ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 119 เยี่ยมเยียน
นายหญิงใหญ่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าครั้งก่อนที่เจอกัน นางม้วนผมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เสื้อผ้าและเครื่องประดับก็เข้ากันอย่างสง่างาม ป้าสวี่คอยรับใช้อยู่ข้างๆ อย่างขยันขันแข็ง
ได้ยินว่านางจะไปหาสือเหนียง นางก็บึนปาก แต่สีหน้าเปลี่ยนกลับเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว เพราะเช่นนี้มันจึงดูแปลกๆ
“นางไม่เคยสงบเสงี่ยม นี่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนของนาง”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็กระดากหู นางนั่งยิ้มอยู่ตรงนั้นแต่ก็ไม่พูดไม่จา
นายหญิงใหญ่ถามถึงคนในเรือนของนางขึ้นมา “…อนุภรรยาสามคน ฉินอี๋เหนียงอายุมากแล้ว ท่านโหวไปอยู่ที่เรือนนางก็แค่ให้เป็นพิธี ทุกครั้งที่เหวินอี๋เหนียงเจอกับท่านโหวนางก็จะเอาแต่พูดเรื่องของกิจการสกุลเหวิน คนที่เจ้าต้องระวังคือเฉียวอี๋เหนียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าระดูของนางมาเมื่อใด”
“ข้าไม่เคยถามเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยกยิ้มจางๆ
นางจัดวัดตามระดับความเคารพ ไม่ใช่จัดวัดตามที่ใครตั้งครรภ์ง่าย สวีลิ่งอี๋ไม่ใช่คนโง่ แม้แต่สะใภ้หย่งหนานยังรู้ แล้วเขาจะไม่รู้หรือ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ แล้วไท่ฮูหยินจะไม่รู้หรือ ฮูหยินสามอีกเล่า นางไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกของคนในจวนสกุลสวี
นายหญิงใหญ่ขมวดคิ้ว
“ป้าเถาไม่เคยสอนเจ้าหรือ” ถึงแม้ว่านางยังป่วยอยู่ แต่สายตาของนางก็ยังคงเข้มงวดเหมือนเดิม “บุตรของภรรยาเอกกับบุตรของอนุภรรยามีความแตกต่างกัน หากเฉียวเหลียนฝังคนนั้นคลอดบุตรชายออกมาแล้วเจ้าจะทำเช่นไร”
สืออีเหนียงยิ้มอ่อน “ตอนนี้ท่านโหวมีทั้งบุตรสาวบุตรชาย จะมีบุตรเพิ่มอีกสักคนสองคนก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เบิกตากว้างมองสืออีเหนียง “เจ้านี่โง่จริงๆ เลย…”
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “คุณนายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ก็รีบหยุดพูดทันที
คุณนายใหญ่เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อหนังกระรอกสีฟ้า ทาแป้งบางๆ บนใบหน้า เขียนคิ้วทาตา สวยงามกว่าวันธรรมดาไม่น้อย ถามว่านายหญิงใหญ่มีคำพูดอะไรฝากไปหรือไม่ จากนั้นก็ขอตัวลานายหญิงใหญ่ออกไปกับสืออีเหนียง แล่นรถม้าออกไปถึงจวนเม่ากั๋วกงที่อยู่ในตรอกสือซือ
บ่าวรับใช้ตัวน้อยเข้าไปรายงานตั้งนานแล้ว รถม้าหยุดที่หน้าประตูฉุยฮวา ทันใดนั้นก็มีท่านป้าเดินออกมาต้อนรับ “คุณนายใหญ่มาแล้ว ฮูหยินก็มาด้วยหรือเจ้าคะ!”
คุณนายให้มอบเงินให้นางเป็นรางวัล จากนั้นก็เดินเข้าไปในจวนกับท่านป้าคนนั้น
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว มีกลิ่นอายของอากาศที่บริสุทธิ์พุ่งพวยเข้ามา
เดินเข้ามา ตรงกลางมีกระถางเผาไฟที่กำลังเผาหญ้าสมุนไพรอยู่ ในห้องโถงมีระฆังที่ส่งเสียงก้องกังวาน สาวใช้ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างม่าน ถือว่ามีกลิ่นอายของจวนสกุลขุนนาง
สาวใช้ล้อมรอบหญิงผมหงอกนางหนึ่ง เดินออกมาจากห้องด้านใน “คุณนายใหญ่และสืออีเหนียงใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงเห็นหญิงนางนั้นมีเครื่องประดับหยกขนาดเท่าไข่นกพิราบอยู่บนหน้าผาก ที่นิ้วยังสวมแหวนหินสีแดงขนาดเท่าเมล็ดบัว สวมเสื้อกั๊กแขนยาวสีฟ้า นางแอบเดาสถานะของหญิงคนนี้
คนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นมา “ท่านนี้คือฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเราเจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าท่านแม่ของหวังหลังจะมาอยู่ที่เรือนของสือเหนียง
พวกนางทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปคำนับ
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
นางหน้าตางดงาม หน้าตาคล้ายกับเจียงฮูหยิน แต่ว่าคิ้วของนางเข้มกว่า แต่ท่าทีราวกับคนที่ป่วยอยู่นาน สีหน้าดูซีดเซียว
หวังฮูหยินผู้เฒ่ายื่นมือออกไปพยุงคุณนายใหญ่และสืออีเหนียง “ลุกขึ้นเร็วเข้า!” นางพูดแล้วก็น้ำตาไหลออกมา “สือเหนียงไม่ทานไม่ดื่มมาสองสามวันแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรจึงให้คนส่งจดหมายไปหา พวกเจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมนางเถิด!”
คุณนายใหญ่และสืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งสองสามวันแล้ว
พวกนางสองคนรีบพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง
ม่านสีแดงปิดอยู่ สือเหนียงสีหน้าซีดเซียว นางหลับตาเอนตัวอยู่บนหมอนสีเขียวมรกตใบใหญ่ บนใบหน้าของนางไม่มีความสดใสที่ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูร้อนอีกต่อไปแล้ว มีแต่ความซีดเหลืองที่ราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง
“สือเหนียง” คุณนายใหญ่น้ำตาคลอ นางรีบเดินเข้าไปนั่งหน้าเตียงแล้วเรียกนางเบาๆ “สือเหนียง ข้าคือพี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามาเยี่ยมเจ้ากับสืออีเหนียง”
หวังฮูหยินผู้เฒ่าและฝูงชนล้อมรอบคุณนายใหญ่และสืออีเหนียง “สือเหนียง คนของสกุลเดิมมาหาเจ้าแล้ว”
ขนตาที่เรียวยาวของสือเหนียงกระตุกเล็กน้อย นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“สือเหนียง” คุณนายใหญ่เรียกนางด้วยความตื่นเต้น
นางลืมตามองคุณนายใหญ่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง
“สือเหนียง” สืออีเหนียงเรียกนางเบาๆ
สือเหนียงมองนางอย่างเหม่อลอย ดวงตาของนางว่างเปล่าราวกับหมอกควัน
สืออีเหนียงเห็นว่านางผิดปกติ จึงเอ่ยเรียกนางอย่างไม่สบายใจอีกครั้ง “พี่หญิงสิบเจ้าคะ”
สือเหนียงก็ยังคงมองสืออีเหนียงอย่างเหม่อลอย ราวกับว่านางไม่เคยรู้จักคนที่อยู่ตรงหน้ามาก่อน
ทุกคนกลั้นหายใจแล้วมองไปที่สือเหนียง บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง สือเหนียงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ จากนั้นก็หันหน้าออกไปอีกทาง
ทำท่าทีเหมือนไม่อยากเห็นหน้าสืออีเหนียง
ทุกคนตกใจแล้วมองมาที่สืออีเหนียง
ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เงียบสงัด
คุณนายใหญ่รีบพูดขึ้นมา “ทุกคนอย่ามาล้อมรอบอยู่ที่นี่เลย หายใจไม่ออก” นางพูดแล้วกวาดตามองไปที่ฝูงชน มองเห็นอิ๋นผิง นางจึงบอกนางว่า “เจ้าพาคุณหนูสิบเอ็ดไปนั่งพักที่ห้องข้างนอกก่อน”
อิ๋นผิงรีบเดินเข้ามาคำนับสืออีเหนียง หวังฮูหยินผู้เฒ่าก็มองออก นางออกไปอยู่เป็นเพื่อนสืออีเหนียงที่ห้องข้างนอกด้วยตัวเอง
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยิน สายแล้ว ท่านโหวคงจะออกมาจากราชสำนักแล้ว เรากลับกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ! ประเดี๋ยวท่านกลับไปสาย ท่านโหวจะเป็นห่วงเอาได้”
หวังฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “สือเหนียงและสืออีเหนียงเป็นพี่น้องกัน นางมีนิสัยเด็ก สืออีเหนียงก็คงจะรู้ อย่าได้ถือสานางเลย” นางกล่าวขอโทษแทนลูกสะใภ้แล้วยิ้มอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ เราโตมาด้วยกัน นางมีนิสัยเช่นไรข้าก็พอจะรู้อยู่บ้าง” จากนั้นก็ยิ้มให้หู่พั่ว “ในเมื่อมากับพี่สะใภ้ใหญ่ ก็ควรจะรอกลับพร้อมกับพี่สะใภ้ใหญ่”
อิ๋นผิงรีบพูด “ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ ในเมื่อคุณหนูสิบเอ็ดมาแล้ว ก็ดื่มชาก่อนแล้วค่อยกลับนะเจ้าคะ” นางพูดพร้อมกับยกชามาให้สืออีเหนียงอย่างขยันขันแข็ง ราวกับกลัวว่าจะทำให้นางไม่พอใจ
หวังฮูหยินผู้เฒ่าจึงถามไถ่ถึงไท่ฮูหยิน “…พึ่งเจอกันช่วงปีใหม่ นางยังสบายดีเหมือนเดิมใช่หรือไม่!”
“ขอบพระคุณที่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดคุยกับนางสองสามประโยค แต่นางกลับมองเข้าไปในห้องเป็นครั้งคราว ราวกับกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สืออีเหนียงไม่พูดไม่จา
นั่งอยู่ประมาณสองถ้วยชา คุณนายใหญ่ก็ตาแดงเดินออกมาจากห้อง
หวังฮูหยินผู้เฒ่ารีบเดินเข้าไปหานาง “คุณนายใหญ่ทานข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับเถิด!”
คุณนายใหญ่มองดูสืออีเหนียงที่สีหน้าเรียบนิ่ง นางส่ายหน้าแล้วตอบ “สายมากแล้ว พรุ่งนี้ข้าค่อยมาเยี่ยมนางก็ได้เจ้าค่ะ”
หวังฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้รั้งพวกนางไว้ เดินไปส่งพวกนางด้วยตัวเอง
คุณนายใหญ่ขยิบตาให้สืออีเหนียง แล้วพูดเสียงดังว่า “กลับตรอกกงเสียนกันเถิด”
พวกนางออกมาจากจวนสกุลหวังก็พลบค่ำแล้ว สืออีเหนียงนั่งรถม้าของสกุลสวี โดยปกติแล้วพวกนางจะพูดคุยกันสองสามประโยคแล้วก็แยกย้ายกันกลับจวน แต่นางจงใจพูดเสียงดัง สืออีเหนียงจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่หวังฮูหยินผู้เฒ่าดูเป็นกังวล สืออีเหนียงจึงรีบบอกหู่พั่วเบาๆ “เราตามรถม้าของคุณนายใหญ่ไป” จากนั้นท่านป้าก็พยุงนางขึ้นรถม้า
หู่พั่วบอกคนขับรถม้าเบาๆ คนขับรถม้าของสกุลสวีจึงแล่นตามรถม้าสกุลหลัวออกไปจากตรอกสือซือ
“ฮูหยินนิสัยดีเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” หู่พั่วปิดประตูรถแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณหนูสิบจะเป็นอะไรก็ไม่ควรมาอารมณ์เสียใส่ท่าน! เช่นนี้จะให้ท่านเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
สืออีเหนียงยิ้มจางๆ “ข้าทำอะไรผิดไปหรือไม่”
หู่พั่วตกใจแล้วพูดว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ!”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ” สืออีเหนียงยิ้ม “ในเมื่อข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด แล้วเจ้าจะกังวลหรือไม่พอใจอะไรกันเล่า” นางพูดด้วยสายตาที่สงสาร “เจ้าไม่รู้ พี่หญิงสิบ…จะรักหรือจะเกลียด นางก็ต้องมีเหตุผลให้ตัวเองมีชีวิตต่อไป…”
สายตาที่เคียดแค้นของสือเหนียง สีหน้าที่ดุร้าย ภาพที่นางพลิกโต๊ะในหอลู่จวิน…ภาพต่างๆ นาๆ ก็โผล่ขึ้นมาในหัวนางราวกับขบวนรถม้า
*****
รถม้าหยุดที่ถนนซีต้า
สืออีเหนียงกำลังงงงวย ท่านป้าก็เดินมาพูดว่า “ฮูหยิน คุณนายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
นางรีบเปิดประตูรถม้า คุณนายใหญ่เดินฝ่าลมหนาวถือชายกระโปรงมุดเข้ามา
“ข้าเห็นว่าสือเหนียงผิดปกติ ถามอะไรนางก็ไม่ยอมพูด น่าเป็นกังวลยิ่งนัก นางตอบกลับมาเพียงแค่ ‘เจ้าค่ะ’”
สืออีเหนียงได้ยินคุณนายใหญ่พูดเช่นนี้ นางจึงเล่าเรื่องที่หวังฮูหยินผู้เฒ่าอยู่กับนางแล้วมีท่าทีกังวลให้นางฟัง
คุณนายใหญ่พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้ามีแม่สามี มีพี่สะใภ้ ออกไปไหนไม่สะดวก พรุ่งนี้ข้าไปเยี่ยมนางเองก็ได้ มีเรื่องอันใดจะส่งคนไปบอกเจ้า” นางพูด “จากที่นี่เจ้ากลับไปที่เหอฮวาหลี่ไม่ไกลมาก เราแยกกันตรงนี้เถิด ประเดี๋ยวเจ้ากลับดึกท่านโหวจะเป็นห่วงเอาได้”
สืออีเหนียงซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของนาง บอกให้นางเดินทางกลับอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็แยกจากกับคุณนายใหญ่ที่ถนนซีต้า
กลับมาถึงจวน สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่บนตั่งข้างหน้าต่าง เห็นนางเดินเข้ามาเขาก็เงยหน้ามองแล้วพูดเบาๆ ว่า “กลับมาแล้วหรือ” จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ
สืออีเหนียงตอบรับ จากนั้นหู่พั่วก็รับใช้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าและมวยผมใหม่อีกครั้ง เสร็จแล้วก็มานั่งลงบนตั่งข้างหน้าต่าง “พี่หญิงสิบแท้งลูกเจ้าค่ะ ข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่จึงไปเยี่ยมนาง”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “เรื่องของเฉียนหมิง ถึงตอนนั้นข้าจะไปเอง แต่เรื่องของหวังหลัง เจ้าให้ผู้ดูแลจ้าวไปเถิด! ปีนี้หิมะตกเร็ว แล้วยังตกหนัก กลัวว่าถนนจะไม่ดี ต้องออกเดินทางตั้งแต่เนิ่นๆ”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าเขาจะไปหาเฉียนหมิงเอง เช่นนี้ผลประโยชน์ของเฉียนหมิงไม่ต้องพูดก็คงเห็นได้อย่างชัดเจน นางยิ้มแล้วพูดว่า “หากพี่เขยห้ารู้ว่าท่านจะไป เขาต้องดีใจมากแน่เจ้าค่ะ เขาชอบให้ญาติพี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างคึกครื้น”
สวีลิ่งอี๋ยิ้ม
ญาติพี่น้องอยากจะใช้อำนาจของเขา หากไม่ใช่ทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมาย ปกติเขาไม่เคยปฏิเสธ
เขาวางหนังสือลง “สายมากแล้ว เราไปหาท่านแม่กันเถิด!”
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” เรียกซย่าอีนำเสื้อคลุมของสวีลิ่งอี๋มา นางเขย่งเท้าแล้วสวมให้สวีลิ่งอี๋เอง กำลังจะสวมเสื้อคลุมของตัวเอง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยิน นายหญิงเฉียวขอพบเจ้าค่ะ”
นายหญิงเฉียว? ท่านแม่ของเฉียวเหลียนฝัง?
สืออีเหนียงตกใจ ไม่รู้ว่านางมาหาสวีลิ่งอี๋เพราะเหตุใด เห็นสวีลิ่งอี๋ท่าทีนิ่งเฉย เขาคงไม่ปฏิเสธ นางจึงยิ้มแล้วบอกสาวใช้คนนั้น “เชิญนายหญิงเฉียวเข้ามาเถิด!” จากนั้นก็ไปถอดเสื้อคลุมให้สวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ยื่นมือออกไปหยุดนางไว้ ยืนรอนายหญิงเฉียวอยู่ที่นั่นเงียบๆ ทำท่าทีราวกับว่ากำลังจะออกไปข้างนอก มีสิ่งใดก็ให้รีบกล่าว
สืออีเหนียงถอยหลังไปสองสามก้าว ยืนอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋