ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 13 วิเคราะห์
ในเมื่อบอกแล้วว่าจะหาเวลาไปทำงานถัก สืออีเหนียงจึงไปยังเรือนของนายหญิงใหญ่ตั้งแต่เช้าตามเวลาเมื่อวาน
นางมองเห็นอู่เหนียงที่สวมเสื้อคลุมสีแดงมาแต่ไกลๆ กำลังพูดคุยอยู่กับเคออี๋เหนียงที่ใต้ชายคา
เคออี๋เหนียงสวมเสื้อกั๊กยาวสีแดงทับทิมปักลายดอกไม้ กระโปรงสีน้ำเงินอมเขียวไม้ไผ่ ใบหน้าที่สวยงามดูนุ่มนวลกว่าปกติเมื่ออยู่ภายใต้ชายคาที่แขวนด้วยโคมสีแดง ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน ทันใดนั้นพวกนางก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาบังแล้วหัวเราะ ช่างเป็นฉากที่อบอุ่นเสียจริง
สืออีเหนียงกำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ จื่อเวยที่ยืนอยู่ข้างต้นตงชิงที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงกลมขนาดใหญ่มองมาเห็นนางเข้าพอดี
นางยิ้มแล้วเดินไปต้อนรับสืออีเหนียง “คุณหนูสิบเอ็ด วันนี้ท่านมาเร็วเสียจริง” เสียงดังกว่าปกติ และค่อนข้างแหลมเมื่ออยู่ในลานที่เงียบสงบเช่นนี้
สาวใช้น้อยที่อยู่ใต้ชายคาต่างมองมา และแน่นอนว่าได้ทำให้อู่เหนียงและเคออี๋เหนียงตกใจเช่นกัน
ต่อให้อยากหลบก็หลบไม่ได้!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไป “เพราะว่าต้องทำงานถัก ดังนั้นจึงต้องมาแต่เช้า”
“มิน่าล่ะเมื่อวานข้ามาคารวะท่านแม่จึงไม่ได้พบน้องหญิงสิบเอ็ด” อู่เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เมื่อวานข้าวาดตัวอักษรเกือบทั้งคืน พอถึงตอนจะนอนทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาบนเตียงเกือบทั้งคืน จึงตื่นเช้าหน่อยเพื่อมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับน้องหญิงสิบเอ็ด อีกสักครู่พวกเราเดินไปด้วยกันเถิด”
จำเป็นต้องอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดเช่นนี้ด้วยหรือ
“ได้สิเจ้าคะพี่หญิง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วคำนับนาง พูดอย่างห่วงใยว่า “ตอนนี้พี่หญิงดีขึ้นแล้วหรือไม่ บางครั้งที่ข้าปักดอกไม้จนถึงกลางดึก ทั้งๆ ที่เหนื่อยเป็นอย่างมากแต่พอถึงเวลานอนกลับนอนไม่หลับ ต้องใช้เวลาสองสามวันกว่าจะกลับสู่สภาพเดิมได้ พี่หญิงต้องดูแลตัวเองให้มากกว่านี้สักหน่อย จะได้ไม่เสียสุขภาพ”
อู่เหนียงคำนับกลับ ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “สองวันมานี้ข้ากังวลเรื่องของขวัญวันเกิดมากเกินไปแล้ว”
“ข้างนอกอากาศหนาว พวกเจ้าสองคนพี่น้องเข้าไปคุยในห้องเถิด” เคออี๋เหนียงเดินเข้ามาหาทั้งสอง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “อี๋เหนียง” จากนั้นก็เดินตามอู่เหนียงเข้าไปในห้อง
นายหญิงใหญ่ยังไม่ตื่นและไม่คิดอยากจะตื่น รู้ว่าพวกนางมาคารวะจึงให้สาวใช้น้อยมาบอกว่า “รู้แล้ว” แล้วให้พวกนางแยกย้ายไป
อู่เหนียงกับสืออีเหนียงมองหน้ากัน อู่เหนียงมองเคออี๋เหนียงอย่างกังวลใจ
สีหน้าเคออี๋เหนียงก็เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “เมื่อคืนป้าสวี่อยู่เฝ้าทั้งคืน…”
“ทำไมป้าสวี่ต้องอยู่เฝ้าทั้งคืน” อู่เหนียงหน้าซีดเล็กน้อย มองดูสาวใช้น้อยที่อยู่รอบๆ จึงได้หยุดสิ่งที่กำลังจะพูดออกมา
สืออีหนียงตาเป็นประกาย ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเราก็กลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ กลางคืนค่อยมาเยี่ยมท่านแม่อีกที”
ในกรณีนี้ไม่สามารถถามได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อู่เหนียงจึงต้องเก็บอารมณ์ ยิ้มแล้วพยักหน้า เดินออกจากเรือนหลักไปพร้อมกับสืออีเหนียง
ระหว่างทางอู่เหนียงและสืออีเหนียงพูดคุยกัน
“ได้ยินจื่อเวยบอกว่าเมื่อคืนป้าอู๋ก็ไปที่นั่นเช่นกัน”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะพี่หญิง” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ยังนำสุราจินหวามาด้วยสองไห” เอ่ยพลางยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณนาง “แล้วต้องลำบากให้พี่หญิงส่งใบชาชั้นดีมาให้อีกด้วย”
“เราเป็นพี่น้องกัน ไม่เห็นต้องพูดเช่นนี้” อู่เหนียงยิ้มอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็มีสาวใช้น้อยวิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบ “คุณหนูห้า ทำไมวันนี้ท่านไปหานายหญิงใหญ่เช้าขนาดนี้ล่ะเจ้าคะ ทำเอาบ่าวตามหาไปทั่ว หากไม่ได้เจอกับพี่ซานหู เกรงว่าคงต้องคลาดกับท่านแล้ว”
สืออีเหนียงไม่คุ้นหน้าสาวใช้น้อยผู้นั้น
อู่เหนียงยิ้มแล้วอธิบายว่า “นี่คืออี่หลิ่วสาวใช้น้อยในเรือนน้องสี่”
คุณชายสี่หลัวเจิ้นเซิงอาศัยอยู่เรือนนอก มิน่าล่ะนางถึงไม่รู้จัก ในเมื่อส่งสาวใช้น้อยมาหา แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
สืออีเหนียงรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่จึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงไม่ต้องส่งข้าแล้ว เดินไปตามโถงทางเดินก็ถึงหอลู่จวินแล้ว”
อู่เหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มตอบ “เช่นนั้นข้าขอไม่ไปส่งน้องหญิงสิบเอ็ดแล้ว”
“พี่หญิง ช้าก่อนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามสารทุกข์สุกดิบนางสองสามประโยค จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังหอลู่จวิน
หู่พั่วที่อยู่ข้างๆ หันกลับไปมอง เห็นว่าสาวใช้น้อยกำลังกระซิบอยู่ข้างหูอู่เหนียง จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปทางเรือนหลัก
ในเมื่อเป็นสาวใช้ของคุณชายสี่ ทำไมถึงต้องพาคุณหนูห้าไปที่เรือนหลัก
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว หู่พั่วก็หน้าซีดขึ้นเล็กน้อย
สาวใช้น้อยผู้นั้นบอกแค่ว่ามาหาอู่เหนียง และอู่เหนียงก็บอกแค่ว่าสาวใช้น้อยผู้นั้นเป็นคนของคุณชายสี่ แต่กลับไม่ได้บอกว่าเป็นคำสั่งของคุณชายสี่ที่ให้สาวใช้น้อยมาหานาง…เพียงแต่ว่าคำพูดเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจผิด คิดว่าสาวใช้น้อยผู้นี้มาหาคุณหนูห้าตามคำสั่งของคุณชายสี่ ทำให้คนที่ไม่ทันคิดเข้าใจผิด
นางนึกถึงตอนที่อู่เหนียงและเคออี๋เหนียงยืนคุยกันที่ใต้ชายคาก่อนที่สืออีเหนียงจะมาถึง จื่อเวยที่ยืนอยู่ข้างราวบันไดดูเหมือนว่ากำลังระวังอะไรบางอย่าง…แล้วนางก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้…อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
หู่พั่วมองดูสืออีเหนียงที่เดินอย่างสง่างามอยู่ข้างหน้า อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี
******
เมื่อกลับมาถึงหอลู่จวิน สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกกับหู่พั่วว่า “ที่นี่คนเยอะแต่มีงานให้ทำน้อย เดิมทีทุกคนก็ว่างอยู่แล้ว เมื่อมีเจ้ามาเพิ่มทุกคนก็ยิ่งว่างเข้าไปใหญ่ วันนี้ข้าจะอยู่เรือนเพื่อทำงานถักทั้งวัน เจ้ามีเรื่องอะไรก็ไปทำเถิด อีกสองสามวันข้าจะเริ่มปักม่านกันลมแล้ว ตงชิงจะต้องคอยช่วยข้า เรื่องในเรือนทั้งหมดนี้ต้องมอบหมายให้เจ้าแล้ว หากจะทำธุระในภายหลังก็ไม่สู้ทำให้เสร็จเสียตอนนี้เลย”
ความหมายก็คือหากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ให้รีบไปทำ เมื่อข้าเริ่มงานปักเจ้าก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องทุกอย่างในเรือนนี้จะต้องเป็นไปอย่างราบรื่น
คุณหนูที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีในเรือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากว่าตอนนี้เป็นเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ ท่านพ่อของนางก็จะลางานกลับมาเยี่ยมบ้านแล้ว นอกจากไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ทุกเช้าเย็นแล้ว คนที่วันๆ เอาแต่อยู่ในเรือนอ่านหนังสืออย่างคุณหนูสิบเอ็ดไม่จำเป็นต้องไปไหนก็ได้
คุณหนูสิบเอ็ดพูดเช่นนี้เพื่อเป็นการตักเตือนนางใช่หรือไม่
บอกกับนางว่าให้ตัดขาดจากเรื่องราวก่อนหน้านี้ และตักเตือนว่าต่อไปนี้อย่าเดินออกนอกลู่นอกทาง…
หู่พั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มแล้วย่อเข่าคำนับ “คุณหนูสิบเอ็ดวางใจได้เลยเจ้าค่ะ ก่อนที่บ่าวจะมาที่นี่ก็ได้จัดการเรื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เมื่อท่านเริ่มปักม่านกันลมบ่าวก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น แม้ว่าในเรือนของคุณหนูจะมีงานน้อย แต่การกินข้าว ซักผ้า การพบปะสังสรรค์กันระหว่างคนในเรือนก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน หากงานปักม่านกันลมของท่านต้องล่าช้าเพราะบ่าว เช่นนั้นต่อให้บ่าวตายไปหมื่นครั้งก็ยังน้อยเกินไป”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
สมแล้วที่เป็นคนของนายหญิงใหญ่ ฉลาดและมีไหวพริบเสียจริง มองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง…ไม่ต้องเสียเวลาพูดมาก ไม่ทำให้ต้องเปลืองสมอง
นางพยักหน้า เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างเตาอั้งโล่แล้วเริ่มงานถัก
หู่พั่วค่อยๆ ย่องออกมา เรียกตงชิงเข้ามารับใช้คุณหนู ตัวเองพาปินจวี๋ไปทำความสะอาดห้อง
ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า “วันที่ยี่สิบหกถึงจะเริ่มปัดฝุ่น”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “วันนั้นคุณหนูก็เริ่มปักม่านกันลมแล้ว เดี๋ยวจะไปรบกวนนาง”
ปินจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูของพวกเราดูเหมือนจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่จริงๆ แล้วนางเป็นคนร่าเริงชอบความครึกครื้น และเป็นคนอารมณ์ดี เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
หู่พั่วดวงตาเป็นประกาย ยิ้มแล้วตอบกลับ “อ้อ ข้าเห็นว่าคุณหนูท่าทางสงบเสงี่ยม ข้าจึงคิดว่านางรักความสงบ”
“คุณหนูของพวกเราท่าทางสงบเสงี่ยมอย่างนั้นหรือ” ปินจวี๋ไม่คิดเช่นนั้น “นางชอบความครื้นเครงรอบๆ ตัวต่างหาก!”
“ชอบความครื้นเครงอย่างไร” หู่พั่วถาม
“ชอบปลูกดอกไม้ใบหญ้า ชอบฟังคนรอบข้างพูดไปหัวเราะไปเมื่ออยู่ต่อหน้านาง แล้วยังชอบให้ทุกคนใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส…”
หู่พั่วตั้งใจฟังพร้อมกับจำใส่ใจ
******
ในห้องนอน ตงชิงก็กำลังพูดคุยอยู่กับสืออีเหนียง
“ปินจวี๋บอกว่าคุณหนูห้าไม่มีอะไรผิดปกติ ยังเป็นอย่างเช่นเมื่อก่อนเจ้าค่ะ”
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น” นิ้วของสืออีเหนียงตวัดซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็ถักส่วนของตัวค้างคาวตัวเล็กเสร็จแล้ว “ดูท่าทางของจื่อเวยในวันนั้นก็รู้ได้ว่าก่อนหน้านี้นางไม่เคยสังเกตอะไรมาก่อน”
“ก่อนหน้านี้หรือเจ้าคะ” ตงชิงถามด้วยความประหลาดใจ
สืออีเหนียงพยักหน้าโดยไม่ได้ละสายตาไปจากงานถักที่อยู่ในมือ “เมื่อก่อนไม่รู้ แต่ว่าตอนที่ไปคารวะนายหญิงใหญ่ ข้าได้พบกับสาวใช้น้อยที่หน้าตาไม่คุ้น บอกว่าตามหาพี่หญิงห้าไปทั่ว นางอธิบายกับข้าว่าสาวใช้น้อยผู้นั้นเป็นคนของคุณชายสี่ เวลานี้ลานข้างในยังไม่มีลูกกุญแจแล้วนางเข้ามาจากทางไหน หากจะโกหกก็ควรจะพูดให้สมเหตุสมผล!” มือที่กำลังถักอยู่ได้หยุดลง เงยหน้าขึ้นมามองตงชิง “การมาของอู๋เซี่ยวเฉวียนเมื่อวานนี้จะต้องทำให้อู่เหนียงรับรู้ถึงอะไรบางอย่างแน่ๆ ดังนั้นจึงไปหาเคออี๋เหนียงแต่เช้าเพื่อดูว่ามีข่าวคราวอะไรหรือไม่ พอกำลังจะไปก็ถูกเคออี๋เหนียงเรียกกลับไปอีก แสดงว่าต้องค้นพบอะไรบางอย่างแน่นอน เจ้าให้ปินจวี๋ไปที่เรือนคุณหนูห้าบ่อยๆ หากมีเรื่องอะไรจริงๆ ก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้”
ตงชิงตอบรับด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ” แล้วพูดต่อว่า “วันนี้ตอนเช้าตรู่ อี๋เหนียงใหญ่มาที่นี่เจ้าคะ”
สืออีเหนียงชะงักมือ “นางมาทำอะไร แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“อยู่บนหอเจ้าค่ะ” ตงชิงชี้ไปที่ข้างบน “บอกว่าจะมาให้คุณหนูสิบช่วยคัดพระคัมภีร์ให้เจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงทั้งสองนับถือพระพุทธศาสนา แม้ว่าคุณหนูห้าจะเขียนตัวอักษรได้สวยงาม แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะขอให้นางช่วยเขียนให้ได้ ในบรรดาพี่สาวน้องสาว สือเหนียงเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุด มักจะได้คำชมจากท่านพ่อ แต่ว่านางเป็นคนใจร้อนแล้วก็อารมณ์แปรปรวน ไม่ใช่คนที่จะเข้าหาได้ง่ายๆ ในช่วงเวลาที่น่ากลัวเช่นนี้ การกระทำของอี๋เหนียงใหญ่ทำให้สืออีเหนียงไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
“แต่ว่าท่านอย่าได้กังวลไปเลย” สืออีเหนียงเคยบอกกับนางว่า ‘ความผิดปกติคือปีศาจ’ การมาของอี๋เหนียงใหญ่ในวันนี้ทำให้ตงชิงคิดว่าผิดปกติเป็นอย่างมาก นางจึงจับตามองอยู่ตลอด “ไป่จือกับจิ่วเซียงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในเรือนเรา…มีเรื่องอะไรก็ปิดได้เพียงชั่วคราว ไม่อาจปิดได้ตลอดไปหรอกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า พูดอย่างติดตลกว่า “ตงชิงเริ่มรู้จักจัดการมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ตงชิงปิดปากแล้วหัวเราะ แต่ยังหัวเราะได้ไม่ทันไร แสงสว่างในดวงตาก็มอดดับลง
สืออีเหนียงปลอบใจนางว่า “ข้ายังเหลืออีกสองปีก็จะอายุครบสิบห้าปี เจ้าเองก็ยังเหลืออีกสองปีเช่นกัน”
ยิ่งอยู่ในจวนสกุลหลัวนานเท่าไรก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความขัดแย้งระหว่างเจ้านายมากขึ้นเท่านั้น
ตงชิงไม่ได้มองโลกในแง่ดีเหมือนสืออีเหนียง แต่ก็ไม่อยากทำให้ผู้หญิงที่ถึงแม้ว่าจะเป็นคนไม่ชอบพูดแต่ก็ไม่เคยผิดคำพูดเลยอย่างคุณหนูต้องไม่มีความสุข
“เจ้าค่ะ” นางยิ้มแล้วพยักหน้า “พวกเราจะต้องคิดหาวิธีได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่อยากพูดปัญหานี้กับตงชิง
เมื่อต้องเผชิญกับอำนาจเผด็จการ การสมรู้ร่วมคิดและวิธีการต่างๆ ก็ไร้ความหมายในทันที
คนในสมัยโบราณแต่งงานเร็ว แม้ว่านางอยากจะหาวิธีเพื่อที่จะได้แต่งงานกับคนที่ซื่อสัตย์ แต่ประการแรกคือจิตใต้สำนึกของนางเองกลับดูถูกวิธีเหล่านี้ ประการที่สองคือไม่มีโอกาส ทำให้การลงมือล่าช้าไปเล็กน้อย
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าแม้จังหวะชีวิตในช่วงนี้จะเชื่องช้า ทว่าเรื่องราวกลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว…ในเมื่อไม่ระวังตัวให้ดีก็สมควรแล้วที่ถูกกระทำเช่นนี้
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็เปลี่ยนเรื่อง “ทางด้านชิวจวี๋มีข่าวอะไรหรือไม่”
ตงชิงยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวพึ่งจะบอกกับชิวจวี๋เมื่อเช้านี้ เกรงว่าต้องรอสักสองสามวันจึงจะมีข่าวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตอบแค่เพียงว่า “อืม” จากนั้นก็ก้มหน้าตั้งใจถักต่อ