ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 114 ปรึกษา (ปลาย)
สืออีเหนียงไม่มองห่อผ้าห่อนั้นเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มแล้วมองไปที่หลัวเจิ้นซิ่ง “พี่ใหญ่ นี่คือกิจการของพี่หญิงใหญ่ ต่อไปต้องเอาไว้ให้จุนเกอ ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พี่ใหญ่ช่วยข้าดูแลเถิดเจ้าค่ะ!”
ก่อนที่หลัวเจิ้นซิ่งจะมาที่นี่เขาก็คิดที่จะบอกสืออีเหนียงว่าให้เขาเป็นคนดูแลบัญชี เขาไม่ได้สงสัยว่าสืออีเหนียงจะมีเจตนาร้ายอะไร แต่เขาคิดว่านางยังเด็ก กลัวว่าผ่านไปนานแล้วจะรับมือกับหลูหย่งกุ้ยไม่ไหว จะถูกหลูหย่งกุ้ยโกงเงินเอาได้ คุณนายใหญ่ที่ได้ยินหู่พั่วบอกว่าหลูหย่งกุ้ยกลับมาแล้ว และสืออีเหนียงที่บอกว่าจะปรึกษาพวกเขาเรื่องกิจการของหยวนเหนียง นางก็รู้สึกว่าสืออีเหนียงนั้นฉลาด แน่นอนว่านางไม่เพียงแต่ให้พวกเขามาเป็นพยาน…คิดไม่ถึงว่า นางยังจะให้หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนดูแล แล้วยังปล่อยมันไปง่ายๆ เช่นนี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง สองสามีภรรยายังคงตกใจอยู่ที่เดิม
ป้าเถามองดูด้วยความชื่นใจ
ลุงกับหลาน มอบกิจการนี้ให้หลัวเจิ้นซิ่ง ดีกว่ามอบให้สืออีเหนียงเป็นร้อยเท่า!
หลูหย่งกุ้ยสายตาเป็นประกาย
ที่จริงแล้วเขากลับมาตั้งแต่ปลายเดือนแปดแล้ว แล้วยังจะไปร่วมงานแต่งของสวีลิ่งอี๋ แต่กลับถูกป้าเถาห้ามเอาไว้ “…คุณนายใหญ่มีกิจการเท่าไร เจ้ารู้ดีที่สุด จะมีสักกี่คนที่ไม่โลภมากในเงินทอง เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ซ่อนตัวไว้ชั่วคราว ถือโอกาสจัดการบัญชีให้เรียบร้อย ฉบับหนึ่งเอาให้นางดู อีกฉบับหนึ่งเอาให้ท่านโหวตรวจสอบ”
ตอนนั้นเขาบังเอิญมีเรื่องส่วนตัวต้องไปทำ สองสามปีมานี้คอยช่วยหยวนเหนียงทำงาน ตัวเองก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่านิสัยนายหญิงคนใหม่เป็นเช่นไร คิดที่จะไปอยู่แล้วจึงรับปากนาง
ใครจะไปรู้ ครั้งแรกที่เจอกัน สืออีเหนียงก็มอบอำนาจดูแลกิจการให้หลัวเจิ้นซิ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะมองนางใหม่
ความกล้าหาญเช่นนี้ แม้แต่ลูกผู้ชายทั่วไปก็ไม่มี!
เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองสืออีเหนียง
อายยุแค่สิบสามสิบสี่ปี สวมเสื้อกั๊กยาวธรรมดาสีเหลือง ผิวขาวราวกับหิมะ รูปร่างสูงผอม ดวงตากลมโต สดใสอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม มองดูแล้วสบายตาเป็นอย่างมาก
นางผลักห่อผ้าที่อยู่บนโต๊ะ ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเป็นการขอร้องที่ไม่สมเหตุสมผล แต่ก็เห็นแก่จุนเกอ พี่ใหญ่รับไปเถิดเจ้าค่ะ”
หลัวเจิ้นซิ่งลังเล คุณนายใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างล่างหลัวเจิ้นซิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ตามหลักแล้วเจ้าต้องเป็นคนดูแล…”
“พี่สะใภ้ใหญ่” สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าไม่เข้าใจเรื่องกิจการพวกนี้จริงๆ ให้ข้าเป็นคนดูแล ข้ากลัวว่าจะมีใจแต่ไม่มีความสามารถ ทำให้จุนเกอต้องสูญเสียผลประโยชน์เอาเจ้าค่ะ”
“ก็ได้” หลัวเจิ้นซิ่งพูดอย่างเฉียบขาด “ข้าจะเป็นคนดูแลกิจการนี้เอง แต่เรื่องบัญชีให้สืออีเหนียงเป็นคนดูแล เช่นนี้ มีเรื่องอะไรก็จะได้ตักเตือนกันได้”
สืออีเหนียงชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก
หลัวเจิ้นซิ่งเป็นสุภาพบุรุษจริงๆ
เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้
หลัวเจิ้นซิ่งและหลูหย่งกุ้ยตรวจบัญชีต่อหน้าทุกคน
สืออีเหนียงเห็นหลูหย่งกุ้ยนับลูกคิดได้อย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ยินเขารายงานบัญชี เขาดูแลกิจการที่หยวนเหนียงทิ้งไว้ ตั้งแต่สองหมื่นตำลึงตอนนี้ทำเงินได้ถึงหนึ่งแสนหกหมื่นตำลึง ทุกปีมีเงินเข้าสองหมื่นตำลึง นางจึงอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าในใจ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เห็นคนที่หยวนเหนียงทิ้งไว้ ในเรือนมีป้าเถา นอกเรือนมีหลูหย่งกุ้ย แค่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนนับถือได้แล้ว
พวกเขายุ่งทั้งช่วงบ่าย จนในที่สุดก็มีโครงร่างคร่าวๆ
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก บอกให้หู่พั่วยกชาเข้ามาใหม่อีกครั้ง นางยิ้มแล้วพูดว่า “โชคดีที่ผู้ดูแลหลูนับลูกคิดได้เชี่ยวชาญเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้ว่าบัญชีนี้จะต้องนับไปถึงเมื่อใด”
หลูหย่งกุ้ยรีบพูดออกมา “ฮูหยินชมเกินไป ก็แค่ความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ”
พูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
ทุกคนพากันลุกขึ้นคำนับเขา
เขาเห็นสมุดบัญชีที่รวบรวมเรียบร้อยแล้วก็ยิ้มพลางเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ตรวจสอบบัญชีแล้วหรือ!”
“ตรวจสอบแล้ว!” หลัวเจิ้นซิ่งคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจุนเกอ เขาจึงยิ้มแล้วบอกการตัดสินใจของสืออีเหนียงให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “ข้าไม่ค่อยรอบคอบ ดังนั้นจึงให้น้องหญิงสิบเอ็ดเป็นคนดูแลบัญชี ข้าช่วยดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ข้างนอก!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้เขาก็มองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง เขาไม่ได้ออกความคิดเห็นกับเรื่องนี้ เขากำลังบอกให้หลัวเจิ้นซิ่งอยู่ทานอาหานเย็น คนของไท่ฮูหยินก็มาเรียกพวกเขาไปทานอาหารเย็นพอดี หลูหย่งกุ้ยและป้าเถารีบขอตัวออกไป หลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่ไปคำนับไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋ พี่น้องสกุลสวีคอยต้อนรับหลัวเจิ้นซิ่งอยู่ลานนอกโถงบุปผา แต่คุณนายใหญ่กลับทานข้าวอยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ระหว่างทานข้าว ฮูหยินสามมองสืออีเหนียงเป็นครั้งคราว สืออีเหนียงนึกถึงกิจการที่ฮูหยินเคยพูดกับนาง นางจึงบอกทุกคนเรื่องที่ตัวเองเป็นคนดูแลบัญชี แต่หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนดูแลกิจการ ฮูหยินสามจะได้ไม่คิดทำกิจการนั้นอีก “…ข้านั้นยังเด็กแต่มีพี่ใหญ่คอยช่วยดูแล คงจะไม่มีเรื่องอันใดน่าเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าในใจ
แต่สายตาที่ฮูหยินห้ามองสืออีเหนียงกลับเคร่งขรึม
มีเพียงฮูหยินสามที่บึนปาก ทำท่าทีดูถูก
ทานข้าวเสร็จ คุณนายใหญ่เล่นกับจุนเกออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อหลัวเจิ้นซิ่งทานเสร็จเขาก็มาคารวะไท่ฮูหยิน จากนั้นสองสามีภรรยาก็ขอตัวลา
สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ออกไปส่งหลัวเจิ้นซิ่งและคุณนายใหญ่
นางจงใจเดินตามไปช้าๆ และพูดคุยกับคุณนายใหญ่เบาๆ “…เปิดร้านขายผลไม้แห้ง นี่เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่า การทำกิจการต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องเงิน ทุกคนล้วนแต่เป็นญาติพี่น้องกัน หากทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ขึ้นมามันคงจะได้ไม่คุ้มเสีย แต่หากบอกอู่เหนียงไปตรงๆ ก็กลัวว่าอู่เหนียงจะไม่ยอม อยากให้พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนกลาง หากอู่เหนียงมีอะไรอยากให้ข้าช่วย ข้าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน แต่เรื่องร่วมหุ้น ข้าคงไม่ร่วมด้วยเจ้าค่ะ!”
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า นางจับมือสืออีเหนียง “เจ้าคิดเหมือนข้าเลย คุณนายห้าก็มาชวนข้า ข้าคิดว่ามันไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร ร่วมหุ้นกันไปร่วมหุ้นกันมา ถึงตอนนั้นกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าหมายความว่า หากนางอยากจะเปิดร้านผลไม้แห้งจริงๆ เราออกเงินคนละห้าสิบตำลึง ถือว่าให้นางยืม เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าช่วยนาง”
สืออีเหนียงแอบร้องตะโกนในใจ
มันเหมือนที่หู่พั่วพูดจริงๆ
เข้ามือซ้ายออกมือขวา!
แต่นางสามารถปฏิเสธได้หรือ
นางจึงพยักหน้าเบาๆ “ความคิดของพี่สะใภ้ใหญ่เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นค่อยให้พี่หญิงห้าส่งคนมาบอกข้า”
คุณนายใหญ่พยักหน้า สืออีเหนียงมาส่งนางถึงหน้าประตูฉุยฮวา มองดูรถม้าวิ่งออกไปแล้วถึงได้กลับไปที่เรือนกับสวีลิ่งอี๋
ระหว่างทาง สวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงอารมณ์ไม่ค่อยดี เขาจึงพูดว่า “ให้เจ้าดูแลบัญชี ให้เจิ้นซิ่งดูแลกิจการ มันคือความคิดของเจ้าหรือของเขากันแน่”
สืออีเหนียงได้ยินน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของเขา นางมองไปที่เขาด้วยความตกใจแล้วพูดเบาๆ “คือความคิดของข้าเจ้าค่ะ”
ในเมื่อเป็นความคิดของตัวเอง แล้วเหตุใดจึงอารมณ์ไม่ดี
สวีลิ่งอี๋นึกถึงวันที่กลับจวนสกุลหลัว นายหญิงใหญ่สั่งสอนนางอย่างไม่ไว้หน้า
สตรีอยู่ที่บ้านต้องเชื่อฟังท่านพ่อ ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี แต่ก่อนนางเป็นลูกสาวสกุลหลัว แต่ตอนนี้นางคือสะใภ้สกุลสวี
คิดเช่นนี้ สายตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมา
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
หรือว่าเขาไม่เห็นด้วย?
คงไม่ใช่กระมัง
เขาไม่ใช่คนที่ปากไม่ตรงกับใจ ในเมื่อบอกแล้วจะไม่ถามอะไรมาก เขาก็จะไม่ถาม แต่เพราะเหตุใดตอนนี้ถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา
นางอธิบายด้วยความอดทน “นี่เป็นกิจการที่พี่หญิงใหญ่ทิ้งไว้ให้จุนเกอ จุนเกอยังเด็ก ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องกิจการ ถึงแม้ว่าจะมีหลูหย่งกุ้ย แต่เขาก็เป็นแค่ผู้ดูแล ข้าทำอะไรผิดไปเขาจะกล้าบอกข้าตรงๆ ได้เช่นไร ตอนนี้พี่ใหญ่มาช่วยดูแล เราคอยช่วยตักเตือนกัน ถึงแม้ว่าจะผิดพลาดอะไรก็คงไม่ถึงขั้นร้ายแรง”
คือความคิดของนางจริงๆ!
สวีลิ่งอี๋หยุดเดินและมองไปที่นางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง
เขาแค่คิดว่านางยังเด็ก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะมีความคิดเช่นนี้!
สืออีเหนียงรู้สึกไม่เข้าใจถึงอารมณ์ของเขา เขามองนางจนทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ นางจึงรีบพูดว่า “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าไม่ใช่คนที่เห็นผลประโยชน์แล้วลืมศีลธรรม ความคิดที่ว่าให้ข้าเป็นคนดูแลบัญชี ส่วนเขาดูแลกิจการก็เป็นความคิดของเขา ความคิดเดิมของข้าคือให้เขาเป็นคนดูแลทั้งหมด…”
“ข้ารู้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มมุมปาก “เจ้ากระวนกระวายอะไร ข้ายังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย”
โชคดีที่ไม่พูดอะไร หากพูดอะไรออกมา เกรงว่ามันคงจะไม่จบง่ายๆ…
สืออีเหนียงพึมพำในใจ
“พรุ่งนี้เจ้าทำความสะอาดเรือนเถิด!” สวีลิ่งอี๋พูดออกมาอย่างกะทันหัน “ข้าให้พ่อบ้านไป๋หาท่านป้ามาช่วยเหลือเจ้าชั่วคราว”
ถึงแม้ว่าจะพูดอย่างแผ่วเบา แต่มันกลับมีกลิ่นอายของการออกคำสั่ง
ทำความสะอาดเรือน? ทำความสะอาดเช่นไร? หรือว่าให้นางเก็บผ้าม่านสีแดงตอนแต่งงานพวกนั้นออก?
นางตอบกลับทันที “พรุ่งนี้ข้าจะทำความสะอาดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วพูดอย่างแผ่วเบา “ในบรรดาท่านป้าเหล่านั้น มีคนหนึ่งที่นามสกุลเซี่ยง แต่งหน้าเป็น ขัดผิวเป็น สนิมสนมกับสาวใช้และท่านป้าทุกเรือน แต่น่าเสียดายที่นางพูดมากเกินไป ท่านแม่ไม่ชอบนาง จึงไม่เคยมอบหมายงานที่เป็นหลักเป็นแหล่งให้นาง”
สายตาของสืออีเหนียงเป็นประกาย
สวีลิ่งอี๋เก่งจริงๆ!
คนในจวนของตัวเองต้องเป็นไปตามกำหนด หากมีเพิ่มอีกหนึ่งคนโดยไม่มีเหตุผล ทุกคนก็คงจะพากันคาดเดา แต่หากได้ยินว่าสวีลิ่งอี๋อ้างว่าจะให้ท่านป้าสองสามคนมาช่วยทำความสะอาดเรือน ถึงตอนนั้นที่ทุกคนพูดคุยกัน ก็สามารถฉุกคิดเรื่องบางเรื่องได้อย่างไม่รู้ตัว
“…ข้าจะให้หู่พั่วบอกออกไปว่า มีท่านป้าสองคนที่ข้าไม่ค่อยชอบ อยากจะเปลี่ยนท่านป้าสองคน!”
สวีลิ่งอี๋รู้ว่านางเข้าใจความหมายที่ตัวเองจะสื่อแล้ว แต่ปฏิกิริยาเร็วเช่นนี้…เขาก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว จากนั้นก็หันหน้าเดินเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงรีบเดินตามเข้าไป จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่ซย่าอีเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเรียกหู่พั่วเข้ามา เล่าเรื่องนั้นให้นางฟัง “…ถึงตอนนั้นเจ้าก็นำเรื่องที่ข้าอยากเปลี่ยนท่านป้าไปเล่าให้ป้าเซี่ยงฟัง แล้วก็ถือโอกาสทำความสะอาดเรือน” บอกการทำความสะอาดเรือนให้หู่พั่วฟังอย่างละเอียด
หู่พั่วพยักหน้าซ้ำๆ จดจำคำพูดที่สืออีเหนียงบอก
วันต่อมา เมื่อพ่อบ้านไป๋พาคนทำความสะอาดมา นางบอกให้ลู่อวิ๋นและหงซิ่วเปลี่ยนผ้าม่านและผ้าคลุมเก้าอี้สีแดงในเรือนของสืออีเหนียงเป็นที่ผ้าสีที่จวนสกุลสวีมักจะใช้ในวันธรรมดา บอกให้ท่านป้าสองสามคนนำสินเดิมที่สืออีเหนียงเอาไว้ตรงห้องทางตะวันตกย้ายไปไว้ห้องข้างหลัง ปินจวี๋เป็นคนนับตรวจสอบแล้วล็อคห้อง ห้องหลักทางทิศตะวันออกตกแต่งเป็นห้องนั่งพักผ่อน ตกแต่งห้องปีกทางตะวันออก ย้ายข้าวของของตัวเอง ตงชิง ปินจวี๋และจู๋เซียงไปไว้ที่นั่น
ท่านป้าที่นามสกุลเซี่ยงพูดมากจริงๆ
ทุกคนต่างทำงานอย่างเงียบๆ มีแค่นางที่พูดคุยกับหู่พั่ว และแน่นอนว่านางก็รู้เรื่องที่สืออีเหนียงอยากจะเปลี่ยนท่านป้าอย่างรวดเร็ว
ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน นางกำลังเช็ดถูอยู่ข้างหู่พั่ว “…แม่นาง ข้าพอจะเหมาะสมหรือไม่”
“เรื่องในเรือนของข้าต้องให้ฮูหยินเห็นด้วย!” หู่พั่วพูดอย่างคลุมเครือ
ป้าเซี่ยงยิ้มอย่างมีเสศนัย “เช่นนั้นนางก็ต้องฟังว่าแม่นางจะบอกว่าใครดีใครไม่ดีมิใช่หรือ”
หู่พั่วเพียงยิ้ม ไม่ตอบอะไร
ถึงตอนเย็น ป้าเซี่ยงก็ถือไก่ย่างสองตัวมาให้หู่พั่ว “…แม่นางโปรดพูดให้ข้าสักสองสามประโยค!”
หู่พั่วจึงบ่นกับป้าเซี่ยง “…ใช่ว่าฮูหยินของข้าใจแคบ แต่เพราะว่าเจอกับคนที่ไม่รู้จักกฎระเบียบสองคน หากไม่เปลี่ยนคน คนอื่นก็คงจะหัวเราะเยาะว่าคนเรือนข้าไม่รู้ความ”
ป้าเซี่ยงรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “แม่นางไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องในเรือน ไม่มีใครรู้ดีกว่าข้าแล้ว!”