ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 123 แจกจ่ายข้าวต้ม(ต้น)
“ไม่เลว!” ได้ยินสืออีเหนียงถามถึงเรื่องที่ตัวเองคุ้นเคย สวีลิ่งอี๋ก็ได้สติกลับมา มองหน้านางด้วยความพอใจ “ซุ้มข้าวต้มของแต่ละสกุลจัดเตรียมไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าก็จะเริ่มแจกจ่ายข้าวต้ม ข้าเห็นเสบียงอาหารที่แต่ละสกุลเตรียมไว้ แจกจ่ายให้แก่ราษฎรหนึ่งเดือนก็มิใช่เรื่องยาก”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ดีเลยเจ้าค่ะ! ขอแค่ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้ เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าทุกอย่างก็จะดีขึ้น”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า จิบชาแล้วพูดว่า “เรือนของเราส่งใครไปช่วยต้มข้าวต้ม”
ในเมื่อจะทำความดีแจกจ่ายข้าวต้ม บรรดาลูกสะใภ้ของสกุลสวีจะไม่เข้าร่วมได้เช่นไร แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้พวกนางไปแจกจ่ายข้าวต้ม หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องคิดหาวิธีอื่น ทุกเรือนส่งท่านป้าที่มีหน้ามีตาของตัวเองไปช่วยแจกจ่ายข้าวต้ม แต่เหล่าท่านป้าก็แค่ไปนั่งพูดคุยกัน นั่งมองดูเหล่าแม่เฒ่าและบ่าวรับใช้ชายตัวน้อยทำงานอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีกำบังลมในซุ้มข้าวต้มก็แค่นั้น
“เรือนของเราคือป้าเถาเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “พี่สะใภ้สองคือป้าเซี่ยง พี่สะใภ้สามคือป้ากาน น้องสะใภ้ห้าคือป้าสือเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตอบรับ “อืม” จากนั้นสืออีเหนียงก็เรียกชุนมั่วเข้ามารับใช้สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้า ตัวเองใช้ถาดผิงมืออุ่นเตียงและรับใช้สวีลิ่งอี๋เข้านอน
*****
เช้าของวันต่อมา ป้าตู้พาป้าเซี่ยงและคนอื่นๆ ไปที่ซุ้มข้าวต้ม แม่เฒ่าและบ่าวรับใช้ตัวน้อยที่มีสายตาเฉียบแหลม พวกเขาเดินเข้ามาล้อมรอบเสลียง เมื่อเหล่าท่านป้าเดินลงเสลียงมา พวกเขาก็ต้อนรับให้ไปพักผ่อนที่ข้างซุ้ม
ป้ากานบอกให้คนไปหยิบไพ่มา “…ทุกคนอย่านั่งเฉยๆ”
ทุกคนมองไปยังป้าตู้
ตอนนี้ฮูหยินสามเป็นคนดูแลจวน ป้าตู้ไม่อยากทำให้ป้ากานเสียหน้า นางจึงยิ้มแล้วตอบรับ
อาการหนาวเช่นนี้ ใครเล่าจะอยากออกมาข้างนอก
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พากันหยิบเงินออกมาเล่นไพ่
เมื่อถึงเวลาแจกจ่ายข้าวต้ม ทุกคนก็เลิกเล่นไพ่แล้วไปดูแม่เฒ่ากับบ่าวรับใช้ตัวน้อยแจกจ่ายข้าวต้มที่ซุ้มข้าวต้ม พวกเด็กๆ หญิงและชายที่สวมเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยมอมแมมวิ่งเบียดกันเข้ามา เสียงแส้ที่ทรงพลังฟาดฟันกลางอากาศ บอกให้ราษฎรที่เบียดเสียดกันอยู่เข้าแถวเรียงกันเข้ามา
คนที่ได้รับข้าวต้มร้อนๆ แล้วก็พากันก้มหัวขอบคุณท่านป้าที่สวมเสื้อผ้าสีทองสีเงินที่นั่งอยู่ข้างซุ้ม คิดว่าพวกนางเป็นลูกสะใภ้ของสกุลสวี
ไม่ว่าจะเป็นใคร หากอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา
กลับไปถึงเรือนตอนกลางคืน พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะเล่าให้ฮูหยินของตัวเองฟัง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สองสามวันนี้ก็คงต้องรบกวนท่านป้าแล้ว!”
“ฮูหยินไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้ม “บ่าวต้องร่วมแรงร่วมใจกับท่านป้าสองสามคนอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ป้าเถาก็ถามถึงเรื่องที่พรุ่งนี้สวีลิ่งอี๋ต้องไปนอนที่เรือนของฉินอี๋เหนียง “…ท่านโหวพูดอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ได้เอ่ยอะไร” สืออีเหนียงนึกถึงคืนก่อนที่เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง “ข้ายังอยากถามท่านป้า ต้องนำเสื้อผ้าไปให้ท่านโหวหรือไม่!”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้ม “ท่านโหวมีเสื้อผ้าอยู่ทุกเรือนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากนำเสื้อผ้าไปด้วยก็คงจะเหมือนย้ายบ้าน
ถึงตอนเย็น พวกเขาสองคนไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยิน ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องของการแจกจ่ายข้าวต้ม ครั้งนี้คุณชายสามและฮูหยินสามเป็นตัวเอก พวกเขาสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมากจึงกลับมาดึกเล็กน้อย ฉินอี๋เหนียงพาสาวใช้มารออยู่ที่ประตูทางทิศตะวันออกตั้งนานแล้ว เห็นสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงนางก็ย่อเขาคำนับ
สืออีเหนียงยิ้มและแยกย้ายกับสวีลิ่งอี๋ที่ประตูทางทิศตะวันออก จากนั้นก็เดินตรงไปที่เรือนของตัวเอง
หู่พั่วกำลังจะย้ายมาเฝ้ายามที่ใต้เตียงของนาง แต่กลับถูกสืออีเหนียงไล่ให้ไปนอนที่ห้องทางทิศตะวันตก “เมื่อก่อนเจ้าไม่เห็นจะขยันขันแข็งเช่นนี้!”
หู่พั่วพูดไม่ออก
สืออีเหนียงรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ นางพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เจ้าไปนอนเถิด! ข้าไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน ข้ารู้อยู่แก่ใจ!” นางยิ้ม “หากข้าเบื่อ ปลุกเจ้าตื่นขึ้นมาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าตอนกลางคืน เช้าก็อย่าได้เกียจคร้านไม่ยอมตื่นล่ะ”
หู่พั่วเห็นนางอารมณ์ดี นางก็วางใจ พยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็ไปนอนที่ห้องทางทิศตะวันออก
นอนอยู่บนเตียงใหญ่ๆ เพียงคนเดียว ข้างกายขาดคนที่คอยหายใจร่วมกัน มันดูเงียบเหงาไม่น้อย ตอนแรกสืออีเหนียงก็ไม่ชิน แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เช้าต้องไปคารวะไท่ฮูหยิน ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กำลังรอดูสีหน้าของนางอยู่ นางจึงนอนนับแกะแล้วหลับไป
ตื่นขึ้นมายามโฉ่วของวันต่อมา รอบตัวเงียบสงัด แต่ข้างหูกลับได้ยินเสียงคนรับใช้สวีลิ่งอี๋ตื่นนอน ล้างหน้าแปรงฟันอยู่ที่ห้องทางทิศตะวันออก
ห่างกันตั้งลานหนึ่ง จะได้ยินได้เช่นไร!
ความเคยชินช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ!
สืออีเหนียงหลับตาลง มุดกลับเข้าไปอยู่ในผ้าห่มที่อบอุ่นแล้วหลับไปอีกครั้ง
ถึงยามเหม่าก็ตื่นขึ้นมาเองอีกครั้ง
หู่พั่ว ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ เตรียมน้ำล้างหน้าและเสื้อผ้าไว้ให้นางตั้งนานแล้ว
“ท่านโหวไปราชสำนักแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วรับใช้สืออีเหนียงสวมเสื้อผ้า “ทานอาหารเช้าที่เรือนของฉินอี๋เหนียง ที่โรงครัวเล็กบอกว่า ฉินอี๋เหนียงขอน้ำตอนกลางดึกด้วยเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว!” สืออีเหนียงพยักหน้า นางรู้สึกว่าการที่ให้หู่พั่วพูดเรื่องพวกนี้มันไม่ค่อยสมควรเท่าไร “ต่อไปเจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้อีกแล้ว!”
หู่พั่วลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าเบาๆ
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็มาคารวะนาง
ฉินอี๋เหนียงหน้าแดงด้วยความเขินอาย เหวินอี๋เหนียงกลับกลอกตาไปมาไม่หยุด ราวกับอยากจะมองหาอะไร
สืออีเหนียงยิ้มจางๆ นางถามถึงอาการป่วยของเฉียวเหลียนฝังตามปกติ พูดคุยกับพวกนางสักสองสามประโยค จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
อากาศหนาวเช่นนี้ ฮูหยินสามและฮูหยินห้ามาถึงก่อนสืออีเหนียง พวกนางสองคนเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามาก็ยิ้มแล้วทักทาย แต่สีหน้ากลับดูมีความอยากรู้อยากเห็น
สืออีเหนียงรู้สึกว่ามันน่าขำ
ตอนที่ตัวเองแต่งเข้ามาก็รู้อยู่แล้วว่าสวีลิ่งอี๋มีอนุภรรยากับบุตรอยู่แล้ว หรือว่านางต้องร้องไห้เอะอะโวยวาย เพียงเพราะสิ่งที่เคยได้ยินกลายเป็นสิ่งที่ต้องเห็นกับตา…ผู้คนมักจะลืมสภาวะของตัวเองตามการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ ลืมความตั้งใจเดิม สูญเสียเป้าหมาย ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งใดกันแน่ นี่ต่างหากคืออันตรายที่แท้จริง!
แต่นางไม่เคยลืมว่าตอนนั้นนางมีความรู้สึกเช่นไรที่ต้องแต่งเข้ามาในจวนสกุลสวี!
สืออีเหนียงคำนับพวกนางทั้งสองคนอย่างเคารพ จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินด้วยกัน
ไท่ฮูหยินกำลังนั่งอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง กำลังมองดูจุนเกอและเจินเจี่ย์เอ๋อร์เล่นกระโดดเชือก
ทันทีที่สืออีเหนียงเดินเข้าไป สายตาของนางก็มองมาที่สืออีเหนียงทันที
มันคือสายตาที่อยากรู้อยากเห็นอีกแล้ว…
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา นางยิ้มแล้วคำนับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางยิ้มอย่างอ่อนโยน สีหน้าท่าทีก็สงบเสงี่ยม นางอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า รอยยิ้มเต็มไปด้วยความพอใจและอุ่นใจ
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้แล้วว่าตัวเองผ่านด่านแล้ว
เมื่อจุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์เห็นผู้อาวุโสเดินเข้ามา ก็รีบลงมาคำนับพวกนาง จากนั้นสาวใช้ก็ยกเก้าอี้มาวางไว้หน้าตั่ง
ฮูหยินสามพูดถึงเรื่องแจกจ่ายข้าวต้ม “…อากาศหนาวเกินไป ข้าอยากให้เงินท่านป้าและบ่าวรับใช้ตัวน้อยที่ไปช่วยงานที่ซุ้มข้าวต้มเพิ่มคนละสามสิบอีแปะ… ถึงแม้ว่าจะเป็นคนในจวน แต่ก็จะให้พวกเขาทำงานเปล่าๆ ไม่ได้ ท่านคิดว่าเรื่องนี้เป็นเช่นไรเจ้าคะ”
“เจ้าคิดได้ดีมาก” ไท่ฮูหยินหัวเราะ “เราไม่ได้ขาดแคลนเงินพวกนั้น เจ้านำไปใช้เถิด”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ช่างเป็นดั่งพระโพธิสัตว์จริงๆ เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินจึงถามถึงป้าเซียง ท่านป้าคนสนิทของฮูหยินสอง “ให้นางรีบกลับไปที่ซีซานเถิด อี๋เจิ้นเดิมทีก็มีบ่าวรับใช้ไม่มาก ยังจะส่งนางมาจากซีซานอีก”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ” ฮูหยินสามยิ้ม “แต่ว่าเรื่องนี้เป็นการทำบุญครั้งใหญ่ พี่สะใภ้สองก็คงอยากมีส่วนร่วมด้วย” จากนั้นก็พูดถึงป้าตู้ “…อายุมากขึ้น อาการหนาวเช่นนี้ หากเป็นไข้ขึ้นมามันจะไม่ดี!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เจ้าคิดได้รอบคอบมาก!”
ฮูหยินสามบอกคำพูดของไท่ฮูหยินให้ป้าเซี่ยงฟัง ให้คนไปส่งป้าเซี่ยงกลับไปที่ซีซาน จากนั้นก็ไปปรึกษากับป้าตู้และป้าสือ “ตั้งแต่พรุ่งนี้ป้าตู้ไม่ต้องไปที่ซุ้มข้าวต้มแล้ว…ท่านป้าทั้งสองคน สองวันไปหนึ่งครั้งก็เพียงพอ อย่างน้อยก็มีป้ากานอยู่ที่นั่น”
พวกนางผ่อนคลายลงไม่น้อย ป้าตู้และป้าสือหันมายิ้มให้กัน จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณฮูหยินสามแล้วแยกย้ายกันไป
“เจ้าคิดว่าในนี้มีอะไรแปลกๆ หรือไม่” ฮูหยินห้าพูดแล้วลูบท้องของตัวเอง
ป้าสือนำแอปเปิ้ลที่หั่นแล้วในถาดยื่นให้นาง “ฮูหยินสามเป็นคนมีความคิดมากมาย ตอนนี้บ่าวยังไม่ทราบเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าหยิบส้อมผลไม้สีฟ้าจิ้มแอปเปิ้ลเข้าปาก “เจ้าดูป้าเถา หากนางไปทุกวันเจ้าก็ต้องไปทุกวันเหมือนเดิม หากนางสองสามวันไปหนึ่งครั้ง เจ้าก็สองสามวันไปหนึ่งครั้งก็พอแล้ว”
ป้าสือรีบยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ”
“สองสามวันไปหนึ่งครั้ง?” สืออีเหนียงแปลกใจ “การแจกจ่ายข้าวต้มเดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว หรือว่ามันเป็นความคิดของฮูหยินสาม”
“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้วเจ้าค่ะ” ป้าเถายิ้ม “ประเดี๋ยวก็จะขึ้นปีใหม่แล้ว เรื่องที่จวนก็ยุ่งวุ่นวาย แล้วยังต้องส่งคนไปทำงานที่นั่น ใครยังจะมีเวลาไปทุกวัน เดิมทีสองสามวันไปดูหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ทำตามเดิม แต่ว่า เจ้าก็จะต้องคอยระวัง อย่าให้ป้าสือไปแล้วเจ้าไม่ไป มันจะดูไม่ดี”
ป้าเถารีบพูด “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พวกเราไม่ทำอะไร จะได้ไม่มีข่าวลืออะไรแพร่พรายออกไป ประเดี๋ยวพวกเขาจะคิดว่าเรากำลังท้าทายกับฮูหยินสาม”
“ท่านป้ารู้อยู่แล้วก็ดี!” สืออีเหนียงพูดจบสวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
ป้าเถารีบขอตัวออกไป
สืออีเหนียงเรียกซย่าอีมารับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
“วันนี้ทำอะไรอยู่ที่เรือน” สวีลิ่งอี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุ่นๆ เช็ดหน้า สายตาเหลือบมองที่ตะกร้าเย็บปักถักร้อยที่วางอยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง “เย็บปักถักร้อยอีกแล้วหรือ”
“ช่วงบ่ายเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ช่วงเช้าไปนั่งเล่นที่เรือนของท่านแม่”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
เดินเข้ามา สืออีเหนียงก็ได้ยินเสียงหัวเราะของไท่ฮูหยิน
นางอดไม่ได้ที่จะสงสัย
ไม่รู้ว่าผู้ใดทำให้ไท่ฮูหยินหัวเราะอย่างความสุขขนาดนี้
เมื่อเปิดม่านแล้วเดินไปห้องทางทิศตะวันตก สืออีเหนียงเห็นหญิงแปลกหน้าสวมเสื้อกั๊กยาวสีม่วงนั่งพูดคุยกับไท่ฮูหยินอยู่บนเก้าอี้ข้างตั่ง
เห็นไท่ฮูหยินมองไปที่สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ นางก็รีบลุกขึ้นมา “ท่านโหว! เซียงอี้ คารวะท่านเจ้าค่ะ!” พูดจบก็ย่อเข่าคำนับอย่างนอบน้อม
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นเซียงอี้!” เขาพูดอย่างสนิทสนม
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองดูหญิงผู้นั้น
อายุราวสี่สิบปี ใบหน้าทรงเหลี่ยม รูปร่างสูงใหญ่ ทำให้นางดูแข็งแรงไม่น้อย
ป้าตู้เห็นสืออีเหนียงทำท่าทีอยากรู้อยากเห็น นางจึงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินสี่ ท่านนี้คือบ่าวรับใช้ที่เคยรับใช้ไท่ฮูหยินมาก่อน ท่านไม่เคยเจอนาง ตอนนี้ครอบครัวของนางดูแลไร่ที่เหอหนานบ้านเกิดของสกุลสวี ได้ยินว่าท่านโหวแต่งงานใหม่ นางจึงถือโอกาสนำของขวัญปีใหม่มาส่งพร้อมกับแวะมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”