ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 125 แจกจ่ายข้าวต้ม(ปลาย)
ป้าหวงนำโสมกลับไปที่ลานข้างนอกที่ตัวเองอาศัยอยู่ มองดูใบหน้าเล็กๆ ที่อยู่ภายใต้แสงไฟสลัวของบุตรชายตน นางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
หวงเหล่าฮั่นที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะกระซิบเบาๆ “ทำไมกัน สะใภ้เฉินก็ไม่มีโสมหรือ”
ป้าหวงส่ายหน้า หยิบโสมที่หว่านเซียงเอาให้ก่อนหน้านี้ออกมาจากแขนเสื้อ “เกรงว่าต่อไปคงจะหาไม่ได้แล้ว!”
หวงเหล่าฮั่นรีบพูด “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
“ไม่มีอะไร” สีหน้าของป้าหวงขมขื่น “เอาของนางมาตั้งมากมาย ถึงเวลาต้องชดใช้หนี้สินแล้ว!”
หวงเหล่าฮั่นได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “ชดใช้เช่นไรกัน” พูดจบเขาก็มองไปรอบๆ เรือนที่คับแคบของตัวเอง “ของที่ขายได้ก็ขายไปหมดแล้ว เราจะเอาอะไรไปชดใช้”
ป้าหวงไม่พูดไม่จา นางแค่บอกสามีว่า “เจ้าเก็บของชิ้นนี้ไว้ให้ดี ค่อยๆ ใช้ อาจจะใช้ได้สักหนึ่งปี เรื่องหลังจากนั้นใครก็บอกไม่ได้!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความหวัง
เช้าวันต่อมา จัดการคนที่ต้องไปแจกจ่ายข้าวต้มใหม่
“ท่านเอาแต่เอาใจคนในจวน” มีสะใภ้ที่ไม่พอใจพูด “คนของเขาไปแจกจ่ายข้าวต้ม ทุกวันยังได้เงินสามสิบอีแปะ แต่เรากลับทำงานเปล่าๆ!”
ป้าหวงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “ผู้ใดเป็นคนกล่าว”
“ไท่ฮูหยินเป็นคนพยักหน้าเห็นด้วยด้วยตัวเอง” สะใภ้คนนั้นสะบัดหน้าหนี “ท่านก็รู้พี่สะใภ้ใหญ่ คุณนายใหญ่ของเราทำงานอยู่ในเรือนของไท่ฮูหยิน คุณนายใหญ่ของเราเป็นคนพูดเช่นนี้เองกับปาก”
คนอื่นได้ยินเช่นนี้ก็พากันโวยวายขึ้นมา
“ทุกคนก็ทำงานเหมือนกัน แต่เหตุใดพวกเขามีสามสิบอีแปะส่วนพวกเราไม่มี”
“ใช่ ใช่ เป็นเช่นนี้ทุกปี ท่านป้าที่มีหน้ามีตาของแต่ละเรือนไปเสนอหน้าที่ซุ้มข้าวต้มเสร็จ ก็ถึงเวลาที่คนอย่างพวกเราต้องไปแจกจ่ายข้าวต้มแล้ว ไม่เห็นหรือว่าปีนี้พายุหิมะตกหนักขนาดไหน!”
ป้าหวงเห็นว่าสถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย นางขยิบตาให้สะใภ้สองคนที่สนิทกับตัวเอง หนึ่งในนั้นก็ตะโกนขึ้นมา “เอาล่ะ เอาล่ะ พูดไปก็ไม่มีโยชน์อันใด ใครบอกให้เราเป็นคนของเรือนนอก เทียบกับคนของเรือนในไม่ได้ หากพวกเจ้าเก่งนักก็ย้ายไปเรือนข้างในสิ พูดเช่นนี้อยู่ที่นี่มีประโยชน์อันใด”
ทันใดนั้นคนอื่นๆ ก็เงียบลง
ป้าหวงเห็นว่าทุกคนหยุดพูดกันแล้ว นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นเช่นนี้ แต่นี่มันคือเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ หากจะโทษ ก็ต้องโทษที่หัวหน้าอย่างข้าไร้ความสามารถกระมัง” พูดจบนางก็ถอนหายใจอย่างเอือมระอา “หากทุกคนมีคนที่มีตำแหน่งสูงคอยช่วยเหลือ ข้าก็ไม่ห้าม”
เหล่าสะใภ้พากันมองหน้ากัน แต่ก็ไม่พูดอะไร
“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกคนไปทำงานกันเถิด!” สะใภ้ที่สนิมสนมกับป้าหวงออกหน้าแก้ต่างให้ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปอย่างสงบ
ป้าหวงขยิบตาให้กับสะใภ้สองคนนั้น พวกนางสามคนพากันเดินไปที่หลังโรงครัว
“พวกเจ้าสองคนก็ไปแจกจ่ายข้าวต้มด้วย” ป้าหวงพูดเบาๆ “ไปดูว่ามีช่องโหว่อันใดหรือไม่”
สะใภ้สองคนนั้นตกใจ พวกนางขยิบตาให้กัน
“พี่หวง เช่นนี้ มันไม่ดี…” หนึ่งในนั้นลังเล “ถึงแม้ว่าจะมีช่องโหว่ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้”
“ใช่!” อีกคนหนึ่งยิ้ม “เราไม่สนว่าจะได้ไปทำงานที่ใด แต่พี่หวงไม่เหมือนพวกเรา กว่าพี่หวงจะได้มาเป็นผู้ดูแลโรงครัวที่เรือนข้างนอก มีหน้ามีตาในจวน ท่านไม่จำเป็นต้องออกหน้ารับเรื่องนี้…”
ป้าหวงจะไม่รู้ได้เช่นไร แต่หากตอนนั้นมีเส้นทางที่สองให้ไป นางก็คงจะไม่รับของชิ้นนั้นมาจากหว่านเซียง…ตอนนี้มาพูดอะไรเช่นนี้ มีประโยชน์อันใด!
นางทำได้แค่เดินไปให้สุดทาง นางชี้ไปทางทิศตะวันออกแล้วกระซิบว่า “ข้าเองก็ทำตามคำสั่ง ทุกคนทำตามก็พอ ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ไม่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ ยิ่งไปกว่านั้น แมลงวันไม่มีทางตอมไข่ที่ไม่มีรอยแตก หากสะอาดบริสุทธ์จริงๆ ใครก็ทำอะไรเราไม่ได้”
สะใภ้คนนั้นอดไม่ได้ที่จะปิดปากยิ้ม “เรื่องเช่นนี้ จะสะอาดบริสุทธ์ได้เช่นไร นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ฮูหยินคนก่อนดูแลจวน พวกเขาก็เอาข้าวกล้องมาแลกกับข้าวสาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮูหยินสามเป็นคนดูแลจวน”
ป้าหวงหัวเราะ “ใช่ เราก็แค่พูดตามความจริง”
สะใภ้คนนั้นพยักหน้า “ท่านไม่ต้องเป็นห่วง มีอะไรเราจะมารายงานท่านทันทีเจ้าค่ะ”
ป้าหวงโล่งใจ
ถึงตอนกลางคืน สะใภ้คนนั้นแอบมาที่เรือนของป้าหวงตอนกลางคืน
“ไม่ใช่ข้าวกล้อง เป็นข้าวราเจ้าค่ะ”
ป้าหวงรู้สึกพอใจ
“เจ้าดูชัดแล้วหรือไม่!”
“ชัดเจนแจ่มแจ้งเจ้าค่ะ” สะใภ้คนนั้นกระซิบเบาๆ “ข้างบนเป็นข้าวสาร ข้างล่างเป็นข้าวรา ดูก็รู้ว่ามีคนมายุ่ง”
“มากหรือไม่”
“มีสามสิบกว่ากระสอบเจ้าค่ะ”
ป้าหวงครุ่นคิด “เจ้าอย่าพึ่งพูดออกไป ในเมื่อทำเช่นนี้แสดงว่าจะต้องมีวิธีรับมือ รอตอนที่พวกเขาอยากจะสับเปลี่ยนแต่สับเปลี่ยนไม่ทันค่อยว่ากัน”
สะใภ้คนนั้นเห็นด้วย พวกนางสองคนกระซิบกระซาบปรึกษากับเบาๆ สองสามประโยคจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
*****
สองสามวันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น นางนับรายการอาหารสาย แต่ละเรือนกว่าจะได้ทานอาหารร้อนๆ ก็ยามเว่ยแล้ว
ไท่ฮูหยินเหลือบมองฮูหยินสามแต่ก็ไม่ได้พูดอันใด
ในจวนคนเยอะขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเกิดความขัดแย้งกันเป็นธรรมดา แต่การปล่อยให้ความขัดแย้งมันมาถึงขั้นนี้…ฮูหยินสามในฐานะผู้ดูแลจวน ถึงแม้นางจะไม่เสียหน้า แต่ความสามารถในการดูแลจวนของนางก็กลายเป็นข้อสงสัย นางยังจะอยู่เฉยๆ ได้เช่นไร จึงเดินไปที่โรงครัวอย่างหน้าดำหน้าแดง
จากระยะไกล ได้ยินเสียงร้องไห้ของหว่านเซียง “…ก็แค่รังแกข้าที่ข้าไม่มีใคร อยากทำงานแทนข้า…ข้าไปห้องน้ำกลับมา คนส่งอาหารก็ออกไปแล้ว…ทำกับข้าเช่นนี้… ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว! เก่งนักก็ไปฟ้องไท่ฮูหยินเลย ข้าไม่ใช่ลูกพลับอ่อนที่พวกเจ้าอยากจะบีบเช่นไรก็บีบได้…”
กานเหล่าเฉวียนและสะใภ้สองสามคนรอฮูหยินสามมา เตรียมที่จะเล่านิสัยแย่ๆ ของหว่านเสียให้นางฟัง เมื่อเห็นฮูหยินสาม พวกนางจึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
แต่ฮูหยินสามกลับหยุดเดิน หันหน้าแล้วเดินกลับไปที่เรือนของสืออีเหนียง “…งานที่จวนต้องมีคนทำ ไม่ใช่นางก็ต้องเป็นคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ทำได้ดีเสมอ แต่ม้าก็ต้องมีวันสะดุด คนก็ต้องมีวันทำพลาด นางไม่ยอมรับผิดเช่นนี้ แล้วยังบอกว่าจะไปฟ้องไท่ฮูหยิน เรื่องราวเป็นเช่นไรกันแน่ ท่านป้าและสะใภ้ในโรงครัวก็ไม่เข้าใจ แต่ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น คนดูแลจวนอย่างข้าต้องเสียหน้า นางคือคนของพี่หญิงใหญ่ของเจ้า ไม่ได้มีเกียรติอันใด น้องสะใภ้สี่ตักเตือนนางเสียบ้างเถิด” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งทื่อ มีกลิ่นอายของความข่มขู่
สืออีเหนียงแปลกใจ
หว่านเซียงเป็นคนเก่าคนแก่ของจวน นี่เป็นวิธีที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องบาดเจ็บ นางต้องรู้อยู่แล้วสิ…
“หากพี่สะใภ้สามไม่พูด ข้าคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้” นางยิ้ม “แต่พี่สะใภ้สามอย่าพึ่งรีบร้อน เรื่องราวเป็นเช่นไรกันแน่ ท่านป้าและสะใภ้ในโรงครัวก็ไม่รู้ ข้าจะส่งคนไปเรียกนางมาถามเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามได้ยินคำพูดเป็นนัยของนาง มีความแข็งแกร่งอยู่ในความอ่อนโยน สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไป ลุกขึ้นและเอ่ยอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็รบกวนน้องสะใภ้สี่เค้นถามนางหน่อยก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปส่งนาง บอกให้หู่พั่วไปเรียกหว่านเซียงมา
เพราะว่าตงชิงต้องหลบฮูหยินห้า กลัวว่าจะสร้างปัญหา นางจึงไม่ไปที่ใด อยู่เย็บปักถักร้อยกับสืออีเหนียงทุกวัน เห็นหู่พั่วออกไปเรียกหว่านเซียง นางก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเบาๆ “ฮูหยิน หว่านเซียงเย่อหยิ่งมาตลอด ทุกคนต่างก็รู้ดี ท่านไม่จำเป็นต้องทำให้ฮูหยินสามไม่พอใจเพราะนาง…”
สืออีเหนียงส่ายหน้า “นางอยากจะดูแลจวน ยิ่งนานยิ่งดี แต่ไท่ฮูหยินไม่ได้คิดเช่นนี้…นอกจากจะเป็นเช่นนี้ตลอด ไม่เช่นนั้น ข้าจะระมัดระวังนางแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อความขัดแย้งระหว่างทั้งสองคนหลบหลีกไม่ได้ ก็คงต้องทำให้นางไม่พอใจ จะทำให้นางไม่พอใจตอนไหนมันก็เหมือนกัน!”
ตงชิงคิดว่าที่นางพูดมีเหตุผลจึงพยักหน้าซ้ำๆ
แต่สืออีเหนียงกลับเอ่ยถามอย่างสงสัย “ตามหลักแล้วหว่านเซียงไม่ใช่คนบุ่มบ่ามเช่นนี้ เหตุใดถึงได้ทำเรื่องแค่นี้พลาด!”
ตงชิงครุ่นคิด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เสือยังมีตอนที่งีบหลับ บางทีนางอาจจะถูกคนชักจูงกระมังเจ้าคะ”
สืออีเหนียงคิดว่ามันก็เป็นไปได้
เมื่อหว่านเซียงมาถึง นางก็เอ่ยถามไปตรงๆ “เรื่องนี้ไม่เหมือนเรื่องที่คนเช่นเจ้าจะทำ” ถึงกับทำให้หว่านเซียงหัวเราะ “ฮูหยินสี่ช่างสายตาเฉียบแหลมเสียจริง” จากนั้นก็เหลือบมองตงชิงที่รับใช้อยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็คิดว่านางคงมีอะไรจะบอกตน จึงบอกให้สาวใช้ออกไปข้างนอก
หว่านเซียงรีบเดินเข้าไปกระซิบข้างหูสืออีเหนียงทันที “ฮูหยิน ข้าเจอเรื่องที่จะโค่นล้มฮูหยินสามได้แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงนึกถึงเรื่องแจกจ่ายข้าวต้มขึ้นมา…
“เจ้าจะพูดอะไรต้องมีหลักฐาน” นางมองไปที่หว่านเซียง “การกล่าวหานายหญิง ไม่ใช่เรื่องที่ถูกเฆี่ยนแค่สองสามทีก็จบ!”
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวเป็นคนเช่นไร จะไปกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐานได้เช่นไร” หว่านเซียงยิ้มอย่างเย็นชา “ฮูหยินสามมีความคิดนี้ตั้งนานแล้ว นางอยากจะหาผลประโยชน์จากการแจกจ่ายข้าวต้ม ตอนแรกมีดีมีเสียปะปนกัน ต่อมาเห็นว่าไม่ถูกจับได้นางจึงสับเปลี่ยนเป็นข้าวกล้องทั้งหมด ทว่าสองสามวันนี้ ข้าวที่ขนส่งมามีแต่ข้าวรา ตอนนี้ที่ซุ้มข้าวต้มเมล็ดข้าวที่เหลืออยู่เจ็ดแปดวัน ท่านพาคนไปดูตอนนี้ บ่าวรับรองได้ว่าจะต้องจับได้ทั้งคนและของ หากนางอยากจะบอกว่าไม่ได้ตรวจสอบก็คงไม่ทันแล้ว” สายตาของนางมีความเย็นชา “นางอยากจะฆ่าพวกเราให้ตายกันหมด ไม่มีทาง!”
สืออีเหนียงมองดูความโกรธเกรี้ยวในสายตาของนาง แต่นางตกใจกับพฤติกรรมของฮูหยินสามมากกว่า
“ข้าวรา เจ้าดูชัดแล้วหรือไม่!”
ตอนแรกนางก็เคยเดาว่าฮูหยินสามจะต้องหาผลประโยชน์จากเรื่องนี้ เอาข้าวสารดีๆ สับเปลี่ยนเป็นข้าวกล้อง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะใช้ข้าวรา…ในความทรงจำของตน ข้าวรากินแล้วถึงกับตายได้!
หว่านเซียงเห็นสืออีเหนียงมีท่าทีไม่เชื่อ นางจึงสาบาน “หากข้าพูดเหลวไหล ขอให้ข้าไม่ตายดี!”
สืออีเหนียงสูดหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกว่าหัวใจของตนเย็นวาบขึ้นมา
เดิมทีหว่านเซียงก็เดินหมากรุกที่อันตรายต่อชีวิตของตัวเองอยู่แล้ว หากนางไม่มั่นใจจริงๆ นางจะกล้ากล่าวเช่นนี้ได้เช่นไร!
มันคงจะเป็นเรื่องจริง!
“เรื่องนี้ยังมีผู้ใดล่วงรู้อีก” สายตาของสืออีเหนียงมืดมนลง
หว่านเซียงพูดเบาๆ “คนที่ไปแจกจ่ายข้าวต้มรู้กันหมดเจ้าค่ะ แต่เรือนข้างในมีแค่ข้าคนเดียวที่รู้” พูดจบ สายตาของนางก็เป็นประกาย “ฮูหยิน จะล่าช้ามิได้ ท่านรีบไปรายงานท่านโหวเถิดเจ้าค่ะ เปิดโปงพฤติกรรมของฮูหยินสาม ให้นางอับอายขายขี้หน้า ท่านก็จะได้มีอำนาจเป็นผู้ดูแลเรื่องในจวนอย่างราบรื่น!”
สืออีเหนียงมองไปที่สีหน้าที่ตื่นเต้นของนาง ทันใดนั้นนางก็เข้าใจขึ้นมาทันที
หว่านเซียง ช่างเป็นวิธีที่ดีจริงๆ!
นางเป็นคนของหยวนเนียง แล้วยังได้ทำงานเช่นนี้ในโรงครัวเรือนข้างใน แน่นอนว่าฮูหยินสามต้องไม่ยอมปล่อยนางไป แต่นางแค่ชิงลงมือก่อน หาความผิดของฮูหยินสามเจอก่อน จากนั้นก็ก่อเรื่องให้ฮูหยินสามไม่มีทางออก แล้วก็ใช้ตนให้นำเรื่องไปบอกสวีลิ่งอี๋…เช่นนี้ ฮูหยินสามก็จะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่เพียงแต่ช่วยนาง แล้วยังถือโอกาสนี้อ้างว่าฮูหยินสามจะจัดการนาง ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะว่าตัวเองรู้เรื่องที่ฮูหยินสามแอบสับเปลี่ยนเมล็ดข้าว ดังนั้นฮูหยินสามถึงไม่ยอมปล่อยนางไป!
สีหน้าของสืออีเหนียงเคร่งขรึม “รายงานท่านโหว? เช่นนั้นก็ทำให้คนอื่นรู้กันหมด”