ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 128 จัดการ(ปลาย)
เดินออกมาจากห้องของไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและฮูหยินสามเดินออกมาพร้อมกัน “พี่สะใภ้สาม เรื่องของหว่านเซียง ข้าต้องปรึกษาพี่สะใภ้เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามรอให้สืออีเหนียงพูด นางยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้สี่คิดเช่นไร”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สามพูดถูกเจ้าค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าตาของท่านแม่ ท่านเป็นคนดูแลจวนแน่นอนว่าต้องเสียหน้า แต่มันก็ทำให้คนหัวเราะเยาะได้เช่นกัน พี่สะใภ้สามเป็นคนดูแลจวน นางไม่ทำตามกฎเกณฑ์ จะไม่ลงโทษคงมิได้ แต่หากลงโทษรุนแรงเกินไป เกรงว่าคงจะมีคนพูดว่าท่านรังแกหว่านเซียงที่นางไม่มีใคร มันจะทำให้พี่สะใภ้สามเสียชื่อเสียง ข้าคิดๆ ดูแล้ว คิดว่าพี่สะใภ้สามคงจะลำบากใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ดังนั้นข้าจึงมาปรึกษาพี่สะใภ้ ดูว่ามีวิธีใดที่พอจะทำให้เรื่องนี้คลี่คลาย พี่สะใภ้สามก็รู้ว่าท่านแม่เป็นคนใจกว้าง หากมีข่าวลืออะไรแพร่ออกไปมันคงไม่ดี!”
ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะแห้งในใจ
นี่มาขอร้องที่ไหนกัน นี่มันข่มขู่ชัดๆ!
แต่นางก็นึกถึงนิสัยของหว่านเซียง ถึงแม้ว่าจะปล่อยนางไปครั้งนี้ แต่ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องมีครั้งต่อไปแน่นอน นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ในเมื่อน้องสะใภ้สี่มาขอร้องให้นาง ข้าก็คงต้องเห็นแก่หน้าเจ้า แต่ว่า หากข้าปล่อยไปเช่นนี้ มันก็จะเหมือนกับที่น้องสะใภ้สี่พูด ต่อไปจะเชือดไก่ให้ลิงดูได้เช่นไร ข้าคิดว่างานของนางยังคงให้นางทำต่อไป แต่จะหักเงินเดือนนางสามเดือน น้องสะใภ้สี่คิดว่าเป็นเช่นไร”
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะคลี่คลายแล้ว!
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้สามเจ้าค่ะ ข้าได้เตือนนางไปแล้ว แต่พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้นางไปขอโทษพี่สะใภ้สามอีกทีเจ้าค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องขอโทษ!” ฮูหยินสามพูดด้วยสายตาที่ดูถูก “บอกให้นางตั้งใจทำงานก็พอ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นางได้รับบทเรียนเช่นนี้ ต่อไปคงตั้งใจทำงานแน่นอนเจ้าค่ะ”
พวกนางสองคนยืนพูดคุยกันอยู่ที่นั่นสองสามประโยค
มีสาวใช้วิ่งไปบนทางเดินผ่านหน้าพวกนางไป
สืออีเหนียงตกใจ
ดูเหมือนว่าจะเป็นสาวใช้ที่มาหาเว่ยจื่อเมื่อครู่!
นางตกอยู่ในภวังค์ ฮูหยินสามยิ้มแล้วพูดว่า “…ประเดี๋ยวคุณชายสามกลับมาไม่เจอข้า ข้าขอตัวก่อน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วแยกย้ายกับฮูหยินสาม
หู่พั่วไม่พอใจ “ไม่รู้ว่าหว่านเซียงจะเข้าใจความลำบากของฮูหยินหรือไม่ ต้องมาขอร้องให้คนอย่างนาง!”
“โลภมากลาภก็จะหาย” สืออีเหนียงพูดอย่างเฉยเมย “นางอยู่กับพี่หญิงใหญ่จนเคยตัว ถึงแม้ว่าข้าจะดีกับนางเพียงใด เกรงว่าก็คงจะเอาชนะใจนางไม่ได้”
หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยมีความสุข นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านยังมีพวกเราเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามถึงว่านซานเสี่ยน “ได้ยินมาว่าปีนี้อายุสิบหกแล้ว ฉลาดหลักแหลมไม่น้อย!”
หู่พั่วพยักหน้า “ฉลาดกว่าว่านต้าเสี่ยนเสียอีกเจ้าค่ะ เจอใครก็เรียกว่าพี่หญิง”
พวกนางทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในเรือน
มีสาวใช้เดินเข้ามาต้อนรับ
สืออีเหนียงถาม “ท่านโหวกลับมาหรือยัง”
“ท่านโหวยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ!” สาวใช้รีบหยิบตะเกียงจากในมือของหู่พั่วมาแล้วเดินนำทาง
ตอนนี้ยังไม่กลับมา?
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองหิมะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
เข้าไปในห้อง สาวใช้ก็พากันเดินเข้ามารับใช้
สืออีเหนียงถามฟังซี “ส่งคนไปบอกเหวินอี๋เหนียงแล้วหรือยัง!”
“ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ” ฟังซีพูด “บ่าวเป็นคนไปรายงานเองเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงบอกให้ซวงอวี้ไปบอกหว่านเซียง “…พรุ่งนี้เช้าไปขอโทษฮูหยินสาม หักเงินเดือนนางสามเดือน แต่ยังให้นางทำงานอยู่ที่โรงครัวของเรือนใน”
ซวงอวี้ตอบรับแล้วเดินออกไป
ปินจวี๋พาชิวอวี่และเยี่ยนหรงมารับใช้นางอาบน้ำ จากนั้นก็พูดถึงเรื่องของเฉียวเหลียนฝัง “…วันนี้ทานแค่ข้าวต้มถ้วยเดียวเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนึกถึงคำที่ป้าเถาบอกนางเมื่อวานว่าท่านโหวไปนอนที่เรือนของเหวินอี๋เหนียง
ตัวเองยังรู้ นับประสาอะไรกับเฉียวเหลียนฝังที่อาศัยอยู่เรือนข้างหลังเรือนเหวินอี๋เหนียง
จะว่าไป เรือนที่นางอาศัยอยู่ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
ข้างหน้าคือเหวินอี๋เหนียง ข้างหลังคือฉินอี๋เหนียง…เห็นสวีลิ่งอี๋เข้าๆ ออกๆ คาดว่านางคงจะเสียใจไม่น้อยกระมัง
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง อีกแค่สองวันนางก็จะหายดีแล้ว”
แม้ปินจวี๋จะเป็นหญิง แต่แน่นอนว่านางไม่รู้ความลึกลับของเรื่องนี้ เพียงพึมพำ “บ่าวคิดว่านางไม่หิว”
อากาศหนาวเช่นนี้ ข้างนอกลมหนาวพัดโหมกระหน่ำ แต่ในห้องกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ได้แช่ตัวในถังอาบน้ำไม้สน สวรรค์บนดินคงเป็นเช่นนี้
สืออีเหนียงหลับตาลงอย่างสบายใจแล้วพูดคุยกับปินจวี๋ “ดูเหมือนว่านางคงจะทานขนมไปแล้ว!”
“ท่านรู้ได้เช่นไรเจ้าค่ะ” ปินจวี๋ถามด้วยความแปลกใจ “วันนี้บ่าวได้ยินเสี่ยวป่านเติ้งพูด”
ไม่ได้จะตายจริงๆ เสียหน่อย ใครจะยอมอดอาหารตายกันเล่า
“เสี่ยวป่านเติ้ง?” สืออีเหนียงยิ้ม “สาวใช้ในเรือนของเฉียวอี๋เหนียง?”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” ปินจวี๋พูด “เป็นหลานสาวของป้าหลี่ว์ที่ทำงานอยู่โรงครัวเล็กลานตะวันออกเจ้าค่ะ นางถือขนมวัวซือถังกิน บ่าวดูแล้วแปลกๆ ขนมวัวซือถังถุงละสองตำลึง นางไปเอามาจากไหน บ่าวจึงขู่นาง นางเลยเล่าให้บ่าวฟังหมดทุกอย่าง!”
สืออีเหนียงหัวเราะ ลืมตาขึ้นแล้วเอนตัวพิงถัง “เสี่ยวป่านเติ้งอายุเท่าใด นางพูดอะไรบ้าง”
“เจ็ดขวบเจ้าค่ะ” สีหน้าของปินจวี๋บิดเบี้ยว “บ่าวบอกว่าขนมวัวซือถังที่เรือนหายไปถุงหนึ่ง ถามว่านางเป็นคนขโมยไปใช่หรือไม่ นางตกใจจนร้องไห้ บอกว่าซิ่่วหยวนที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียงเป็นคนเอาให้นาง บ่าวจึงถามอีกว่า เหตุใดซิ่่วหยวนถึงต้องเอาขนมให้นาง นางบอกว่าซิ่่วหยวนบอกให้ย่าของนางทำขนมซู่โต้วเกาและขนมถั่วกวน บ่าวคิดอยู่ตั้งนาน ท่านเป็นคนใจกว้าง โรงครัวเล็กทางทิศตะวันออกเดิมทีก็สร้างขึ้นให้อี๋เหนียงทั้งสามท่านอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อี๋เหนียงสามท่านอยากจะทานขนม แม้แต่ท่านป้าและสาวใช้อยากจะทาน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทำให้ทาน แล้วซิ่่วหยวนจะใช้รางวัลเป็นขนมวัวซือถังแพงๆ เช่นนี้ทำไมกัน พอดีว่าป้าหลี่ว์ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จึงเดินออกมาดู บ่าวเลยเข้าใจทุกอย่าง ที่แท้เฉียวอี๋เหนียงบอกว่าอาหารไม่ถูกปาก บอกให้ป้าหลี่ว์ทำขนมไปให้นาง กลัวว่าท่านจะทราบแล้วว่านางเรื่องมาก นางจึงบอกป้าหลี่ว์ว่าไม่ให้บอกผู้ใด” พูดจบ นางก็พูดด้วยความโมโห “ป้าหลี่ว์นี่ก็จริงๆ เลย ไม่ดูเลยว่าที่นี่ใครเป็นคนดูแล นางบอกไม่ให้บอกใครก็ไม่ยอมบอกใครจริงๆ ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าสั่งสอนนาง?”
“ไม่ได้สั่งสอนเจ้าค่ะ!” ปินจวี๋พูดอย่างท้อใจ “บ่าวไม่รู้ว่าท่านจะจัดการเช่นไร ดังนั้นบ่าวจึงอดทนเอาไว้!”
สืออีเหนียงพยักหน้า
นางมีโรงครัวเล็กที่ดูแลนางส่วนตัว ลานทางทิศตะวันตกก็มีโรงครัวเล็กที่ดูแลอี๋เหนียงทั้งสามท่าน บางครั้งสาวใช้หรือท่านป้าคนใดอยากจะต้มน้ำร้อนสระผม หรือทำอะไรทาน ไม่มีใครกล้ามาที่โรงครัวเล็กของนาง จึงไปที่โรงครัวเล็กลานทิศตะวันออก สืออีเหนียงก็ไม่ได้ห้ามอะไร ดูเหมือนว่า เฉียวเหลียนฝังจะฉวยโอกาสนี้ไป
นางลุกขึ้นแต่งตัว ม้วนผมสบายๆ บอกให้ปินจวี๋ไปเรียกหู่พั่วเข้ามา จากนั้นก็เล่าเรื่องที่โรงครัวเล็กทำขนมให้เฉียวอี๋เหนียงให้นางฟัง “…โรงครัวเล็กที่ลานทิศตะวันออกมีสาวใช้ทำงานอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่ หากใช้งานได้ก็ใช้ หากใช้งานไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นคนของเรา ข้าอยากจะรู้การเคลื่อนไหวที่นั่น”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ! บ่าวจะจัดการให้ภายในสองวันนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ชื่นชมปินจวี๋ “โชคดีที่เจ้าละเอียดรอบคอบ ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะมองข้ามเรื่องนี้ไปแล้ว”
ปินจวี๋หน้าแดง นางโบกมือซ้ำๆ “ไม่ใช่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ บ่าวก็แค่บังเอิญไปเจอเข้าแค่นั้น”
ในขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็มีสาวใช้เข้ามรายงาน “ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“มาที่นี่หรือว่าไปที่ลานทิศตะวันออก?”
สาวใช้พูดเบาๆ “ไปที่ลานทิศตะวันออกเจ้าค่ะ…”
เช่นนั้นก็ดี ไม่ต้องแต่งตัวใหม่
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก บอกให้หู่พั่วและปินจวี๋ออกไปพักผ่อน
เช้าวันต่อมานางเรียกป้าเถามาหา เล่าเรื่องที่ฮูหยินสามจะเปลี่ยนสาวใช้ของสวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ให้นางฟัง “…ตามหลักของจวน ควรจะเปลี่ยนแล้วเช่นนั้นหรือ”
ป้าเถาลองคำนวณดูแล้วพูดว่า “ตามหลักแล้ว ควรจะปล่อยพวกนางไปได้แล้วเจ้าค่ะ”
หรือว่าตัวเองคิดมากเกินไป?
แต่ในใจของสืออีเหนียงไม่ค่อยสบายใจ นางบอกป้าเถา “เราไม่ค่อยรู้เรื่องเรือนข้างนอก ต้องไปสืบดูเสียบ้าง” จากนั้นก็ปรึกษาหารือเรื่องที่จะเปลี่ยนสาวใช้ให้กับสวีซื่ออวี้ “ต้องหาคนที่ซื่อสัตย์และพึ่งพาได้สองสามคน!”
ป้าเถาตอบรับแล้วเดินออกไป
ฉินอี๋เหนี๋ยงและเหวินอี๋เหนียงมาคารวะนาง
เหมือนปกติ เหวินอี๋เหนียงสังเกตเห็นทันทีว่าสืออีเหนียงสวมต่างหูทองสีแดง จากนั้นนางก็เอ่ยชื่นชมสืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มตอบรับนางไปสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้ฉินอี๋เหนียงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อน
นี่คือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฉินอี๋เหนียงตกใจ
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้นาง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่จะเปลี่ยนสาวใช้ของสวีซื่ออวี้ให้นางฟัง
ฉินอี๋เหนียงตกใจ
“…อวี้เกอเป็นบุตรชายคนโตของเรือนเรา ต่อไปเขาต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ แล้วยังอาศัยอยู่ที่ลานข้างนอก เราดูแลไม่ถึง แต่จะให้คนอื่นดูแลเขาผิดๆ ไม่ได้” สืออีเหนียงพูด “แต่ฮูหยินสามพอพูดถึงเรื่องนี้ไท่ฮูหยินก็รับปากทันที ข้ากำลังปวดหัวกับเรื่องสาวใช้ เจ้าก็ลองดู ดูว่ามีสาวใช้ที่รู้จักหน้าที่และซื่อสัตย์หรือไม่ ถึงตอนนั้นก็ส่งไปรับใช้อวี้เกอที่เรือน”
นางพูดจบไปครู่หนึ่ง ฉินอี๋เหนียงถึงได้มีสติกลับมา นางพูดด้วยความซาบซึ้ง “ฮูหยินคิดได้รอบคอบมากเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าโง่เกินไป ไม่รู้จักผู้ใดเลย เรื่องของสาวใช้ ข้านั้นช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” พูดจบนางก็รีบลุกขึ้นอย่างไม่สบายใจ “ข้าช่วยฮูหยินแบ่งเบาภาระไม่ได้…”
ถือว่าบอกนางแล้ว!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดคุยกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็บอกให้ฉินอี๋เหนียงกลับเรือน
ถึงแม้ว่านางไม่ได้เป็นศัตรูกับอี๋เหนียงทั้งสามคน แต่ใครจะกล้ารับประกันว่าอี๋เหนียงทั้งสามคนไม่ได้คิดอะไรกับนาง!
สืออีเหนียงเรียกหู่พั่วเข้ามา “ส่งคนไปจับตาดูฉินอี๋เหนียง ดูว่าช่วงนี้นางไปมาหาสู่กับใครบ้าง”
กำลังจะเปลี่ยนสาวใช้ของบุตรชายสุดที่รักของตัวเอง นางไม่เชื่อว่าฉินอี๋เหนียงจะไม่ทำอันใดเลย…
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไป
แต่ข่าวที่ได้กลับมาทำให้สืออีเหนียงเงียบอยู่นาน ฉินอี๋เหนียงให้บ่าวรับใช้ตัวน้อยเอาจดหมายไปส่งให้ฮูหยินสองที่ซีซาน
“จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ” หู่พั่วถามสืออีเหนียงอย่างร้อนรน
“แน่นอนว่าเราต้องอยู่เงียบๆ ไปก่อน” สืออีเหนียงยิ้ม “ฉินอี๋เหนียงก็แค่เขียนจดหมายให้ฮูหยินสอง หรือว่าเราจะออกไปพูดว่าฮูหยินสองเข้ามายุ่งย่ามเรื่องของคุณชายน้อยสองกันเล่า”
หู่พั่วพยักหน้าแล้วทำสีหน้าแน่วแน่ “บ่าวจะให้คนคอยจับตามองที่ซีซานเอาไว้เจ้าค่ะ”
ว่านอนสอนง่ายจริงๆ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองดูหู่พั่วด้วยความพอใจ
สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว
สืออีเหนียงเดินออกไปต้อนรับ
สีหน้าของเขานิ่งสงบ มองไม่เห็นความแตกต่างจากปกติ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วต้อนรับสวีลิ่งอี๋มานั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่างห้องทางทิศตะวันออก จากนั้นก็ชงชาให้เขาด้วยตัวเอง
“ท่านโหววันนี้ไม่ไปลาดตระเวนหรือเจ้าคะ”
นางกำลังถามว่าเรื่องข้าวราจัดการเสร็จแล้วหรือยัง
สวีลิ่งอี๋ตอบกลับเพียง “อืม” ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย เขาใช้ฝาถ้วยชาแตะใบชาที่ลอยอยู่ข้างบนเบาๆ “ท่านแม่กล่าวอะไรหรือไม่”
เขาไปราชสำนักทุกเช้า มีแต่ตอนเย็นที่ไปคารวะไท่ฮูหยิน
“ได้ยินมาว่าท่านต้องไปลาดตระเวน เป็นห่วงว่าท่านจะลำบาก” สืออีเหนียงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋เป็นห่วงท่านแม่ นางจึงเล่าเรื่องของคืนนั้นให้สวีลิ่งอี๋ฟัง แล้วยังเล่าเรื่องที่ฮูหยินสามจะเปลี่ยนสาวใช้ของสวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ให้เขาฟัง และแน่นอนว่า นางก็เล่าเรื่องที่ตัวเองจะหาสาวใช้ที่รู้หน้าที่และซื่อสัตย์ให้กับสวีซื่ออวี้ เล่าว่าหากหาสาวใช้ได้แล้วยังจะส่งไปให้ไท่ฮูหยินดูก่อนให้เขาฟังทุกอย่าง
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิด “จะเปลี่ยนสาวใช้?”