงขณะนั้นภายในห้องเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงแขนเสื้อที่เสียดสีกัน
******
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงมาถึงเรือนของไท่ฮูหยินช้ากว่าปกติสิบห้านาที คิดไม่ถึงว่าคุณชายสามกับฮูหยินสามจะยังไม่มา
สืออีเหนียงอดคาดเดาไม่ได้ หรือว่าทั้งสองคนจะปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรเหมือนกับนางและสวีลิ่งอี๋…
บรรดาเด็กๆ กำลังห้อมล้อมไท่ฮูหยินพลางพูดหยอกล้อเล่นกันไปด้วย เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็พากันเข้าไปคำนับ แม้แต่จุนเกอก็ไม่หลบสวีลิ่งอี๋เหมือนเมื่อก่อน เดินตามหลังเจินเจี่ยเอ๋อร์มาคำนับท่านพ่อด้วยท่าทางเงอะงะ
เมื่อสวีลิ่งอี๋ได้เห็นก็ใจเต้นเล็กน้อย
ก็ดีเหมือนกัน ลาออกจากราชการแล้วก็จะได้อยู่เรือนตั้งใจสั่งสอนเจ้าลูกคนนี้ให้ดี!
ไท่ฮูหยินไม่ได้เห็นบุตรชายมาสองวัน รีบมาจับมือสวีลิ่งอี๋พาไปนั่งบนเตียงเตา “ทำไมเล่า วันนี้เจ้าไม่ต้องไปร่วมสังสรรค์หรอกหรือ” ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “งานสังสรรค์มีวันจบเสียที่ไหนกัน เพียงแต่ว่าข้าคิดถึงท่านแม่ ดังนั้นจึงไม่ได้ไปขอรับ”
สาวใช้คนหนึ่งเปิดม่านขึ้น “คุณชายห้ากับฮูหยินห้ามาแล้วเจ้าค่ะ”
ทุกคนประหลาดใจเป็นอย่างมาก
คุณชายสามกับฮูหยินสามที่ควรจะมาถึงกลับยังไม่มา คุณชายห้ากับฮูหยินห้าที่ไม่ต้องมาคารวะกลับมาถึงแล้ว
ไท่ฮูหยินถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมมากันตอนนี้” ยังไม่ทันพูดจบคุณชายห้าและฮูหยินห้าก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
คุณชายห้าสวมเสื้อผ้าไหมสีแดงแล้วสวมเสื้อคลุมสีเขียวเข้มปักลายนกกระเรียน ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าของเขาดูสง่างามดั่งวีรบุรุษ ฮูหยินห้าสวมเสื้อกันหนาวสีเขียวหยกลายผีเสื้อจันทรา สวมกระโปรงลายดอกไม้สีแดงเงิน เส้นผมสีดำคลับถูกมวยขึ้น อาจเป็นเพราะตั้งครรภ์จึงทำให้นางดูมีน้ำมีนวลกว่าที่เคยเห็นเมื่อครั้งก่อนเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับกระจ่างใสดุจพระจันทร์เต็มดวง ดูงดงามยิ่งนัก
สวีซื่อฉินและคนอื่นๆ เข้าไปคำนับทั้งสองด้วยรอยยิ้ม ดูออกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับท่านอาผู้นี้สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
“ไอ๊หยา เหตุใดเจ้าถึงไม่สวมเสื้อคลุม” ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็รีบกำชับป้าตู้ที่อยู่ข้างๆ ทันที “เร็ว เร็วเข้า เอาเตาพกพาของข้าให้นาง”
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้ารีบเดินไปหาไท่ฮูหยิน “หากไม่เชื่อท่านก็ลองจับมือข้าดูสิเจ้าคะ” พูดพลางยื่นมือให้ไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินลูบมือนาง เห็นว่าอุ่นจริงๆ สีหน้าจึงคลายความกังวลลงเล็กน้อย แต่ก็ยังตำหนิว่า “ต่อให้ไม่หนาวก็ต้องระวังให้มาก” ยังคงยัดเตาพกพาใส่มือฮูหยินห้าแล้วกล่าวอีกว่า “มีเรื่องอันใดก็ให้สาวใช้มาบอกก็พอแล้ว นี่ก็เริ่มมืดแล้วยังจะรีบมาอีก หากลื่นล้มไปจะทำอย่างไร”
ฮูหยินห้ามองคุณชายห้าแล้วหัวเราะ ทำเอาคุณชายห้าหน้าแดงไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก
“ข้ามีข่าวดีจะบอกท่านแม่ ดังนั้นจึงได้รีบมาเจ้าค่ะ”
เมื่อทุกคนได้ฟังก็ประหลาดใจ ไท่ฮูหยินหัวเราะ “ข่าวดีอะไรล่ะ”
ฮูหยินห้าปิดปากหัวเราะ “ท่านแม่ ท่านกำลังจะมีหลานชายเพิ่มอีกแล้ว”
เมื่อสืออีเหนียงได้ฟังก็ใจเต้นโครมคราม หันไปมองสวีลิ่งอี๋อย่างอดไม่ได้
สวีลิ่งอี๋ยากที่จะปกปิดความประหลาดใจ หันไปมองฮูหยินห้าแล้วหันไปมองคุณชายห้าที่มีสีหน้าหวาดกลัว ความเดือดดาลค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“หลานชายอะไรกัน” ไท่ฮูหยินสีหน้าซีดเผือก “ตานหยางเจ้าว่าอะไรนะ” พูดพลางจับมือฮูหยินห้าไว้แน่น
ฮูหยินห้าพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่ เสี่ยวหลานตั้งครรภ์แล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินมองคุณชายห้าด้วยสายตาคมกริบราวกับมีด